วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวใน 3 รูปแบบ


การสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวใน  3 รูปแบบ

...

พี่สุดใจจึงจะขออธิบายงานของระบบในโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้ ที่ได้มีการวางรูปแบบการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลกไว้ใน 3 รูปแบบ 

เพื่อให้ท่านที่กำลังสงสัยว่าเราทำอะไร ทำไมเราจึงเป็นอย่างนี้ ทำไมบางคนรับรู้ได้เลย เห็นได้เลย ทำไมบางคนต้องเห็นทางสมาธิ หรือทำไมบางคนต้องฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนี้ นั่นเป็นเพราะรูปแบบของงานที่แตกต่างกัน ซึ่งพี่สุดใจจะขออธิบายต่อในโพสต์ถัดไป เพื่อที่หลายท่านที่กำลังสงสัย จะได้มีความเข้าใจมากขึ้น

.........................


การสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวใน  3 รูปแบบ

1.สื่อข้อความลงมาโดยตรง 

โดยข้อมูลคมชัดและไม่มีการผิดพลาด   ในขณะที่ผู้รับการสื่อสารยังตื่นอยู่ และมีสติรับรู้ ในขณะดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวัน โดยแยกเป็น 

1.1 รับข้อมูลแบบรู้ตัว เป็นข้อความโดยตรงผ่านอุปกรณ์เครื่องรับที่ได้มีการเชื่อมต่อไว้ก่อนแล้ว ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าว เป็นเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวทำหน้าที่คล้ายโทรศัพท์ของเราแต่ล้ำหน้ากว่ามาก จะมีทั้งภาพ ทั้งเสียง จึงรับรู้ข้อความอย่างชัดเจน หรือเห็นภาพไปพร้อม ๆ กันอย่างชัดเจน เพราะมีความไฮเทคกว่าของมนุษย์มากมาย และมีทั้งเป็นรูปแบบพลังงานที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ และบางครั้งก็มีเป็นมวลสารเป็นวัตถุที่สัมผัสได้ 

ซึ่งผู้ที่รับข้อมูลแบบรู้ตัว จะสามารถรับรู้ว่า ข้อความที่เข้ามานี้ไม่ใช่ความคิดของเรา แต่เป็นของมนุษย์ต่างดาวที่สื่อสารมา จึงเป็นการรับข้อมูลโดยรู้แหล่งที่มาว่ามาจากที่ใด


อย่างเช่น จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ท่านได้รับข้อมูลมา ซึ่งในขั้นแรก มีการติดต่อจากมนุษย์ต่างดาวผ่านทางสมาธิก่อนในขั้นแรก   และจากนั้นก็มีการรับข้อมูลผ่านอุปกรณ์ จะเห็นได้ว่า ในขณะที่กำลังนั่งสนทนากับบุคคลอื่น ๆ อยู่นั้น หรือขณะที่มีการซักถามอยู่นั้น ก็มีข้อความสื่อลงมาตอบคำถามในทันที ซึ่งในเวลานั้นมิได้นั่งสมาธิเพื่อติดต่อแต่อย่างใด  .... แต่เป็นข้อความที่ส่งตรงจากมนุษย์ต่างดาวลงมาเลย ซึ่งในกรณีนี้มีตัวอย่างที่น่าสนใจตัวอย่างหนึ่ง ที่มีพยานรู้เห็นนับ 10 คน และยอมรับว่าท่านรับข้อมูลได้ตรงทุกข้อความ( จะนำมาเล่าประกอบในโอกาสต่อไป) และท่านก็สามารถทราบแหล่งที่มาของข้อมูลว่า ผู้ที่สื่อสารมาก็คือท่านราชฑูตจากดาวโลกุกะตาปากะดิกอง ซึ่งอยู่คนละจักรวาลเป็นผู้สื่อสารลงมา โดยมีการพิสูจน์ ทดสอบ ทดลองหลายครั้ง จนเชื่อถือได้ 

ซึ่งได้เคยมีการนัดหมายนำยานอวกาศมาให้เห็นตามเวลาที่ได้บอกไว้ และก็ได้นำมาจริง ให้ถ่ายภาพได้ เพื่อยืนยันว่าข้อมูลที่สื่อลงมานั้นเป็นเรื่องจริง และสื่อสารมาจากดาวดวงใด


หรือผู้ที่ฝึกรับการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวแบบรู้ตัว คือกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) เมื่อฝึกรับข้อมูล และผ่านการฝึกแล้ว จะสามารถรับข้อมูลผ่านอุปกรณ์เหล่านี้โดยตรง ในทุกขณะที่ระบบต้องการสื่อสารมา ในขณะนั่งอยู่ ในขณะเดิน ในขณะทำกิจกรรมอื่น ๆ หรือขณะพิมพ์ข้อความซึ่งส่วนหนึ่งเล่าในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และบางส่วนก็เป็นข้อความใหม่ที่ส่งมาขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความอยู่ในขณะนั้น 

หากข้อความนั้นระบบต้องการให้แจ้งสู่สาธารณะ ผู้พิมพ์กับผู้อ่านก็จะทราบข้อความนั้นเกือบจะพร้อม ๆ กัน ในเวลาใกล้เคียงกัน 

หรือ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ท่านก็ทราบได้ว่า ข้อมูลที่ท่านกำลังรับการสื่อสารอยู่นี้ มาจากดาวอังคาร ผู้สื่อสารกับท่านคือ ท่านพาราซิลทัล ในบางครั้งท่านก็นั่งสมาธิเพื่อติดต่อ ในบางครั้งขณะที่ท่านสนทนาอยู่กับบุคคลอื่น ๆ เมื่อกล่าวถึงเรื่องราวภัยพิบัติ ข้อมูลส่งลงมาตอบคำถามในทันทีก็มี ซึ่งเป็นการรู้ว่าข้อมูลนี้มีแหล่งที่มาจากที่ใด

หรือมีอีกมากมายทั้งในประเทศไทย หรือทั่วโลก ที่สามารถรับข้อมูลสื่อสารได้โดยตรง ซึ่ง ณ จุดนี้ ผู้ที่ได้รับข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาวในแบบที่ผ่านอุปกรณ์นั้น จะรับทราบว่าข้อมูลนั้นมาจากแหล่งใด มนุษย์ต่างดาวที่มาติดต่อมาจากดาวชื่ออะไร จักรวาลไหน ผู้มาติดต่อชื่ออะไร เขาบอกอะไร เตือนอะไร 

ข้อมูลเหล่าผู้รับการสื่อสารส่วนมากจะรับรู้ได้ มีการบอกข้อมูล และทำให้เห็นว่าข้อมูลนั้นเป็นเรื่องจริง ก็ต่อเมื่อสิ่งที่บอกไปได้ปรากฏขึ้นตามนั้น เป็นการสื่อสารแบบรู้ตัว มีแหล่งที่มาที่ไปของข้อมูล และบุคคลดังที่ได้กล่าวมานี้ มีกระจายอยู่ทั่วโลก ดังนั้น หนังสือของต่างประเทศเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวหลาย ๆ เล่ม ก็จะมีเรื่องของชาวต่างชาติติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ในหลายบุคคล หลายกลุ่ม และรู้ชื่อดวงดาวที่มาติดต่อด้วย และบางครั้งก็มีหลักฐานภาพถ่าย UFO ไว้เป็นหลักฐานด้วย ซึ่งบางครั้งเราอาจไม่เคยได้ยินชื่อดาวดวงนั้น ด้วยซ้ำไป

การสื่อสารผ่านอุปกรณ์นี้ ผู้ที่รู้ตัวว่าทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวก็จะรับรู้ได้ถึงอุปกรณ์ที่นำมาใช้งานในแต่ละเหตุการณ์ เพราะระบบได้มีการติดตั้งอุปกรณ์ไว้ในอายตนะทั้งหมด   ดังนั้น ตาอาจจะมองเห็นภาพในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เห็นภาพมนุษย์ต่างดาวได้ขณะลืมตา เห็นได้ทั้งยานอวกาศที่บางคนอาจไม่เห็น มองเห็นความคิดคนอื่นได้ มองทะลุกำแพง มองเห็นอีกมิติได้ หูได้ยินเสียงพูด หรือเสียงอื่น ๆ ได้ จมูกได้กลิ่นต่าง ๆ หรือลิ้นสามารถรับรู้รสต่าง ๆ ได้ หรือกายเราสามารถสัมผัสพลังงานได้ ในร่างกายอาจมีพลังงานไฟฟ้ามากเกินก็ได้ พลังงานอื่น ๆ ที่มากเกิน น้อยเกินก็ได้ หรือขณะอ่อนเพลียอยู่ก็สดชื่นแข็งแรงฉับพลันได้ เพราะมีการเติมสารพลังงานเข้าไปทดแทนจึงสดชื่นแข็งแรงได้ฉับพลัน และร่างกายนี้สามารถเข้าออกมิติได้ หรือสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ ผ่านทางร่างกายนี้ได้เช่นกัน 

นั่นขึ้นอยู่กับว่า มนุษย์ต่างดาวต้องการจะสื่อสารเมื่อใด และการสื่อสารนั้นเพื่อประสานงานเรื่องอะไร กับใคร ก็จะส่งข้อมูลเป็นข้อความ ภาพ เสียง หรืออื่น ๆ เข้ามาทันที โดยไม่มีขีดจำกัดว่าต้องตอนไหน ขณะกำลังเดิน กำลังทานอาหาร กำลังสนทนากันอยู่ ได้ทั้งสิ้น

ซึ่งอุปกรณ์นี้  ได้มีการติดตั้งให้กับผู้ร่วมทำงานกับระบบในจำนวนมาก  ทั้งในรุ่นแรก และในรุ่นถัด ๆ มา  ซึ่งส่วนใหญ่จะส่งเป็นข้อมูลเฉพาะงานของแต่ละท่าน...ที่ต้องดำเนินการ

พี่สุดใจ ก็อยู่ในกลุ่มที่ต้องรับข้อมูลเป็นข้อความโดยตรงตามนั้น โดยมิต้องไปตีความ หรือไปแปลความหมายอีก และนำข้อมูลเหล่านั้นออกสู่สาธารณะ ในการ
 แจ้งเพื่อทราบ ให้ตรงตามที่ระบบสื่อสารมาทุกประการ ชนิดคำต่อคำ เพื่อให้ตรงตามความหมายที่ระบบต้องการสื่อสารลงมา ไม่ผิดเพี้ยนไปเป็นอย่างอื่นนั่นเอง 

.............................


1.2 รับข้อมูลแบบไม่รู้ตัว 

ก็เป็นการรับข้อมูลผ่านอุปกรณ์เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าบุคคลนั้นไม่ได้รับรู้เรื่องของระบบ ไม่ได้รับรู้เรื่องของมนุษย์ต่างดาว แต่สนใจเรื่องของภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน 5,000 คนและระบบได้ติดตั้งอุปกรณ์ไว้ให้แล้วทางอายตนะเช่นกัน ดังนั้นจึงสามารถรับข้อความได้ในขณะที่มีสติ ลืมตา หรือดำเนินชีวิตประจำวันอยู่ เช่นรับข้อมูลผ่านทางตา อาจมองเห็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า หรือเห็นหน้าคนนี้ล่วงหน้ามาก่อนเจอจริง หรือมองหน้าแล้วรู้ว่าเขาคิดอะไร หรือสัมผัสพลังงานได้มีอาการขนลุก หรือหนาว หรือร้อน หรือได้ยินเสียงในขณะที่เรายังยืนเดินนั่งนอน มีสติอยู่ในปัจจุบันก็ตาม สิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ เกิดขึ้นในขณะดำเนินชีวิตประจำวันอยู่ 

แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ บุคคลนั้นก็ไม่ทราบว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร ข้อความเหล่านี้มาจากไหน จึงคิดว่าเป็นเซ้นท์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง เป็นจิตวิญญาณอื่น ๆ บ้างแล้วแต่จะคิดไป 
(ความหมายของบุคคลที่กล่าวถึงในที่นี้...มุ่งหมายเฉพาะ 5,000 คน ที่ระบบได้วางตัวเพื่อทำงานเรื่องของภัยพิบัติเท่านั้น   จึงได้มีการติดตั้งอุปกรณ์พร้อมใช้กับบุคคลนั้น) 

ดังนั้น การที่บุคคลท่านนั้น.....รับรู้ในอนาคตบ้าง มองเห็นบ้าง หรือได้ยินเสียงบ้าง ก็คือการส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์เครื่องรับที่ต่อเชื่อมไว้ให้แล้วนั่นเอง ก็จะออกมาเป็นรูปแบบความคิด เห็นภาพนี้ แล้วคิดอย่างไร สิ่งที่คิดต่อจากการเห็นภาพ การได้ยินเสียงนั้น ก็คือความคิดที่ระบบส่งข้อมูลลงมาให้คิดเช่นนั้น เช่นนี้ แต่ผู้ที่รับข้อความนั้นไม่ทราบ และไม่สามารถแยกได้ว่า ความคิดนี้มิใช่ของเรา 

ดังนั้นการทำตามสิ่งที่ตนเองคิด จึงเป็นเสมือนว่าเราคิดอย่างนี้ เราก็เลยทำอย่างนี้ อย่างเช่นคิดจะค้นคว้าเรื่องมนุษย์ต่างดาว คิดจะเขียนหนังสือเรื่องมนุษย์ต่างดาว คิดจะวิจัยเรื่องโลกร้อน เรื่องภัยพิบัติ คิดจะสร้างสถานที่เพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติ ค้นคว้าติดตามเรื่องสถานการณ์โลก ความรุนแรงเพื่อนำมาเตือนบุคคลอื่น ๆ หรือเรื่องต่าง ๆ มากมาย เมื่อคิดอย่างนี้ เขาก็ทำตามที่คิด ไปค้นคว้า ไปวิจัย ไปหาข้อมูลเขียนหนังสือเรื่องมนุษย์ต่างดาว ไปรณรงค์เรื่องโลกร้อน เรื่องภัยพิบัติ เตรียมการ เตือนภัย และอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำตามสิ่งที่ตนได้คิดออกมาเอง 


จึงมีการกระจายข่าว การรวมกลุ่มกันขึ้นมา ในหลาย ๆ จุด หลาย ๆ สถานที่ ที่ระบบได้วางไว้ ดังนั้นทุกคนทำงานโดยอิสระ ไม่ต้องรู้จักกัน แต่เมื่อถึงเวลา ต่างคนต่างคิด อยากจะมาที่นี่ อยากจะไปที่นั่น ก็จะไปพบเจอกันเอง และจะสนิทกันโดยเร็ว จะทำความคุ้นเคยกันง่ายมากกว่าทางโลกตามปกติ มีความไว้วางใจกันได้ง่ายทั้ง ๆที่เพิ่งเคยพบเจอกัน นั่นเพราะว่ามีการทำความคุ้นเคยไว้ให้ก่อนหน้านั้นแล้ว สังเกตได้ว่าจะมีหลายครั้ง เห็นหน้ากันแล้วเหมือนคุ้นเคย เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน เห็นคนนั้นก็คุ้น เห็นคนนี้ก็เหมือนเคยรู้จัก เป็นเช่นนี้บ่อยครั้ง เพราะระบบบอกว่า ต้องมีการทำความคุ้นเคย ความไว้วางใจไว้ให้ก่อน ถ้าให้มาค่อย ๆ รู้จักกัน กว่าจะไว้ใจกันมันจะไม่ทันเวลา ซึ่งส่วนมากจะเป็นในแนวเรื่องของการตระหนักถึงภัยพิบัติทั้งสิ้น 

ดังนั้น บุคคลดังกล่าวมานี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ และมีการทำงานแบบไม่รู้ตัวว่าทำงาน มีการทำงานโดยไม่ได้มีการรู้จักกัน ทำงานเป็นอิสระ รับข้อมูลผ่านอุปกรณ์ในช่องทางความคิดแล้วทำไปโดยไม่ทราบว่ากำลังทำงานตามโครงการเรื่องภัยพิบัติของโลกใบนี้ เป็นเหมือนจิ๊กซอตัวหนึ่งที่ต้องนำมาประกอบกันตามโครงการ 

บุคคลนั้นจะรู้ตัวหรือไม่ นั่นไม่ใช่ประเด็น แต่ได้ทำงานถูกต้องตรงตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ซึ่งในกรณีนี้ มีเป็นจำนวนมากกระจายกันอยู่ทั่วโลก แต่ทำงานได้ถูกต้องตรงตามที่ได้มีการวางโครงการไว้แล้วซึ่งบุคคลที่กล่าวนี้ อาจจะไม่รู้เรื่องมนุษย์ต่างดาวเลยก็ได้ แต่ก็จะมีเหตุการณ์แปลก ๆ เรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นกับตนเองเสมอ มีสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเป็นไปได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ และไม่สามารถหาคำตอบได้

..........................


2. การสื่อสารผ่านทางสมาธิ ทางฌาณ

ในกรณีนี้ ก็คือผู้ที่มีสมาธิเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว หรือผู้ปฏิบัติธรรม ที่มีสมาธิจิตที่ละเอียดนั้น สามารถเชื่อมต่อกับคลื่นของมนุษย์ต่างดาวได้ ซึ่งมีมากมายที่ปฏิบัติสมาธิมานาน แล้วจู่ ๆ ก็มีการส่งคลื่นติดต่อมาจากต่างดาว ส่งมาเพื่อติดต่อกับมนุษย์โลกท่านนั้นด้วย มาให้เห็นในสมาธิ เป็นภาพ เป็นเสียง หรือพาไปดูภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น สัมผัสได้ในอายตนะเช่นร้อน เย็น หรือสัมผัสพลังงานบางอย่างได้ขณะติดต่อ มีการบอกกล่าวข้อมูลต่าง ๆ ผ่านช่องทางสมาธินั้น แต่เมื่ออกจากสมาธิแล้ว ก็ติดต่อรับข้อมูลไม่ได้ ดังนั้น ก็จะใช้ช่องทางสมาธิเป็นหลักในการติดต่อสื่อสารกับดวงดาวนั้น ๆ 

ในการสื่อสารรูปแบบนี้มีจำนวนมาก   โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่มุ่งเน้นในการปฏิบัติจิต  ฝึกทั้งทางสมาธิ  และการวิปัสสนาเป็นหลัก

..........................


3. สื่อข้อความลงมาในรูปแบบอื่น ๆ เช่นอยู่ในภวังค์ ในความฝันขณะหลับ หรือครึ่งหลับครึ่งตื่น เป็นต้น

ลักษณะนี้ เป็นรูปแบบหนึ่งของการติดต่อสื่อสาร บางครั้งได้รับข้อมูลขณะเคลิ้ม ๆ ใกล้จะหลับ  หรือขณะครึ่งหลับกึ่งครึ่งตื่น   หรือบางครั้งมีการรับข้อมูลผ่านทางความฝัน  ในเรื่องต่าง ๆ เหล่านั้น

เพราะตามปกติมนุษย์จะมีการฝันเป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้น การที่จะฝันเรื่องใดขึ้นมานั้น มนุษย์ก็จะไม่ค่อยแปลกใจ ไม่ค่อยตกใจ และจะไม่ค่อยยึดมั่นถือมั่น ว่าจะเป็นจริงตามนั้นสักเท่าไร เพราะเป็นเพียงความฝันเท่านั้น

ดังนั้น การผ่านข้อมูลมาทางความฝัน จึงเป็นเรื่องที่มนุษย์คิดไม่ถึง และไม่คิดว่าจะมีใครสามารถมาคอลโทรลความฝันเราได้ มนุษย์จึงไม่ค่อยกลัว ไม่ค่อยแปลกใจ แม้จะฝันอะไรแปลก ๆ แต่ก็คิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน และจะเป็นอย่างนั้นเรื่อยมา

- แต่สิ่งที่เป็นความแตกต่างของผู้ที่ฝันเป็นปกติ กับผู้ที่ฝันตามระบบนั้น ค่อนข้างแตกต่างกัน คือ

การฝันปกติ ก็จะฝันเปลี่ยนไปเรื่อย ตามที่จิตใต้สำนึกของตนเองจะคิดนึกอะไร ก็ปั้นแต่งเป็นความฝันได้หมด แต่การฝันแบบระบบ จะเป็นการฝันที่เหมือนถูกคอลโทรลฝันนั้นให้เป็นเช่นนั้นอยู่เรื่อย ๆ ฝันเรื่องเดียวกันซ้ำ ๆ ฝันต่อเนื่อง ในความฝันจะมีความชัดเจน คม ลึก และจำได้แม่นยำแม้รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้น 

และความฝัน บางครั้ง ผู้ฝันก็จะรู้ว่าตัวเองกำลังฝัน ก็จะบอกให้ตัวเองตื่นจากฝัน เหมือนวิ่งหนีอะไรสักอย่าง แล้วจวนตัว ก็จะบอกว่าตื่นเสียทีเถอะ อย่างนี้เป็นต้น และสิ่งที่ฝันนั้น มีการปรากฏความถูกต้องตรงตามฝันนั้นอยู่เรื่อย ๆ ดังนั้น ผู้ฝันก็จะมีอาการแบบ จะว่าไม่เชื่อก็ไม่เชิง จะเชื่อก็ไม่ได้ เพราะเป็นแค่ความฝัน ดังนั้นการยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นจะเกิดจริงก็ไม่ได้ จะว่าไร้สาระก็ไม่เชิง เพราะปรากฏขึ้นจริงตามฝันหลายครั้ง จึงเป็นเรื่องที่จะยึดก็ไม่ได้ จะปล่อยก็ไม่เชิง 

สิ่งเหล่านี้ ก็คือเป็นการฝึกซ้อมความฝันเรื่อยมา  สำหรับผู้ที่ติดตั้งอุปกรณ์ในงานเกี่ยวกับการฝัน  กลุ่มบุคคลเช่นนี้ มีเป็นจำนวนมาก ซึ่งการฝันนี้จะมีมานานแล้ว มีมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ก็ผิดบ้าง ถูกบ้าง นั่นก็คือการทำความคุ้นเคยเรื่องของการฝัน จึงเป็นการเรียน การฝึกเรื่อยมา 


แต่เมื่อเข้าในระบบทำงานแล้ว ความฝันเหล่านั้น จะค่อนข้างชัดเจนขึ้น มีฝันแปลก ๆ มากขึ้น มีความฉลาดรู้เท่าทันความฝันได้มากขึ้น มีการไขปริศนา มีการถอดรหัส มีการรู้ล่วงหน้า ว่าฝันนี้มีปริศนา และสิ่งที่ตามมา ก็คือการฝันที่เฉลยปริศนาที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้ เหมือนเล่มเกมส์ทายปริศนา ซึ่งคำเฉลยก็ย่อมมีอยู่แล้ว และก็จะถูกส่งตามมา 

และเมื่อมาพบเจอระบบ  และผู้ร่วมงานที่เกี่ยวเนื่องกันแล้ว จะเริ่มพบเจอเรื่องราวต่าง ๆ ....ที่ต่อเชื่อมกับความฝันเรื่องเดียวกันของบุคคลอื่น ๆ ที่มีการฝันเรื่องเดียวกันหลายคน แต่ฝันเป็นคนละช่วง ต้องนำมาต่อกันจึงจะมองเห็นภาพ ซึ่งข้อมูลจะเกี่ยวโยงต่อเนื่องกันตลอด เหมือนภาพหนึ่งจะมีจิ๊กซอกันคนละตัว แล้วมาต่อเชื่อมกันก็จะเป็นรูปภาพ ๆ นั้นขึ้นมา 

ดังนั้น หลาย ๆ ท่านอาจไม่เคยเจอกัน ไม่เคยเห็นหน้ากัน แต่ฝันถึงกัน เชื่อมโยงกัน หรือเหมือนกัน และสามารถนำมาต่อเชื่อมเรื่องเดียวกันได้ จะมีให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ


ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับด้านความฝัน ส่วนมากจะมีเอกลักษณ์ประจำตัว จะเรียกว่ามีเซ้นท์ มีสัมผัสพิเศษในบางครั้งก็ย่อมได้ เพราะเมื่อพบเจอ หรือสัมผัสสิ่งใด ความรู้สึกจะไว และรู้ว่าสิ่งนี้ใช่ หรือสิ่งนี้ไม่ใช่เลยในทันที

ดังนั้น เมื่อถึงเวลา การฝันก็ไม่ต้องมีการมาตีความอีก จะเป็นรหัสที่สามารถทราบได้เลย เช่นฝันเช่นนี้หมายถึงสิ่งนี้ ฝันเช่นนี้หมายถึงสิ่งนี้ และจะมีการฝันเห็นภาพเหตุการณ์เดียวกัน พร้อมกันหลาย ๆ คน เพื่อยืนยันซึ่งกันและกัน และสิ่งที่ฝันจะเกิดขึ้นจริงตามนั้นเป็นระยะ ๆ นั่นหมายความว่า เป็นการยืนยันการรับข้อมูลที่สามารถใช้งานจริง และจะเป็นแนวทางในการเตือน ในการเตรียมการ ในการนำพาบุคคลต่าง ๆ ไปยังสถานที่ปลอดภัย ตามที่ข้อมูลได้สื่อสารมาในเวลาวิกฤตินั้น ซึ่งทุกท่านก็จะมีความสำคัญในงานของแต่ละท่านเช่นกัน 

..........................


รับข้อมูลผ่านความฝัน(ต่อ)  


แต่ในขั้นตอนนี้  การรับข้อมูลในด้านฝัน  ส่วนใหญ่จะเป็นการฝึกซ้อม ถอดรหัส แปลความหมาย และเชื่อมต่อกันไปเรื่อย ๆ แต่จะสังเกตได้ว่าเริ่มที่จะงวดเข้ามามากขึ้น เข้าใจได้เร็วขึ้น เพียงรอจิ๊กซอตัวต่อไปที่มาประกอบเข้าด้วยกันเท่านั้น ไม่มีการฝันสะเปะสะปะ ไม่มีการฝันที่ไม่มีความหมาย

- แต่ทั้งหมดนี้ ผู้ที่ฝันผ่านอุปกรณ์ มิได้หมายความว่าต้องไปยึดมั่นถือมั่นว่าฝันนั้นเป็นเรื่องจริง ถ้าเกิดขึ้นจริงตามนั้น ก็เป็นเรื่องถูกต้องของงานที่ระบบต้องทำเอง นั่นคือเพื่อประโยชน์ท่านทั้งหลาย 

แต่ในส่วนของประโยชน์ตนนั้นต้องมีการปล่อยวางความฝันนั้นด้วย อย่าลืมว่า ความฝันก็คือความฝัน ต้องออกมาจากความยึดมั่นว่าเราฝันเอง อยากบอกอะไรก็บอกไป อยากฝันอะไรก็ฝันไป เราก็จะได้การปล่อยวางในขณะที่ทำงาน ก็คือ งานของเราเป็นงานด้านฝัน ดังนั้น การที่จะเห็นว่า ความฝันนั้นมันเป็นงาน ก็ต่อเมื่อเราไม่ไปยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งที่ฝันนั้นเป็นของเรา ถ้าเกิดขึ้นจริงตามฝันเราก็ไม่ดีใจ เพราะงานเขามุ่งหมายอย่างนั้นอยู่แล้ว หรือไม่เกิดขึ้นจริงก็ไม่เสียใจ เพราะมันคือกลไกของการให้ประโยชน์ตน    คือเห็นว่าความฝันไม่ใช่ของเรา ไม่มีเราเป็นผู้ฝัน .... เพราะขันธ์ห้ายังไม่ใช่ของเรา แล้วความฝันจะเป็นของเราได้อย่างไร


แต่ถึงเราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในฝันนั้น แต่ระบบก็ยังคงให้มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับความฝันอยู่อย่างต่อเนื่องต่อไป นั่นก็เพราะต้องเชื่อมต่อกับข้อมูลที่ผ่านมายังความฝันของบุคคลอื่น ๆ และต้องนำมาต่อเชื่อมเข้ากับความฝันของเราจึงจะไขปริศนาเรื่องราวต่าง ๆ ได้นั่นเอง

ดังนั้น ส่วนหนึ่งของงานด้านความฝัน ก็เป็นการเอื้อต่อการปล่อยวางไปพร้อม ๆ กันด้วย อย่างเช่น

- ถ้าฝันว่าเมื่อวานนี้เราไปเที่ยวทะเลกับเพื่อน แต่เอาเงินไปไม่พอ เลยยืมเงินเพื่อนมา 2,000 บาท บอกว่าวันนี้เช้าเราจะเงินไปใช้เพื่อนที่บ้านของเขา แต่พอเราตื่นเช้าขึ้นมาแล้วรู้ว่า อ้อ...ฝันไป เราก็จะไม่ได้เอาเงิน 2,000 บาทไปคืนเพื่อนตามที่บอกในฝัน เพราะเรารู้ว่าเป็นฝัน การยึดมั่นว่าเป็นเรื่องจริงก็ย่อมไม่มี อุปาทานว่าเป็นตัวเราผู้ยืมก็ไม่มีตามไปด้วย

ซึ่งหากเป็นการเห็นจากตาเนื้อ หรือรับข้อมูลโดยตรงแบบไม่รู้ตัว ก็มีโอกาสที่จะยึดว่าเราเป็นผู้เห็น เราเป็นผู้รู้ เราเป็นผู้ช่วยเหลือคนอื่น การไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า เพราะมีตัวตนของตนเป็นผู้คิด เป็นผู้เห็น และเป็นกระทำเอง โอกาสที่จะยึดว่ามีตัวเราเป็นผู้ทำสิ่งนั้น ๆ ย่อมมีสูงขึ้นตามไปด้วย

ดังนั้น เมื่อมีตัวเราเป็นผู้กระทำ การที่จะออกจากขันธ์ห้าในขั้นรู้ว่าไม่มีตัวเรา ของเรา ก็จะยากขึ้นไปอีก ก็จะมีการสะสมในบุญกุศลเข้ามาสู่ตัวเรา ก็ต้องขึ้นไปเสวยผลบุญบนสวรรค์ บนวิมาน ตามแรงบุญที่สะสม แล้วก็ยังต้องลงมาเกิดกันอีก เพราะเมื่อยังมีตัวเราเป็นผู้ทำดี ทำชั่ว ก็ยังต้องเกิดกันร่ำไป


หรือการรับรู้ผ่านทางสมาธิ ทางฌาณ หากรู้ไม่เท่าทันว่าเป็นเรื่องของงานที่ต้องรับข้อมูลเช่นนั้นอยู่แล้ว ก็ยังมีโอกาสยึดมั่นว่าเราเป็นผู้รู้ ผู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าเหล่านั้น อาจหลงไปว่าตัวเรามีฤทธิ์ มีเดช มีญาณพิเศษกว่าบุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นการเพิ่มอัตตา ตัวตนให้มากขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นการสวนทางกับการปล่อยวางขันธ์ห้า 

ผู้ปฏิบัติจิตขั้นละเอียดแล้ว จะไม่ยึดถือว่าสิ่งที่ได้มาเหล่านั้นเป็นของท่าน เพราะเป็นธรรมชาติอย่างนั้นอยู่แล้ว เมื่อไม่มีตัวใครของใคร ก็สามารถเข้าถึงธรรมชาติ ธรรมชาติเหล่านั้นก็ย่อมหลั่งไหลเข้ามาให้ได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัสเอง ไม่ใช่ฤทธิ์เดชใด ๆ 


ดังนั้น การที่ได้รับงานในรูปแบบการฝัน รับการสื่อสารผ่านความฝัน ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่ระบบมุ่งหมายเพื่อแจ้งข่าวสารในช่วงวิกฤตการณ์นั้น 

...........................