วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

จุดเริ่มต้นการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา


จุดเริ่มต้น....การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว....ที่เขากะลา 

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)   ที่กำลังดำเนินภารกิจอยู่ในขณะนี้  มีการรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมเพื่อการประสานงานกับกลุ่มต่าง ๆ กับบุคคลต่าง ๆ อยู่ในขณะนี้นั้น  

อาจมีหลายท่านได้รับทราบถึงที่มาที่ไปบ้างแล้ว  แต่เชื่อแน่ว่าบุคคลจำนวนมากที่เพิ่งเข้ามาพบ  เข้ามาสัมผัส เข้ามาศึกษา  อาจจะยังไม่ทราบว่า  เหตุใดจึงมีการรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมเหล่านี้ขึ้นมา  จุดประสงค์เพื่ออะไรแล้วใครเป็นผู้ริเริ่มเริ่มต้นจากจุดไหนมนุษย์ต่างดาวมาจากดวงดาวใดน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหนและการติดต่อสื่อสารกันเป็นระยะเวลาเท่าใด นับจากวันติดต่อสื่อสาร  จนถึงวันนี้

กับเรื่องราวที่เล่าขานมายาวนานนับ 10 ปี  กับคำถามที่หลายท่านอยากได้คำตอบ   
ณ เว็บไซด์แห่งนี้    จะนำข้อมูลมากมายมาให้ท่านได้รับทราบ  ได้ศึกษา  ได้พิจารณา  และได้รับรู้ว่า  โครงการที่ยาวนานนับพันปีที่มนุษย์ต่างดาววางไว้  เพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลกจากภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นนั้น   มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ?

เว็บไซด์แห่งนี้  จะเป็นจุดศูนย์รวมของความเจริญทางจิต  และเทคโนโลยี  ควบคู่กันไป    

จะเป็นแหล่งรวบรวมเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่มาติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลก     ทั้งมนุษย์ต่างดาวที่มาจากจักรวาลนี้  และมาจากต่างจักรวาล     
รวมถึงเรื่องราวของดวงดาวต่าง ๆ นั้น    เขาอยู่กันอย่างไร    มีความเจริญมากน้อยแค่ไหน  แล้วเหตุใดจึงต้องเดินทางมาเพื่อช่วยเหลือโลกใบนี้  

รวมถึงภาพ ufo   จำนวนมากมาย   ที่บันทึกไว้ได้ในประเทศไทย  ทั้งจากที่เขากะลา  และจากสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ  ที่เพื่อน ๆ สมาชิกได้บันทึกภาพไว้ได้

เว็บไซด์  
www.ufokaokala.com   แห่งนี้จะเป็นแหล่งรวมประสบการณ์ของบุคคลต่าง ๆ    ที่มีการพบเห็นจานบิน   พบเจอมนุษย์ต่างดาว    และมาเล่าประสบการณ์ไว้ให้ได้รับทราบ    เว็บไซด์แห่งนี้

จากนี้ไป   จะทยอยนำข้อมูล  ตั้งแต่เริ่มต้นการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว จนถึงปัจจุบันนี้  มาให้รับทราบ

ซึ่งเป็นการเรียกเพื่อเข้าใจได้ง่ายว่า   จากรุ่น ถึงรุ่น และกำลังจะเข้าสู่รุ่นที่ อยู่ในขณะนี้   

ซึ่งโดยความจริงแล้ว  ไม่ได้มีการแบ่งเป็นรุ่นนั้น  รุ่นนี้แต่อย่างใด  ทุกคนร่วมรุ่นเดียวกัน  มาพร้อมกัน  อาจจะโดยฝึกเดี่ยวเฉพาะบุคคลแล้วเพิ่งถึงเวลามาร่วมกันนั่นเอง  

ดังนั้น  จึงไม่มีการแบ่งแยก  ว่าเป็นกลุ่มนั้น  กลุ่มนี้แต่อย่างใด   เพราะทุกคนมาตามงาน  มาตามเวลา  มาตามหน้าที่   ที่ขันอาสากันลงมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลก
ทุกกลุ่ม  ทุกรุ่น  ทุกบุคคล   ที่ขันอาสาลงมาในโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้  ก็คืองานเดียวกัน  ไม่ว่าท่านอยู่ในกลุ่มใด ๆ ก็ตาม


เว็บไซด์แห่งนี้  อาจมีข้อมูลหลากหลาย    ที่เกิดขึ้นจริงกับบุคคลต่าง ๆ  ที่ได้เข้ามาสัมผัส  เข้ามารับรู้  และมีประสบการณ์ด้วยตนเอง   แต่เกินกว่าที่บุคคลทั่วไปจะเชื่อได้  

ดังนั้น   จึงมิได้เป็นการโน้มน้าวให้ท่านเชื่อในข้อมูลเหล่านี้   แต่หากท่านที่จะเข้ามาศึกษาข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้  ต้องใช้การพิจารณา  ไตร่ตรองของท่านเอง ว่าจะเชื่อได้หรือไม่ ?

ทางกลุ่มประสานงานฯ  ได้เพียงนำเสนอข้อมูล   และนำหลักฐานของการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว  รวมถึงพยานวัตถุ  พยานบุคคล  และประสบการณ์จากผู้ที่เคยได้พบเจอ  ได้สัมผัส  หรือได้เข้ามาศึกษาแล้วพบเห็นได้ด้วยตนเองเท่านั้น

ข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้   ขอบันทึกไว้ในฐานะ   แจ้งเพื่อทราบ    เท่านั้น  

นอกนั้น  ท่านต้องพิจารณาไตร่ตรองด้วยตัวท่านเอง   

และขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่ได้ติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่องตลอดมา ขอบคุณค่ะ


..........................


มารู้จักมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลากันเถอะ....


ในห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล มีดวงดาวนับล้านๆดวง จะมีเพียงดาวดวงนี้เท่านั้นหรือ ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ยิ่งวิทยาศาสตร์มีความเจริญมากขึ้นเท่าใด ความพยายามที่จะค้นหาในสิ่งที่กำลังสงสัยก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

แต่ สิ่งหนึ่ง ที่สวนทางกันกับความเจริญทางโลก ก็คือความเจริญทางจิตวิญญาณ การเรียนรู้เพื่อให้เข้าถึงกฏของธรรมชาติ การเป็นผู้ให้ ความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ซึ่งเริ่มลดน้อยถอยลงแต่อำนาจความโลภ ความโกรธ ความหลง ความมัวเมาในวัตถุ ความแก่งแย่งชิงดี ที่ดูเหมือนจะเจริญงอกงามมากขึ้นทุกวันเป็นเงาตามตัว

ถ้ามองจากด้านนอกเราจะเห็นโลกแคบ แต่ถ้ามองจากด้านในเราจะเห็นโลกกว้าง

คำๆ นี้มีนัยสำคัญสำหรับผู้ปฏิบัติอย่างยิ่ง เมื่อเราหมกมุ่นอยู่กับวัตถุสิ่งของภายนอก ความเจริญในด้านเทคโนโลยี่ต่างๆ ต่อให้พัฒนาไปสักแค่ไหนจะไม่มีคำว่าพอ จะต้องเสาะหาต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุดเพราะความทะยานอยากเป็นตัวผลักดันนั่นเอง


แต่ เมื่อเรามองจากข้างในตัวเอง มองเห็นความเกิดขึ้นของอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ความสุข ความทุกข์ เรียนรู้ขันธ์ห้าให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับกฏของธรรมชาติแล้ว เราจะเห็นโลกกว้างไกลเห็นทั่วทั้งอนันตจักรวาล เพราะทุกอย่างมีเพียงหนึ่งเดียวคือธรรมชาติ และทุกสรรพสิ่งก็ดำเนินไปตามกฏของธรรมชาติเท่านั้น


กฎของ ธรรมชาติ หรือกฎแห่งกรรม เป็นกฏอันเดียวกัน เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในกฏของธรรมชาติ ดังนั้นกฎของธรรมชาตินี้จึงมีอยู่ทั่วไปในสากลจักรวาล

แล้วโลกที่มีความเจริญทางจิตใจ และทางวัตถุควบคู่กันไปเขาอยู่กันอย่างไร?


......มารู้จักมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลากันเถอะ....

-มนุษย์ ต่างดาวที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ติดต่อสื่อสารด้วยนั้นมี 2 ดวงดาว เป็นหลัก คือดาวโลกุกะตะปากะดิกอง และ ดาวพลูโต

-ดาวโลกุกะตาปากะดิกองเป็นดาวดวงหนึ่งที่อยู่คนละจักรวาล กับเรา มีความเจริญทางจิตและวิทยาศาสตร์ควบคู่กันไป มีเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้าล้ำยุค เป็นมนุษย์ที่อยู่อีกจักรวาลหนึ่งเป็นโลกที่มีขนาดใหญ่เกือบ 3 เท่าของโลกเรา โลกของเขาหมุนรอบตัวเองวันหนึ่ง 60 ชั่วโมง

- ภูมิประเทศ เ ป็นดาวที่อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์อากาศหนาวเย็น มนุษย์จากดาวโลกุกะตาฯ จึงต้องสวมใส่ชุดรัดรูปที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ อุณหภูมิภายในชุดที่สวมใส่จะปรับเองตามความสูงขึ้น หรือลดลงของอุณหภูมิภายนอก เพื่อคงสภาพอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที่

- บนดาวของเขา ก็มีภูมิประเทศคล้ายโลกเรา มีภูเขา มีแม่น้ำ มีทะเลแต่เขา ไม่มีเรือ(ยานฯแล่นบนน้ำได้) ไม่มีรถยนต์ ไม่มีรถไฟ ดังนั้นโลกของเขาจึงไม่มีมลพิษ ไม่ต้องมีถนนตัดผ่านให้วุ่นวาย แต่มีจุดจอดยานเป็นแห่งๆสำหรับขนส่งสิ่งของ

- ไม่มีทางเดินที่เป็นถนนสร้างยาวอย่างโลกของเรา แต่เขามีทางกระโดดซึ่งอยู่ห่างเป็นจุดๆ เพราะโลกของเขามีแรงดึงดูดน้อย จะเดินไม่ได้เพราะตัวเบา จึงต้องกระโดด เขากระโดดได้ไกลประมาณ 5 – 6 เมตร จึงสร้างจุดรองรับเป็นช่วงๆระยะห่างประมาณ 5 เมตร

- ในโลกของเขา ก็มีการเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน ในช่วงของการเกิดมรสุม มีการเกิดพายุอย่างหนัก แต่จะไม่เกิดความเสียหาย กับทรัพย์สิน และชีวิตแต่เพราะเขาอยู่ในยานฯ เมื่อเกิดพายุเขาก็จะนำยานฯไปลอยอยู่ข้างบนก่อน เมื่อสงบจึงกลับลงมา ส่วนที่พักที่อยู่บนพื้นโลกจะสร้างเป็นเพียงฐานสี่เหลี่ยมเตี้ยๆ โผล่ไว้เหนือพื้นดิน จึงไม่เกิดความเสียหาย และเป็นที่สำหรับนำยานลงจอด จะมีทางลงไปใต้ดินด้านล่างซึ่งเป็นที่สำหรับพักอาศัยภายในครอบครัว ซึ่งแต่ละครอบครัวจะมีสมาชิกไม่เกิน 4 คน คือ พ่อ แม่ และมีลูกได้ไม่เกิน 2 คน ถ้ามีเกินกว่านั้นก็จะผิดกฏ ต้องโดนไล่ออกจากจักรวาลนั้น

- มนุษย์ต่างดาวโลกุกะตาฯ มีความเจริญทางจิตสูงมากรักษาศีลกันเป็นปกติ (เป็นแนวทางดำรงชีวิตประจำวัน) แต่ศีลของเขาจะไม่เหมือนกับของเรา เพราะความแตกต่างในเรื่องความเข้าถึงกฏธรรมชาติไม่เหมือนกันเช่น

ศีล ข้อ 1 การฆ่าสัตว์ เขาไม่มี เนื่องจากเขากินอาหารที่เป็นแคปซูล ทำจากต้นเคริป ซึ่งเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งเป็นหลักวันละ 1 เม็ด เขาไม่มีระบบขับถ่าย เพราะจะย่อยสลายไปเอง เขาจึงไม่มีการเบียดเบียนกัน แต่สัตว์บนโลกเขาก็มี เขาบอกว่าปลาในน้ำก็มี สัตว์อื่นก็มีแต่ไม่มากมายเหมือนโลกเรา และสัตว์ต่าง ๆ ก็อยู่ไปตามธรรมชาติ จนหมดอายุไปเอง

ศีลข้อ 2 การลักทรัพย์ ศีลข้อนี้ก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่มีเหมือนกันหมด และเป็นของรัฐบาลทั้งหมด ไม่มีการใช้เงินตรา ไม่มีการทำธุรกิจเพื่อแก่งแย่งกัน เพราะรัฐบาลจัดทำเอง จัดหาให้เองทั้งหมด ทุกคนจึงไปทำงานตามหน้าที่ของตนเท่านั้น ดังนั้นความโลภในทรัพย์สินจึงไม่มี และไม่ต้องลักขโมยกัน

ศีลข้อมุสา ไม่ต้องมี เพราะเขาคุยกันทางจิต คิดสิ่งใดออกมาก็รู้กันหมด ซี่งมนุษย์ต่างดาวที่มาสื่อสารตอนแรก ๆ ยังเคยกล่าวว่า มนุษย์โลกนี้ทำไมคิดอย่างหนึ่ง แล้วบอกอีกอย่างหนึ่ง ทำไมไม่บอกอย่างที่กำลังคิด (ตอนนั้นมนุษย์ต่างดาวคงยังไม่รู้ถึงความซับซ้อนในการกล่าวคำเท็จของมนุษย์ โลก) มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ทำไมเขาจึงรู้ว่ามนุษย์คนนั้นกำลังคิดอะไ ร เพราะสิ่งที่มนุษย์คิดออกมานั้น มันเป็นระบบคลื่นที่ส่งออกมาจากสมอง เมื่อมีเครื่องมือแปลสัญญาณคลื่นนั้น ก็มองเห็นว่ากำลังคิดอะไร ซึ่งเขาก็ประดิษฐ์เครื่องแปลสัญญาณนั้นมาใช้บนโลก เขาบอกไม่ใช่เรื่องแปลก มันเป็นเทคโนโลยี เหมือนเรามีเครื่องรับแฟกซ์ ตอนเขาส่งมาจากต่างประเทศ ก็มาเป็นสัญญาณคลื่น เมื่อเรามีเครื่องรับแฟกซ์ ก็สามารถรับสัญญาณคลื่นมาแปลเป็นข้อความ หรือภาพ ลงในแผ่นกระดาษได้ และสามารถรับรู้ข้อความ หรือภาพต่าง ๆ ได้เหมือนกับที่เขาส่งมาเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้มนุษย์ยังไม่สามารถสร้างเครื่องแปลคลื่นความคิด ให้ออกมาเป็นข้อความได้ เราจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องลึกลับ ว่าเขารู้ได้ยังไงว่าเราคิดอะไรอยู่?

-เป็นตัวอย่างบางข้อ ที่เขาเคยกล่าวไว้ ซึ่งกฏศีลธรรมบนโลกเขา ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง โลกของเขาจึงไม่มีการปกครองด้วยกฏหมาย แต่มีกฏศีลธรรม หรือกฏของธรรมชาติ เป็นตัวกำกับ หากผู้ใดละเมิดกฏศีลธรรมก็ต้องถูกลงโทษเช่นกัน

- เรื่องราวยังมีอีกมากมาย และทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนที่นำมาเล่าให้ฟัง และเป็นข้อความที่พี่สุดใจเก็บรวบรวมไว้ ทุกครั้งที่มีการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว และเมื่อมีข้อมูลผ่านมา จ.ส.อ.เชิด จะเป็นผู้แปลข้อมูลต่าง ๆ และพี่จะเป็นคนบันทึกไว้ แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกในโอกาสต่อไปนะคะ


..........................


จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน
รับการสื่อสารข้อมูลนี้ในวันที่ 17 ธันวาคม 2540
ซึ่งเป็นข้อมูลพิเศษ
เกี่ยวกับยานอวกาศของต่างดาว

ข้อมูลพิเศษ
จากดาวโลกุกะตาปากะดิกอง  จากต่างจักรวาล


1.) มีโรงงานผลิตยานอวกาศ 400 โรงงาน
2.) ผลิตได้ประมาณวันละ 1,000 ลำ
3.) ยาน ฯ ที่ใหญ่ที่สุด เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1,000 เมตร
4.) ยาน ฯ ที่บรรทุกได้ 50 ลำ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 200 เมตร
5.) ยาน ฯ ที่บรรทุกได้ 4 ลำ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 50 เมตร
6.) ยานลำลูก ที่บินอยู่นี้ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 เมตร
7.) ยาน ฯ ที่ประชาชนใช้ บรรทุกได้ไม่เกิน 2 ตัน วัดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 เมตร
8.) มียาน ฯ เล็ก ขนาดติดตัวเดินทางได้ 1 คน
9.) ยาน ฯ บรรทุกขนาด 50 ลำ มีอยู่ 100,000 ลำ
10.) ยาน ฯ บรรทุกขนาด 4 ลำ มีอยู่ 400,000 ลำ
11.) ยาน ฯ ลูก มีจำนวน 1,000,000 ลำ
12.) ยาน ฯ ลูก มีลูกเรือ 5 คน ต่อ 1 ลำ
13.) ยาน ฯ ที่ประชาชนใช้ จะเป็นยานธรรมดา ไม่มีอาวุธ
14.) ยาน ฯ ที่ใช้ออกรบ จะมีอาวุธ
15.) การสู้รบนั้น มนุษย์ไม่มีทางที่จะต่อสู้ได้เลย
16.) การรบใช้ยิงด้วยแสงเลเซอร์ เป็นอาวุธทำลาย
17.) ยาน ฯ แม่มีขนาดบรรทุก 50 ลำ จะลอยตัวอยู่ได้ 5 ปี
18.) ยาน ฯ ขนาดบรรทุกได้ 4 ลำ จะลอยตัวอยู่ได้ครั้งละ 100 วัน
19.) การขับเคลื่อน ขับเคลื่อนด้วยพลังแม่เหล็ก และแร่ธาตุบางชนิด
20.) ยาน ฯ นั้น ประชาชนไม่ต้องซื้อ เพราะเป็นของรัฐ รัฐบาลเป็นผู้จ่ายให้
21.) เครื่องบินที่ถูกคลื่นโดยมิได้เจตนา ประมาณ 30 ลำ ขอแสดงความเสียใจด้วย
22.) สถานที่ทำงาน หรือกองบัญชาการ อยู่ภายในยาน
23.) ยานอวกาศของมนุษย์ทั่วโลก ที่ส่งขึ้นไปทั้งที่เปิดเผย และไม่เปิดเผยนั้น ส่งคลื่นไปรบกวนประมาณ 200 ลำ
24.) ยานที่ส่งไปเพื่อสำรวจบนดวงจันทร์นั้น มีคลื่นรบกวน
25.) ยานที่ส่งไปเพื่อใช้สื่อสารนั้น คลื่นไม่รบกวน
26.) ยานไทยคม ไม่มีคลื่นรบกวน


ลักษณะและความเป็นอยู่ของมนุษย์ต่างดาว

1.) มีลักษณะศรีษะโต ตัวเล็กกว่ามนุษย์โลก
2.) ลักษณะท้องจะใหญ่ เนื่องจากมีพลังงานอยู่ที่บริเวณท้อง
3.) ศรีษะมีเรดาห์ ยื่นขึ้นไปในอากาศ เป็นที่รับคลื่น เพราะการสื่อสารของมนุษย์ต่างดาวนั้น สื่อสารกันด้วยคลื่น
ดังนั้น คลื่นที่มนุษย์ส่งขึ้นไป จึงรบกวนมนุษย์ต่างดาว
4.) การติดต่อกัน ติดต่อทางโทรจิต ทางคลื่น
5.) ประชากรมีประมาณ 200 ล้านคน
6.) เป็นชนชาติเผ่าเดียวกันทั้งหมด
7.) การปกครองเป็นประชาธิปไตย ทุกคนต้องรักษาศีล ผู้ใดละเมิดศีล จะต้องถูกลงโทษ
8.) การนับถือศาสนา มีพระเจ้าผู้วิเศษของมนุษย์ต่างดาว คล้ายกับศาสนาพุทธ จึงสื่อสารกันได้
9.) ศาสนาของมนุศย์ต่างดาวรุ่งเรืองกว่าของมนุษย์มากมาย เพราะทุกคนจะรักษาศีลกัน โดยไม่มีกฏหมาย
10.) มีนรก สวรรค์ และ "กฏแห่งกรรม" เป็นของจักรวาลนั้น
11.) มีพระเจ้าองค์เดียว เทียบกับพระพุทธเจ้า
12.) มีผู้วิเศษ 1 คน เทียบกับพระเจ้าแผ่นดิน
13.) มีผู้ช่วยผู้วิเศษ เทียบกับ ราชฑูต 10 คน
14.) รองผู้ช่วยผู้วิเศษ เทียบกับผู้ว่าราชการจังหวัด 1,000 คน
15.) มีแคว้น 1,000 แคว้น
16.) โรงงานผลิตอาหาร ประมาณ 2,000 โรงงาน
17.) อาหารเป็นแคปซูล ทำด้วยผลไม้ยืนต้น คือต้นเคริบ
18.) อาหารกิน 1 ครั้ง อยู่ได้ 1 วัน
19.) โรงพยาบาล ประมาณ 1,000 แห่ง
20.) การรักษา ไม่ใช้ยาฉีด ใช้ยาต้ม และใช้พลังจิตรักษา
21.) คนป่วยไม่ต้องมานอนรักษาที่โรงพยาบาล ให้มารับยาต้ม แล้วใช้พลังจิตรักษาคนป่วย ซึ่งคนป่วยก็อยู่ในยานนั้น
22.) มนุษย์ต่างดาวอยู่บนยาน ซึ่งเปรียบเสมือนบ้าน
23.) มนุษย์ต่างดาวมีอายุ 300 ปี
24.) เวลา 1 วัน จะเท่ากับ 60 ชั่วโมง
25.) อากาศเย็นประมาณ 0 องศา ส่วนมากจึงอยู่ในยาน
26.) ไม่มีฤดูหนาว เนื่องจากอากาศเย็น 0 องศา มีแต่หน้าร้อน กับหน้าฝน
27.) มีแม่น้ำ มีทะเล มีภูเขา ไม่มีภูเขาไฟ
28.) ในทะเลไม่มีเรือ ใช้ยานที่ลอยน้ำได้ ขับเคลื่อนในน้ำได้
29.) ไม่มีรถไฟ รถยนต์ มีแต่ยาน
30.) มีโรงเรียน มีทหาร แต่ไม่มีตำรวจ โดยใช้ทหารแทนตำรวจ ทำโทษผู้ประพฤติผิดศีล


...........................


อีกดวงดาวหนึ่งที่มาติดต่อสื่อสารกับกลุ่มเขากะลาในขณะนั้นคือ  
มนุษย์ต่างดาวจากดาวพลูโต   ซึ่งอยู่ในจักรวาลเดียวกัน

ข้อมูลจากดาวพลูโต   

ดาวพลูโตเป็นดาวที่อยู่ในระบบสุริยะจักรวาลของเรา เป็นดาวที่อยู่ห่างไกลมาก และมีอากาศที่หนาวเย็นติดลบหลายร้อยองศา

-มนุษย์ ที่อยู่ดาวพลูโต มีอายุยืนหลายหมื่นปี มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของสมาธิมาก ซึ่งเขากล่าวว่า เพราะอายุยืนมาก และอยู่กับสมาธิตลอดเวลา ก็ย่อมต้องเชี่ยวชาญเป็นธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

- มนุษย์ที่อยู่บนดาวพลูโตนั้น จะอยู่ในกันรูปแบบของพลังงานเป็นส่วนใหญ่ และทำสมาธิเป็นหลัก จึงไม่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่หนาวเย็น กายหยาบก็มี เป็นร่างสังเคราะห์เทียม สำหรับใช้ในการปฏิบัติภารกิจในแต่ละคราว เช่นเมื่อมาปฏิบัติภารกิจในโลกมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือเรื่องของภัยพิบัติ ก็จะใช้ร่างสังเคราะห์เทียมนี้มาร่วมปฏิบัติงาน


- “ ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโตเป็นผู้นำในการฝึกฯ มุ่งเน้นเกี่ยวกับการยกระดับจิตใจของมนุษย์เป็นหลัก ทำการฝึกฯกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ให้รู้ระบบการทำงานกับมนุษย์ต่างดาว ให้เรียนรู้เรื่องเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว อุปกรณ์ที่จะนำมาช่วยเหลือมนุษย์ และมนุษย์จาก ดาวพลูโต เชี่ยวชาญในเรื่องของมิติมาก จะมีการเข้าออกมิติ เปิด ปิดมิติ ให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่เสมอ และยังนำมนุษย์เข้าออกมิติโดยเราไม่รู้ตัวเลยมาแล้วหลายครั้ง (จะนำมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป)

- มีการนำตัวอย่าง เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว และอุปกรณ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยี มาให้เรียนรู้ แต่จุดมุ่งหมายหลัก มุ่งเน้นการฝึกจิตเป็นสำคัญ ฝึกการปล่อยวางขันธ์ห้า เพื่อเข้าถึงกฏของธรรมชาติ สอนเรื่องทุกข์ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นการสอนในกฏของธรรมชาติ เช่นเดียวกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน แต่มีการนำอุปกรณ์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีมาประกอบการสอน จึงเป็นการสอนการปล่อยวางที่เข้าใจง่าย และเบื่อหน่ายขันธ์ห้าได้จริง กลุ่มผู้ฝึกฯ ได้มีโอกาสเรียนรู้ พบเห็นเทคโนโลยีของเขามามากมาย จนแน่ใจว่า เรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะต้องได้รับการช่วยเหลือด้วยเทคโนโลยีจากเขาแน่นอน

การเดินทางจากดาวพลูโตมายังโลก จึงมาได้ 2 ช่องทาง

- เดินทางด้วยยานอวกาศฯ โดยผ่านมิติมา และนำร่างสังเคราะห์เทียม มาปฏิบัติภารกิจ ร่วมกับดวงดาวอื่น ๆ บนโลกมนุษย์ สามารถมองเห็นร่างสังเคราะห์เทียมได้ด้วยตาเปล่า

- เดินทางมาในรูปแบบพลังงาน เป็นกลุ่มแสงขนาดใหญ่เกิดขึ้นก่อน แล้วจึงเป็นพลังงานลงมา มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มาปฏิบัติภารกิจ ที่ไม่ต้องอาศัยร่างสังเคราะห์เทียม ดังนั้นแม้จะอยู่สถานที่เดียวกันก็มองไม่เห็นเขา

ภาพที่บันทึกได้ใน กระทู้ที่ผ่านมา เป็นการนำยานลงมาจอดเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2541 และสถานที่เขากะลานี้ ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต ได้กำหนดไว้แล้ว

และ ภาพต่อจากนี้ชุดแรก เป็นร่างสังเคราะห์เทียมออกมาจากยานที่ลงจอด(นำเสนอไปแล้วครั้งหนึ่ง) ร่างสังเคราะห์จะมีขนาดเล็กมาก (เทียบกับดวงไฟจะเห็นชัดว่าไฟดวงใหญ่กว่าตัวคน) เรืองแสงมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

และอีกภาพหนึ่ง เป็นการลงมาในรูปแบบพลังงาน จะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ทั้งสองภาพนี้ คุณอนวัชจากกรุงเทพฯ เดินทางไปเขากะลาหลายครั้ง บันทึกภาพไว้ได้ และมอบไว้ให้ ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ







ภารกิจของดาวพลูโต คืออะไร? 
--------------------------------------------------------------------------------

ดาวพลูโตเป็นดาวที่อยู่ในระบบสุริยะจักรวาลของเรา เป็นดาวที่อยู่ห่างไกลมาก และมีอากาศที่หนาวเย็นติดลบหลายร้อยองศา

-มนุษย์ที่อยู่ดาวพลูโต มีอายุยืนหลายหมื่นปี มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของสมาธิมาก ซึ่งเขากล่าวว่า เพราะอายุยืนมาก และอยู่กับสมาธิตลอดเวลา ก็ย่อมต้องเชี่ยวชาญเป็นธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร 

- มนุษย์ที่อยู่บนดาวพลูโตนั้น จะอยู่ในกันรูปแบบของพลังงานเป็นส่วนใหญ่ และทำสมาธิเป็นหลัก จึงไม่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่หนาวเย็น กายหยาบก็มี เป็นร่างสังเคราะห์เทียม สำหรับใช้ในการปฏิบัติภารกิจในแต่ละคราว เช่นเมื่อมาปฏิบัติภารกิจในโลกมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือเรื่องของภัยพิบัติ ก็จะใช้ร่างสังเคราะห์เทียมนี้มาร่วมปฏิบัติงาน

- “ ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโตเป็นผู้นำในการฝึกฯ มุ่งเน้นเกี่ยวกับการยกระดับจิตใจของมนุษย์เป็นหลัก ทำการฝึกฯกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ให้รู้ระบบการทำงานกับมนุษย์ต่างดาว ให้เรียนรู้เรื่องเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว อุปกรณ์ที่จะนำมาช่วยเหลือมนุษย์ และมนุษย์จาก ดาวพลูโต เชี่ยวชาญในเรื่องของมิติมาก จะมีการเข้าออกมิติ เปิด ปิดมิติ ให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่เสมอ และยังนำมนุษย์เข้าออกมิติโดยเราไม่รู้ตัวเลยมาแล้วหลายครั้ง (จะนำมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป) 

- มีการนำตัวอย่าง เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว และอุปกรณ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยี มาให้เรียนรู้ แต่จุดมุ่งหมายหลัก มุ่งเน้นการฝึกจิตเป็นสำคัญ ฝึกการปล่อยวางขันธ์ห้า เพื่อเข้าถึงกฏของธรรมชาติ สอนเรื่องทุกข์ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นการสอนในกฏของธรรมชาติ เช่นเดียวกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน แต่มีการนำอุปกรณ์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีมาประกอบการสอน จึงเป็นการสอนการปล่อยวางที่เข้าใจง่าย และเบื่อหน่ายขันธ์ห้าได้จริง กลุ่มผู้ฝึกฯ ได้มีโอกาสเรียนรู้ พบเห็นเทคโนโลยีของเขามามากมาย จนแน่ใจว่า เรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะต้องได้รับการช่วยเหลือด้วยเทคโนโลยีจากเขาแน่นอน

การเดินทางจากดาวพลูโตมายังโลก จึงมาได้ 2 ช่องทาง

- เดินทางด้วยยานอวกาศฯ โดยผ่านมิติมา และนำร่างสังเคราะห์เทียม มาปฏิบัติภารกิจ ร่วมกับดวงดาวอื่น ๆ บนโลกมนุษย์ สามารถมองเห็นร่างสังเคราะห์เทียมได้ด้วยตาเปล่า

- เดินทางมาในรูปแบบพลังงาน เป็นกลุ่มแสงขนาดใหญ่เกิดขึ้นก่อน แล้วจึงเป็นพลังงานลงมา มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มาปฏิบัติภารกิจ ที่ไม่ต้องอาศัยร่างสังเคราะห์เทียม ดังนั้นแม้จะอยู่สถานที่เดียวกันก็มองไม่เห็นเขา

และภาพต่อจากนี้ชุดแรก เป็นร่างสังเคราะห์เทียมออกมาจากยานที่ลงจอด(นำเสนอไปแล้วครั้งหนึ่ง) ร่างสังเคราะห์จะมีขนาดเล็กมาก (เทียบกับดวงไฟจะเห็นชัดว่าไฟดวงใหญ่กว่าตัวคน) เรืองแสงมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า 




และอีกภาพหนึ่ง เป็นการลงมาในรูปแบบพลังงาน จะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ทั้งสองภาพนี้ คุณอนวัชจากกรุงเทพฯ เดินทางไปเขากะลาหลายครั้ง บันทึกภาพไว้ได้ และมอบไว้ให้ ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ



..................................................


มนุษย์ต่างดาวรู้เรื่องภัยพิบัติได้อย่างไร?
--------------------------------------------------------------------------------

การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ของกลุ่มเขากะลา(เดิม) นั้น ก็เริ่มต้นจาก จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน เป็นบุคคลแรก เพราะท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรม และทำสมาธิมาตั้งแต่สมัยยังเป็นสามเณร จนบวชเป็นพระภิกษุ และเมื่อท่านเป็นทหาร ท่านก็ยังคงทำสมาธิ ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องตลอดมา 

ดังนั้นการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ทางด้านจิต จึงทำได้ง่าย เพราะความนิ่งของสมาธิจิต ท่านสามารถแยกข้อมูลได้ สามารถแปลข้อความออกมาถูกต้องตรงตามการสื่อสาร ที่เราบอกว่าถูกต้องตรงเพราะอะไร เพราะมีหลายครั้งที่มนุษย์ต่างดาวสื่อสารผ่านร่างบุคคลอื่น ไม่มีใครรู้ว่าจะทำอย่างไร ต้องตาม จ.ส.อ.เชิด มาช่วยแปล จึงจะรู้เรื่องราวที่เขาสื่อสารมาว่า มาเพื่ออะไร และเมื่อคลื่นจากต่างดาวผ่านออกไปแล้ว บุคคลที่รับคลื่นนั้นมา แม้ขณะคลื่นต่างดาวผ่าน เขาจะพูดเป็นภาษาอื่นออกมา แต่ภายในสมองของบุคคลนั้น จะมีความเข้าใจในความหมายของข้อความที่สื่อผ่านมา แม้คำที่พูดออกมาจะเป็นภาษาอื่นก็ตาม ซึ่งสิ่งที่ติดตั้งในตัวบุคคลท่านนั้น เป็นอุปกรณ์สำหรับแปลภาษาที่ติดตั้งไว้สำหรับแปลภาษาที่รับมานั้นเอง เราเรียกว่า อุปกรณ์เทคโนโลยีของต่างดาว และผู้รับข้อความยังบอกว่า จ.ส.อ.เชิด แปลถูกต้องทุกประโยค ในสิ่งที่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาอื่น

- สิ่งเหล่านี้มิใช่เรื่องแปลก เพราะเราจะเห็นว่าในสมัยก่อน ผู้ที่นับถือพุทธศาสนา จึงมุ่งศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน จะกระทำกันอย่างจริงจัง มุ่งหาทางหลุดพ้นตามแนวทางที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้ แม้จะมีการทำมาหากินกันตามปกติ แต่ก็จะไม่มีความโลภ โกรธ หลง มากนัก เพราะเหตุปัจจัย หรือสิ่งเย้ายวนต่าง ๆ มันยังน้อย และก็ยังไม่ละทิ้งการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

- แต่เมื่อมามองในยุคนี้ จะเห็นว่า บุคคลที่จะตั้งใจศึกษา และปฏิบัติธรรม ลดน้อยลง เพราะมีความเจริญทางด้านวัตถุเข้ามามากขึ้น ผู้คนเริ่มมากขึ้น ความแก่งแย่งในการทำมาหากินจึงมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น จุดมุ่งหมายจึงเปลี่ยนจากมุ่งเน้นพัฒนาจิตใจ ไปเป็นพัฒนาวัตถุแทน และคนที่เกิดมาในรุ่นยุควัตถุนิยม ก็จะหันไปให้ความสนใจกับวัตถุกันเป็นหลัก แก่งแย่งกันเรียน แก่งแย่งกันหางานทำ จนไม่มีเวลาที่จะหันไปให้ความสนใจ ที่จะพัฒนาจิตของตนเอง

- ที่กล่าวมานี้ มุ่งหมายที่จะให้เห็นว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา ของความเจริญ และความเสื่อมไปตามยุคตามสมัย เมื่อมีความเจริญทางจิตมาก ธรรมชาติก็ให้ความร่มเย็นเป็นสุข เมื่อมีความเจริญทางวัตถุแต่เสื่อมทางจิตมาก ธรรมชาติก็ให้โทษเป็นเรื่องธรรมดา นี่เป็นกลไกธรรมชาติ ซึ่งมีการวนเวียนเช่นนี้หลายยุคหลายสมัย ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น 

- ดังนั้น เรื่องของภัยพิบัติ ก็ย่อมมีเหตุปัจจัยที่สะสมมา มันจึงต้องเกิดไปตามกลไกของธรรมชาติ 

- แต่สิ่งที่ กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) จะกล่าวถึงในวันนี้ก็คือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น ทำไมผู้ปฏิบัติทางจิตจำนวนมากจึงสามารถรู้ล่วงหน้าก่อนเหตุการณ์จะเกิดได้ ทำไมมนุษย์ต่างดาวจากโลกอื่น ๆ จึงรู้ได้ จนต้องมาเตรียมการช่วยเหลือมนุษย์โลกนี้ สิ่งเหล่านี้มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันเป็นหลักการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ ที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติ ผู้ใดที่ต่อเชื่อมกับธรรมชาติได้ ก็รับรู้ได้เช่นกัน แต่อธิบายไปมนุษย์อาจไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็ยกตัวอย่างว่า บางครั้งมนุษย์ก็ยังมีการคำนวณได้ล่วงหน้าหลายปี ว่าวันที่นี้ เดือนนี้ ปีนี้ เวลานี้ จะเกิดสุริยุปราคา จะเกิดฝนดาวตก จะเกิดพายุ หรือ แม้กระทั่งวิชาโหราศาสตร์ที่แม่นยำ ยังสามารถรู้ล่วงหน้าได้ ว่าปีไหน จะเกิดอะไรกับประเทศนี้ กับคนนี้ และเมื่อเวลาผ่านไปมันเกิดขึ้นจริงตามนั้น เคยสงสัยไหมว่า เขารู้ล่วงหน้าก่อนเกิดได้อย่างไร ซึ่งก็มาจากหลักการคำนวณนั่นเอง ซึ่งมันมีอยู่แล้วในธรรมชาติ เพียงแต่ว่าการคำนวณเรื่องภัยพิบัติ อาจมีเหตุปัจจัย หรือกลไกซับซ้อนกว่าเท่านั้น 

- หลักการคำนวณ มันมีอยู่แล้วในธรรมชาติ เมื่อมีเหตุปัจจัยเช่นนี้ ก็จะเกิดสิ่งนี้ เวลานี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ดังนั้น มนุษย์ต่างดาวที่มีความเจริญ เขาจึงสามารถคำนวณได้ว่า ในช่วงเวลานี้ จะเกิดอะไรกับดาวดวงไหน ในช่วงเวลานี้จะเกิดกับดาวดวงไหน และในช่วงเวลานี้จะเกิดกับดาวอะไร?

เพราะมนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า ไม่ใช่ดาวดวงนี้เท่านั้น ที่เขาต้องมาให้ความช่วยเหลือเมื่อจะเกิดภัยพิบัติ มีดวงดาวอีกมากมายที่ต้องให้ความช่วยเหลือเหมือนกัน เพราะดาวแต่ละดวงจะมีปัญหาไม่เหมือนกัน

- มนุษย์ต่างดาว มีการรวมกันจากหลายดวงดาว ขึ้นเป็น สมาชิกกลุ่มสากล ทำหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือดวงดาวต่าง ๆ ที่ประสบความวิกฤตในแต่ละด้าน ซึ่งเขายกตัวอย่างว่า เปรียบเสมือนสหประชาชาติ บนโลกนี้ ที่แต่ละประเทศจะเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาติ และประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ในประเทศใดประเทศหนึ่ง แล้วจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือ ประเทศสมาชิก ก็จะส่งทหารเข้าร่วมปฏิบัติการ ซึ่งปัญหาของแต่ละประเทศบนโลกมนุษย์ก็ยังไม่เหมือนกัน บางประเทศขาดแคลนอาหาร บางประเทศ เกิดสงคราม บางประเทศเกิดอุทกภัย บางประเทศเกิดโรคระบาด ซึ่งสหประชาชาติ ก็จะส่งความช่วยเหลือไปตามความจำเป็นของประเทศนั้น ๆ ขาดแคลนอาหาร ก็ส่งอาหาร ส่งหมอ เกิดอุทกภัย ก็จัดส่งอุปกรณ์ยังชีพ หน่วยกู้ภัย และยารักษาโรค ซึ่งสมาชิกของสหประชาชาติแต่ละประเทศ ก็จะส่งทหารที่มีความเชี่ยวชาญแต่ละงานไปทำหน้าที่นั้น ๆ เช่นประเทศไทย อาจจะส่งแพทย์ไปช่วย สหรัฐอาจจะส่งอุปกรณ์เทคโนโลยี หรือประเทศญี่ปุ่นอาจจะส่งเงิน ส่งอาหาร แล้วแต่ประเทศไหนมีความพร้อม หรือมีความชำนาญในแต่ละด้านไม่เท่ากัน 

- ซึ่งมนุษย์ต่างดาวในแต่ละดวงดาว ก็มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านไม่เหมือนกัน ดังนั้น เมื่อดาวดวงใด ประสบกับวิกฤตการณ์ด้านไหน ก็จะระดมแต่ละดวงดาวที่มีความเชี่ยวชาญไปช่วยแต่ละดาวดวงนั้น เช่น บางดาวเชี่ยวชาญด้านสร้างพลังงานคุ้มกันรังสี บางดาวเชี่ยวชาญด้านผลิตอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ บางดาวเชี่ยวชาญด้านสร้างเครื่องมือในการรักษาชีวิต บางดาวเชี่ยวชาญสร้างอุปกรณ์เพื่อสื่อสารกับมนุษย์ และบางดาวเชี่ยวชาญด้านชีวภาพ จึงมิใช่เราเป็นดาวดวงแรกที่มีมนุษย์ต่างดาวมาให้ความช่วยเหลือ จริง ๆ แล้วโลกของเรา เขาก็ให้การช่วยเหลือ มาหลายครั้ง หลายหนในอดีต ในการเกิดวิกฤตการณ์ในแต่ละยุค แต่ละสมัย

- ในการที่จะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่บนดาวดวงนี้ อาจเป็นครั้งที่หนักหนาสาหัสพอสมควร เพราะการที่มนุษย์ต่างดาวระดมกำลังจากหลายดวงดาว มาเตรียมการทั่วโลก เพื่อรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้ มีการกระจายการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ไปทั่วโลก มีการนำ จานบิน มาปรากฏให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อทำความคุ้นเคย และจะไม่เกิดการช็อค เมื่อต้องเห็นเขาบินกันให้ว่อนในเวลาที่เกิดภัยพิบัติ สิ่งเหล่านี้ มนุษย์ต่างดาว ได้มีการเตรียมการวางระบบการช่วยเหลือไว้ เป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้

- ก่อนเกิดภัยพิบัติ มาสำรวจ มาวางโครงการ นำจานบินมาปรากฏทั่วโลก เพื่อทำความคุ้นเคย มาสื่อสารกับมนุษย์เพื่อเตรียมช่องทางในการเตือนภัย และการช่วยเหลือในอนาคต

- ขณะเกิดภัยพิบัติ ให้การช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยี ด้านอุปกรณ์ และด้านการรักษา และด้านอื่น ๆ โดยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเหล่านั้น จะส่งจากเขาให้กับมนุษย์โลกได้ใช้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ผ่านช่องทางที่เตรียมไว้ เช่นกลุ่มผู้เตรียมการช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติ กลุ่มผู้รับการสื่อสาร หรือกลุ่มผู้ปฏิบัติทางจิตที่มีกระจายอยู่ถึง 5000 คนทั่วโลก 

- หลังเกิดภัยพิบัติ จะให้การช่วยเหลือเพื่อพื้นฟูด้วยเทคโนโลยีของเขา ทั้งด้านที่อยู่อาศัย ด้านอาหาร และด้านการรักษา เพราะตอนนั้นโลกของเราไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ หลงเหลือให้มนุษย์ช่วยเหลือตัวเองได้ และก่อนกลับ จะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีไว้ให้ และเขายังบอกอีกว่า เขาไม่สามารถอยู่ได้บนโลกของเรา เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจ ก็ต้องเดินทางกลับ เพื่อช่วยเหลือดาวดวงอื่นต่อไป

- ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ การช่วยเหลือกันตามกฏของธรรมชาติ ไม่ได้เป็นบุญคุณ หรือต้องการสิ่งตอบแทนใด ๆ

ดังนั้น ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนก่อนเกิดภัยพิบัติ ก็ยังอยู่ในขั้นตอนต้องสำรวจ ผลิตอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือ สื่อสารกับมนุษย์ และยังคงบินมาปรากฏให้เห็นทั่วโลก เพื่อทำความคุ้นเคยกับมนุษย์ และจะได้ไม่กลัวเขาในกาลข้างหน้า

- เป็นการสื่อสารข้อมูล ผ่านกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) เพื่อบอกถึงจุดประสงค์ที่มาโลกมนุษย์ บอกถึงภารกิจที่มนุษย์ต่างดาว สมาชิกกลุ่มสากล ของแต่ละดวงดาวกำลังดำเนินการอยู่บนโลกในขณะนี้

............................


อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว 

อ้างอิงข้อความบางส่วนจากกระทู้ที่ผ่านมา

- การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ของกลุ่มเขากะลา(เดิม) นั้น ก็เริ่มต้นจาก จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน เป็นบุคคลแรก เพราะท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมมา และทำสมาธิมาตั้งแต่สมัยยังเป็นสามเณร จนบวชเป็นพระภิกษุ และเมื่อท่านเป็นทหาร ท่านก็ยังคงทำสมาธิ ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องตลอดมา 

- ดังนั้นการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวทางด้านจิต จึงทำได้ง่ายเพราะความนิ่งของสมาธิจิต ท่านสามารถแยกข้อมูลได้ สามารถแปลข้อความออกมาถูกต้องตรงตามการสื่อสาร ที่เราบอกว่าถูกต้องตรงเพราะอะไร เพราะมีหลายครั้งที่มนุษย์ต่างดาวสื่อสารผ่านร่างบุคคลอื่น ไม่มีใครรู้ว่าจะทำอย่างไร ต้องตาม จ.ส.อ.เชิด มาช่วยแปล จึงจะรู้เรื่องราวที่เขาสื่อสารมาว่า มาเพื่ออะไร และเมื่อคลื่นจากต่างดาวผ่านออกไปแล้ว บุคคลที่รับคลื่นนั้นมา แม้ขณะคลื่นต่างดาวผ่านเขาจะพูดเป็นภาษาอื่นออกมา แต่ภายในสมองจะมีความเข้าใจในความหมายของคำที่พูดออกมา และยังบอกว่า จ.ส.อ.เชิด แปลถูกต้องทุกประโยค ในสิ่งที่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาอื่น


..............................................................................................

จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ได้มีการติดต่อสื่อสารทางโทรจิตกับมนุษย์ต่างดาวเพียง 1 บุคคลในระยะแรก เพราะท่านได้มีการฝึกจิตมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานหลายสิบปี

- แต่เรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น จำเป็นต้องใช้คนจำนวนมากในการรับข้อมูลการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาว เพราะใกล้ระยะเวลาของภัยพิบัติเข้ามาทุกที ไม่อาจที่จะรอให้ผู้ที่เริ่มฝึกฯ มีสมาธิแก่กล้าพอที่จะใช้การโทรจิตติดต่อสื่อสารได้ทัน

- - ดังนั้น มนุษย์ต่างดาว จากดวงดาวที่มีเทคโนโลยีสูง จึงได้จัดสร้างอุปกรณ์ขึ้นมา เป็นเครื่องรับข้อมูล มาติดตั้งให้กับผู้ฝึกแทน เพื่อลัดขั้นตอนที่ต้องใช้ระยะเวลานาน และเป็นการรับข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ 

- อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวนั้น เป็นอุปกรณ์ที่เป็นรูปแบบของพลังงาน ไม่ใช่วัตถุ แต่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าวัตถุมาก

- อุปกรณ์ชิ้นนี้ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเกินจินตนาการ เป็นอุปกรณ์พื้น ๆ ที่สามารถเทียบเคียงได้กับของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ต่างดาวยกตัวอย่างว่า

- ก็คล้ายกับเครื่องโทรศัพท์ของมนุษย์นี่แหละ ถ้าพ่ออยู่สวีเดน ลูกอยู่ประเทศไทย รับรู้ข่าวสารกันได้ตลอดเวลาเพราะอะไร? เพราะมีโทรศัพท์คนละเครื่องคุยกันข้ามประเทศ และมนุษย์ก็ไม่แปลกใจเพราะเห็นเขายืนถือโทรศัพท์คุยกันข้ามประเทศ และรู้ข่าวสารของพ่อที่ต่างประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับมนุษย์
- มนุษย์ต่างดาวก็เช่นกัน เปรียบเสมือนเขาเอาเครื่องโทรศัพท์ในรูปแบบพลังงาน ไปไว้ในสมองมนุษย์ จึงไม่จำเป็นต้องถือเครื่องโทรศัพท์ให้เห็น แต่รับข้อมูลรู้เรื่อง เขาสร้างอุปกรณ์ชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการส่งข้อมูลข่าวสารมายังเป้าหมายที่ต้องการ และกันการผิดพลาดในข้อมูลนั้น 

- แล้วทำไมเราเข้าใจเป็นภาษาไทย? มนุษย์ต่างดาวพูดภาษาไทยได้หรือ? เป็นคำถามที่เราเจอเกือบทุกครั้ง

- ก่อนที่มนุษย์ต่างดาวจะมาสื่อสารกับมนุษย์โลก ในประเทศใดก็ตาม จะมีการมาสำรวจในแต่ละประเทศนั้นก่อน เพื่อบันทึกภาษาพูดต่าง ๆนั้นไป ก่อนจัดทำเครื่องแปลภาษาไว้ในอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องรับชิ้นเดียวกัน มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ทำไมต้องแปลกใจ เพราะแม้กระทั่งมนุษย์ก็ยังสามารถประดิษฐ์เครื่องแปลภาษาได้ ซึ่งก็จริง เวลาที่ประเทศต่าง ๆ ที่มาประชุมรวมกัน ถ้าใส่หูฟังเครื่องแปลภาษา ก็รับฟังเป็นภาษาของชาติตนเองได้ มนุษย์เราไม่แปลกใจ เพราะโลกเราประดิษฐ์ขึ้นมาเอง จึงเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้ามนุษย์ต่างดาวสื่อสารลงมา ก็จะสงสัยว่า มนุษย์รู้ภาษาเขาได้อย่างไร? ซึ่งที่จริงแล้วเราไม่รู้ภาษาของเขา แต่สิ่งที่เราได้รับข้อมูลผ่านมาก็เป็นภาษาไทยแล้ว และเราสามารถเข้าใจได้จริง ๆ

- นี่เป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งของมนุษย์ต่างดาว ที่ติดตั้งให้กับผู้ฝึกฯ แต่มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า อุปกรณ์ชนิดนี้ มีการสร้างไว้เป็นจำนวนมาก และติดตั้งให้กับบุคคลจำนวนมาก ไม่ใช่เฉพาะผู้ฝึกเท่านั้น แม้บุคคลนั้นจะไม่รู้เรื่องมนุษย์ต่างดาวเลยก็ตาม แต่ถ้าเขาเป็นเป้าหมายให้เป็นผู้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เขาก็จะติดตั้งไว้ให้ แม้บุคคลนั้นจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม 

- ในอนาคตข้างหน้า มนุษย์จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไหน เพราะการสื่อสารจะถูกตัดขาดหมด อุปกรณ์ชิ้นนี้ จะเป็นการรับข้อมูลมาจากผู้ที่รู้สถานการณ์ และส่งเป็นคลื่นความคิดมาที่บุคคลนั้น เพื่อให้บุคคลนั้น สามารถให้การช่วยเหลือได้ทันเวลา

- เหมือนหน่วยกู้ภัยของโลกเรา เมื่อเกิดอุบัติเหตุที่ไหน ก็จะมีการพูดข้อความแล้วส่งเป็นคลื่นวิทยุไปยังกลุ่มเป้าหมาย คือหน่วยกู้ภัยทั้งหมด แต่หน่วยใดอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ก็จะไปถึงทันเวลา แล้วใครเป็นผู้ส่งเสียงไปทางคลื่นวิทยุ คนที่ส่งข้อความก็คือศูนย์ที่รับรู้ก่อน แล้วแจ้งไป นี่ก็คือคลื่น แต่มีเครื่องรับเป็นวิทยุ หรือ ว. นั่นเอง

- มนุษย์ต่างดาว ก็ส่งข้อความเป็นคลื่นมายังสมองมนุษย์ เป็นคลื่นความคิด เพราะสมองเราเมื่อคิดอะไร จะออกมาเป็นคลื่นความคิด ดังนั้นเมื่อคลื่นเหล่านี้ถูกส่งมา บุคคลนั้นก็จะคิดว่านี่เป็นความคิดเรา ก็จะทำไปตามที่ตนเองคิดเท่านั้นเอง

- ทุกอย่างมันเป็นกลไก เป็นวิทยาศาสตร์ ผู้ที่มีความเจริญทั้งทางจิตและเทคโนโลยี ก็จะทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่น มิใช่เป็นการแทรกแซง แต่เพื่อที่มนุษย์จะได้ช่วยมนุษย์ด้วยกันเองยามเกิดวิกฤตในกาลข้างหน้า

- ลองสังเกตุตัวเองดูก็ได้ ถ้าคุณเป็นบุคคลหนึ่งที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องของภัยพิบัติ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย บางครั้งเราคิดอยากไปที่นี่ และอีกหลาย ๆ คนก็อยากไปที่ที่เดียวกัน แล้วก็มาเจอกันในเวลาเดียวกันเหมือนการบังเอิญโดยไม่ได้นัดหมายกัน จึงมีการทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์ส่วนรวมร่วมกัน นั่นอาจไม่ใช่บังเอิญ อาจเป็นการส่งคลื่นความคิดให้ไปยังจุดใดจุดหนึ่ง พร้อม ๆ กันหลายคน จึงมาเจอ มารวมกลุ่มกันได้ ซึ่งสิ่งที่ทำก็เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ทั้งสิ้น

- ขอกล่าวถึงอุปกรณ์ชิ้นแรกของมนุษย์ต่างดาวเพียงเท่านี้ ที่กล่าวว่าเป็นชิ้นแรก เพราะผู้ที่ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นคนแรกคือ คุณวาสนา ชื่นสำนวน ซึ่งติดตั้งเพียงคนเดียวในขั้นต้น เพราะ จ.ส.อ.เชิด ขณะนั้นอายุมาก และป่วย ไม่อาจรับข้อมูลเพื่อนำฝึกนอกสถานที่ได้ มนุษย์ต่างดาวจึงได้ติดตั้งอุปกรณ์นี้ให้กับคุณวาสนา เพื่อสามารถรับข้อมูลรูปแบบการฝึกจิต และประมวลพลัง ในระบบการฝึกจากมนุษย์ต่างดาว จึงสามารถนำกลุ่มเขากะลา(เดิม) ไปฝึกตามข้อมูลที่ได้รับมาในระยะต้น จนจบหลักสูตรการฝึกฯ 

-จึงเป็นการแจ้งเพื่อทราบ ถึงอุปกรณ์ชิ้นนี้ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่ทุกครั้งที่มีการฝึก จะมีจานบินมาลอยอยู่เหนือกลุ่มผู้ฝึกเกือบทุกครั้ง เพื่อเป็นการยืนยันว่า ได้ผ่านข้อมูลการฝึกมาจริง

- คุณวาสนา ชื่นสำนวน จึงเป็นผู้รับผิดชอบแผนก ขับเคลื่อนระบบ และ maintenance ระบบในขณะนี้

...................................


เรื่องมนุษย์ต่างดาว เป็นความลับจริงหรือ ? 

--------------------------------------------------------------------------------

- มนุษย์ต่างดาว เป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะได้รับรู้ ความเป็นอยู่ของเขา สภาวะจิตของเขา หรือเทคโนโลยีของเขา

- น้อยคนนัก ที่จะรับรู้ว่า จริง ๆ แล้ว ทำไมเขาต้องมาปรากฏให้มนุษย์เห็น ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ทำไมต้องเปิดเผยวัตถุบิน ให้ทั่วโลกได้เห็น โดยเฉพาะแถบตะวันตก แถบยุโรป ให้ได้มีการบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน ได้มีการทำกระบวนการให้เกิดความสนใจ อยากรู้ อยากติดตามค้นหาวัตถุลึกลับ ที่มาปรากฏนั้น คืออะไร? มาจากไหน? มาทำไม? และทำไมต้องกระทำการเช่นนี้ในต่างประเทศมาไม่น้อยกว่า 50 ปี

- คำถามทุกข้อที่กล่าวมา เป็นข้อสงสัยที่คนทั่วโลกต้องการรู้ ต้องการคำตอบที่ชัดเจน ซึ่งหลายประเทศที่เจริญในด้านเทคโนโลยี ต้องลงทุนทำโครงการต่าง ๆ มากมาย เพื่อติดตาม ค้นหามนุษย์ต่างดาว สร้างเครื่องรับสัญญาณต่างดาวด้วยเงินลงทุนมหาศาล จัดทำโครงการต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นก็เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน คืออยากรู้เรื่องของมนุษย์ต่างดาว อยากรู้จุดประสงค์ อยากรู้เทคโนโลยีของเขา ถ้าเป็นเรื่องเลื่อนลอย คงไม่มีใครกล้าทุ่มเทเงินทองขนาดนี้

- ทำไม? ต้องไปทำการให้เห็นในโลกตะวันตก ในโลกที่มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีได้พบเห็นก่อน

- สำหรับคำถามนี้ มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า ถ้ามาทำในประเทศไทยก่อน จะมีใครเชื่อไหมล่ะ? 

- คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ จะให้ความสำคัญกับประเทศที่มีความก้าวหน้าเรื่องเทคโนโลยีมากกว่า ประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย เมื่อเขาพูดอะไร ก็เชื่อตามนั้น เพราะเขาจะมีความก้าวหน้าด้านการผลิตเครื่องมือไฮเทค ด้านอุปกรณ์ ด้านอีเลคทรอนิก และด้านอื่น ๆ ที่ทั่วโลกต้องพึ่งพาในเทคโนโลยีนั้น ๆ ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่จะต้องมีความเชื่อถือ เชื่อมั่นในสิ่งที่เขาได้กระทำ ได้บอก เพราะคิดว่าเขาต้องรู้จริง รู้มากกว่าเรา บางโครงการประเทศเราทำได้เอง ไม่ค่อยมีใครเชื่อถือ ไม่ค่อยมีใครสนับสนุน แต่ถ้าต่างประเทศมาวิจัยและเห็นด้วย เข้ามาลงทุนร่วม เราก็เชื่อถือ เพราะเราเชื่อมั่นเขานั่นเอง

- ดังนั้น การที่มนุษย์ต่างดาว ต้องไปสร้างความตื่นตระหนก ไปสร้างความวิตกกังวลให้กับประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ จนต้องมีการค้นคว้า ติดตามว่าเขาจะมาทำอันตรายโลกหรือเปล่านั้น ก็เป็นการกระทำที่จำเป็นต้องกระทำ เพราะประเทศเหล่านั้น มีความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาก เมื่อมีปรากฏการใดเกิดขึ้น จึงต้องมีการทดสอบ ทดลอง ค้นหา และสรุปข้อมูลออกมาเผยแพร่ทั่วโลก 

- ดังนั้นเมื่อเขาพบวัตถุลึกลับ และมีเทคโนโลยีสูงกว่า โดยไม่สามารถรู้ว่ามาจากที่ไหน เขาก็ต้องติดตามค้นหา เก็บข้อมูล และมีการเขียนเป็นหนังสือเผยแพร่ไปทั่วโลก และประชาชนของประเทศของเขา ก็ให้ความสนใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นมา ไม่ว่าการพบเห็นวัตถุลึกลับ การพบมนุษย์ต่างดาว การถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาไป หรือแม้แต่การถูกมนุษย์ต่างดาวฝังชิพไว้ที่ตนเอง ก็จะมีการแจ้งให้ตำรวจรับทราบ เพื่อเก็บเป็นข้อมูล จึงมีการศึกษาหลักสูตร จานบินวิทยา เกิดขึ้นในต่างประเทศ และผู้ที่ศึกษา วิเคราะห์เหล่านี้ ก็จะเก็บรวมรวมสถิติการพบเห็นวัตถุบิน ภาพวัตถุบินลึกลับที่บันทึกได้ นับหมื่น นับแสนภาพจากทั่วโลกที่ส่งไปรวมกัน ซึ่งบางส่วนอาจมีการทำปลอมขึ้นมา แต่อีกจำนวนมากที่พิสูจน์แล้วเป็นภาพจริง หรือพบเห็นปรากฏการณ์แปลก ๆ และการลักพาตัว การผ่านมิติ หรือแม้กระทั่งมีวัตถุโลหะบางอย่างฝังอยู่ในร่างกาย เมื่อผ่าวัตถุชิ้นนั้นมาพิสูจน์แล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีโลหะประเภทนี้อยู่บนโลกมนุษย์ เขาจึงจะเชื่อว่ามาจากนอกโลกจริง

- ดังนั้น ประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ได้ทดสอบ ทดลอง และหาบทสรุปมาค่อนข้างนาน จึงเชื่อแน่ว่า น่าจะมีมนุษย์มาจากดาวอื่น โดยมากับวัตถุบิน ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน จึงต้องเรียกว่า มนุษย์ต่างดาว และ UFO ( วัตถุบินที่ไม่ปรากฏสัญชาติ) จึงได้มีการเผยแพร่ข้อมูลออกไปทั่วโลก ซึ่งประเทศต่าง ๆ ที่มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีน้อยกว่า ก็ได้รับรู้ รับทราบ และก็เริ่มได้รู้จักคำว่า มนุษย์ต่างดาว”“จานบิน”“วัตถุลึกลับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


- มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดในประเทศไทยก่อน ฝรั่งจะเชื่อไหมล่ะ? เพราะประเทศที่ไม่มีเทคโนโลยี ก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกอยู่แล้ว แต่เขาบอกว่า เขาติดต่อทางจิตกับผู้ที่อยู่ในประเทศไทยมานานแล้ว ผู้ที่ปฏบัติธรรม ผู้ที่ฝึกสมาธิ แต่ปรากฏเป็นอีกรูปลักษ์หนึ่ง ในรูปแบบเทพ เทวดา หรือรูปแบบอื่น ๆ เพื่อมนุษย์ยอมรับได้ และไว้วางใจ 

- ซึ่งหลักฐานมากมายจากทั่วโลกในสมัยโบราณ เทวดามากับลูกไฟ เทวดาใส่ชุดอวกาศ เทพเจ้ากับจานบิน จารึกไว้ทั่วไปหลายยุคหลายสมัยแล้ว ซึ่งเป็นการยอมรับได้ในยุคนั้น ๆ 

- นี่เป็นกลไกของการวางโครงการของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งมีหลายขั้นตอน และต้องมีการกระจายไปทั่วโลก ผู้ที่สนใจเทคโนโลยี ก็ต้องเห็นในรูปแบบเทคโนโลยี ผู้มีความสนใจเรื่องจิตเรื่องสมาธิ ก็ต้องรับรู้ทางด้านจิตและสมาธิเป็นหลัก 


- แต่กลุ่มที่ต้องมาทำงานเฉพาะกิจในครั้งนี้ จำเป็นต้องรับรู้ทั้งสองอย่างควบคู่กันไป

- สิ่งที่แตกต่างกันกับความเจริญทั้งสองด้านก็คือ 

- เทคโนโลยี เมื่อมีการพบเห็นวัตถุบิน วัตถุลึกลับ เหตุการณ์แปลก ๆ หรือเรื่องราวของการเข้าออกมิติ เขาจะมีการแจ้ง หรือเก็บบันทึกไว้เป็นหลักฐาน มีการไปสัมภาษณ์พยานบุคคลเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง แม้บางครั้ง ก็ต้องมีการสะกดจิต เพื่อให้บอกในสิ่งที่ประสบมา ทำให้เขามีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ มีภาพถ่ายมากมายที่ประชาชนของเขาให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล แต่คนในประเทศแถบตะวันตกส่วนใหญ่จะเชื่อว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริง และมาโลกมนุษย์ของเราแล้ว จะเห็นได้จากหนังสือจำนวนมากมายของจากต่างประเทศ มีการเขียน เรียบเรียง มีหลักฐานพยานมากมาย จนมีการนำมาแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ให้ได้อ่านไปทั่วโลก

แต่ในโลกตะวันออก ซึ่งมีความเจริญทางจิตเป็นหลัก จะไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์ต่างดาวมากนัก เพราะเป็นเรื่องไม่จำเป็น เป็นเรื่องไกลตัว เพราะการปฏิบัติจิต จะไม่เกี่ยวกับวัตถุภายนอก ยิ่งเทคโนโลยีล้ำยุคแค่ไหน ก็ย่อมจะไม่ค่อยสนใจ เพราะเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่ง ไม่น่ายึดมั่น ถือมั่นอะไร จึงเพียรปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนา ซึ่งเป็นการกระทำอย่างต่อเนื่องตลอดมา 


- ดังนั้นจึงจะมีบุคคลบางกลุ่มเท่านั้นที่ให้ความสนใจ และอยากรู้ว่าเขามาเพื่ออะไร และทำไมต้องเลือกประเทศไทยเป็นฐานปฏิบัติการในครั้งนี้

- ขอบอกตามตรงว่า เราก็เป็นกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง ที่มีการปฏิบัติธรรม อย่างต่อเนื่อง และไม่เคยมีความสนใจเรื่องของมนุษย์ต่างดาวเลย โดยเฉพาะ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ท่านยิ่งไม่สนใจใหญ่ และไม่รู้จักด้วยซ้ำ ท่านปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน มาตั้งแต่เป็นสามเณร ท่านก็ไม่อยากที่จะยุ่งเรื่องเช่นนี้ด้วยซ้ำ ท่านชอบเก็บตัวเงียบ ๆ ไม่ชอบที่จะออกสู่สาธารณะชนเลย ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายก็เป็นเช่นนี้ เช่นกัน


- แล้วทำไม ท่านจึงต้องเข้ามาทำเรื่องนี้

- เพราะสิ่งที่ท่านสัมผัสได้ รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้ ก็เพราะการที่ท่านทำสมาธิในระดับหนึ่งที่สามารถรับการสื่อสารจากคลื่นจิตระดับสูงได้ ไม่ใช่แค่มนุษย์ต่างดาว ก่อนหน้าที่จะเจอเรื่องมนุษย์ต่างดาว ท่านได้มีการสัมผัสกับคลื่นละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเทพ หรือเทวดามาแล้วก่อนหน้านี้ เพียงแต่ท่านก็ยังปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนาของท่านอย่างเงียบ ๆ เรื่อยมา

- แต่เพราะสิ่งที่ทำให้ท่านจำต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์ต่างดาว เพราะเหตุผลที่ว่า ....... เขามาเพื่ออะไร ? .......... 

... เขามาเพื่อช่วยเหลือเรื่องของภัยพิบัติของโลกใบนี้ที่จะเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่นานนัก เขามาเพื่อที่จะช่วยโลกใบนี้ แล้วเราอยู่บนโลกใบนี้ จะไม่ให้ความช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันเองหรือ? 


- ไม่ได้มีการเชื่อแบบเลื่อนลอย มีการใช้วิจารณญาณในการตรวจสอบ เพราะครอบครัวของเรามีการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นส่วนมาก มีหน้าที่การงานทั้งรัฐวิสาหกิจ พยาบาล 2 ท่าน และเป็นครูของรัฐมาก่อน มีการพิสูจน์ ทดสอบ ทดลอง หลายครั้งหลายหน ไม่ใช่เป็นการเชื่อแบบงมงาย มีการพิสูจน์ด้วยหลักฐานคือการเห็นพร้อมกันด้วยตาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการนำวัตถุมาปรากฏให้เห็น การผ่านคลื่นจากต่างดาวมาบอกเรื่องราวของเขา เคยมีบางครั้งขณะผ่านคลื่นให้ข้อมูลอยู่ในบ้าน แล้วบอกจะพาออกไปดูยานอวกาศ ครอบครัวเราเดินตามออกมาสนามหญ้าหน้าบ้านที่สิงห์บุรี คลื่นนั้นก็ยกมือชี้ไปทางทิศตะวันตก ไม่ถึงหนึ่งนาทีวัตถุบินลำใหญ่ก็มาปรากฏตรงจุดนั้นในระดับต่ำ แล้วลอยผ่านหัวพวกเราไป ซึ่งเราได้แต่แหงนมอง เงียบสนิท ไม่มีเสียง มีไฟดิสโก้หลากสี หมุนไปมาตลอด ซึ่งทุกคนก็เห็นพร้อมกัน เราเจอสิ่งเหล่านี้ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า วันแล้ว วันเล่า หลากหลายรูปแบบ และเริ่มมีบุคคลอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว มารับทราบ มาเห็น มาเป็นพยานอีกเป็นจำนวนมาก จึงเป็นการยืนยันถึงการมีเจตนา มาเพื่อช่วยเหลือโลกยามวิกฤตจริง ๆ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราต้องเข้ามาทำตรงนี้

- ซึ่งก่อนที่จะทำเรื่องนี้ มนุษย์ต่างดาวก็บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่า เขาไม่ได้ต้องการบุคคลจำนวนมากที่จะให้มาเชื่อถือเรื่องตรงนี้ แต่ต้องการเพียงบุคคลที่เขาได้เตรียมการไว้เพื่อเป็นทีมงานที่ถูกส่งลงมา และอยู่ในขั้นเป็นผู้ร่วมปฏิบัติการ

- และข้อความหนึ่งที่สื่อผ่านมา เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2541 ก็กล่าวถึง นอสตาดามุส ซึ่งเป็นทีมงานของโครงการภัยพิบัติ ที่ถูกส่งมาทำหน้าที่ของการเตือนภัยพิบัติก่อนหน้านี้ ในโลกใบนี้


- เป็นโครงการเดียวกัน แต่เป็นอีกทีมหนึ่งที่มีการเตรียมการไว้ก่อน แล้วเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ต้องไปเกิดในแถบยุโรป เพราะจะมีกระจายข้อมูลได้ง่าย และเป็นที่เชื่อถือในข้อมูลได้ เมื่อถึงเวลา ทีมที่อยู่ด้านบนก็จะทำการผ่านข้อมูลลงมาที่มนุษย์ท่านนี้ ในรูปแบบของการรู้ เห็น และเตือนเรื่องการจะเกิดเหตุการณ์ข้างหน้า โดยทีมงานอยู่ข้างบน เป็นผู้ส่งข้อมูลเป็นภาพให้เห็น เป็นเสียง เป็นข้อความให้เข้าใจ และมีการทำนายถูกต้องแม่นยำมาเป็นลำดับ นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของโครงการของมนุษย์ต่างดาว ที่มาเตรียมการไว้หลายร้อยปีแล้ว ไม่ใช่เดี๋ยวนี

- มีโครงการแบบนี้ทั่วโลกในขณะนี้ เพราะเขามาเรื่องภัยพิบัติ เรื่องภาวะโลกร้อน และเรื่องวิกฤตการณ์ที่มนุษย์สร้างกันขึ้นมา โลกก็จำเป็นต้องปรับสมดุลย์ของธรรมชาติ จึงต้องเกิดหายนะขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จำเป็นต้องอยู่รอดในส่วนหนึ่งด้วย 

- ถ้าผู้สนใจติดตามอ่านหนังสือเกี่ยวกับ UFO ของต่างประเทศจะรู้ว่า ทั่วโลกมีกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้มากมายหลายกลุ่ม บางประเทศตั้งเป็นเมืองของต่างดาวเลยก็มี และแม้กระทั่งนักพลังจิตคนสำคัญ ที่เป็นที่ยอมรับของทั่วโลกคือ ยูริ กิลเลอร์ ซึ่งถ้าอ่านประวัติก็จะรู้ว่า ครั้งหนึ่งออกไปเล่นนอกบ้านเขาถูกแสงสว่างจ้าจากบนฟ้าส่องมาคลุมร่างของเขาตั้งแต่เป็นเด็ก จากนั้นก็เริ่มมีพลังจิต ทำเหล็กให้งอได้โดยไม่ต้องสัมผัส ย้ายวัตถุออกจากกล่องได้ โดยไม่ต้องเปิดกุญแจ และอีกมากมายที่ทำได้ด้วยพลังจิต (ซึ่งการย้ายวัตถุ สลายมวลสาร เราก็เคยพบมาแล้วจากกันทำให้เห็นของมนุษย์ต่างดาว) ก็เป็นการทำตัวอย่างให้มนุษย์ค่อย ๆ ยอมรับ ค่อย ๆ เปิดความคิดให้กว้างขึ้นไปอีก

- สิ่งเหล่านี้ เป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถทำได้จริง แต่เพราะเรายังไปไม่ถึงเลยรู้สึกว่า แปลก แม้จะเห็นด้วยตา สัมผัสได้ด้วยมือ ก็ยังเป็นเรื่องแปลกอยู่ดี เพราะความคิดเรายังตีกรอบไว้ มีแค่ทฤษฏีของความเป็นไปได้ไว้เทียบเคียงเท่านั้น

- ถ้ามีโอกาส ขอให้กลับไปอ่านบทความจากหนังสือ จานบินวิเคราะห์ในบทที่ 13 เรื่อง การเตรียมการลงสู่พิภพโลกที่มนุษย์ต่างดาวที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ติดต่อสื่อสารอยู่ กล่าวว่าเป็นโครงการเดียวกัน และที่กำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้ ตอนนี้มาถึงขั้นตอนที่ 2 แล้ว 

- ในบทความดังกล่าว มนุษย์ต่างดาวผ่านคลื่นมายังร่างมนุษย์บอกข้อมูลต่าง ๆ มีการอัดเทปไว้มากกว่า 200 ชั่วโมง นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักจานบินวิทยา และผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ มากมายมาทดสอบ วิเคราะห์กันอย่างจริงจังแล้ว ก็สรุปได้ว่าเป็นเรื่องจริง จึงเป็นที่ยอมรับของต่างชาติ (หากสนใจหาอ่านได้จากกระทู้นี้ ลำดับที่ 44 โดยคุณ zz ได้กรุณานำเว็ปไซด์จิตวิญญาณ มาโพสไว้ที่นั่น ในหัวข้อ มนุษยชาติกับจานบิน”)

- แต่ถ้าจะบอกว่า การผ่านคลื่นจากมนุษย์ต่างดาว มาที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) มีมากกว่า 300 ชั่วโมง ก็ไม่อาจเชื่อถือได้สำหรับความคิดของคนไทย เพราะไม่มีใครที่จะสนใจมาพิสูจน์ ทดสอบ ทดลองเช่นต่างประเทศ

- นี่เป็นการ แจ้งเพื่อทราบในข้อมูลส่วนหนึ่งที่ได้รับการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาว ไม่จำเป็นต้องเชื่อ หรือไม่เชื่อ เพราะเราไม่ได้มีจุดประสงค์ต้องการรับสมัครสมาชิกเพิ่ม เพราะการฝึกมีรุ่นเดียว และเสร็จสิ้นไปแล้ว หรือหวังผลประโยชน์อันใดจากผู้ที่เข้ามาอ่าน หรือมาสัมผัสกับเรา แต่เรายังคงดำเนินโครงการประสานงานเพื่อการเตือนภัย เพื่อเชื่อมระหว่าง มนุษย์ต่างดาว กับมนุษย์โลกอยู่นั่นเอง 

- ดังนั้น ในการฝึกของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) จึงถูกฝึกเป็น 2 รูปแบบ คือฝึกจิตด้านธรรมะ และฝึกการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว

- การฝึกธรรมะ ... มนุษย์ต่างดาวเรียกว่า ประโยชน์ตนคือการฝึกให้ผู้ทำงานกับมนุษย์ต่างดาว ฝึกจิต ให้รู้จริงในกฏของธรรมชาติ เพราะทุกสรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ฝึกการเห็นทุกข์ ฝึกการดับทุกข์ ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ในขั้นปล่อยวางตัวตน เพราะต้องเจอแน่นอนเมื่อต้องออกมาเผยแพร่เรื่องเหล่านี้ ซึ่งมนุษย์ต่างดาวเรียกการฝึกนี้ว่า ... ประโยชน์ตน

- ฝึกการสื่อสาร และรับข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาว มนุษย์ต่างดาวเรียกว่า ... ประโยชน์ท่านสิ่งนี้เราไม่จำเป็นต้องไปจัดทำอะไร เพราะเป็นเรื่องที่มนุษย์ต่างดาวต้องจัดทำเอง จะนำจานบินไปปรากฏให้ใครเห็น จะต้องไปประสานงานกับใคร จะต้องดำเนินการอะไรต่อไป เขาก็จะจัดส่งคลื่นความคิดไปยังบุคคลเหล่านั้น ก็จะมีการประสานงานกันตามรูปแบบที่เขาต้องการ จึงมีบุคคลหลากหลายอาชีพ หลากหลายประสบการณ์ ที่พบเจอเรื่องของจานบิน เรื่องของมนุษย์ต่างดาว และเหตุการณ์แปลก ๆ ติดต่อมาเพื่อรับทราบข้อมูลและเทียบเคียงกับที่ตนเองพบเจอ ซึ่งมีไม่น้อย ที่เหมือนกับที่ตนเองพบเจอ หรือกำลังเป็นอยู่ขณะนี้ เราจึงทำหน้าที่เพียงแต่นำร่างกาย ที่เป็นมนุษย์นี้ ไปประสานยังจุดต่าง ๆ เท่านั้นเอง ส่วนข้อมูลที่จะสนทนากับบุคคลนั้น ๆ เป็นการผ่านมาจากมนุษย์ต่างดาวเอง

- ทุกวันนี้ ผู้ฝึกจึงอยู่กับความสงบ ความว่าง ความไม่ใช่ตัวตน ของตน เพราะเมื่อเรารู้ว่าขันธ์นี้ มนุษย์ต่างดาวนำไปใช้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น มันก็ไม่ใช่ของเรา จึงเบื่อหน่ายที่จะไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์นี้

- การปฏิบัติธรรม ก็เพื่อพิจารณาว่านี่ไม่ใช่ตัวเรา ของเรา พิจารณาเพื่อเบื่อหน่ายในขันธ์ห้า เพื่อที่จะเห็นความว่าง ไม่มีอุปทานว่าขันธ์ห้า เป็นตัวเรา ของเรา ละการยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน ของตน ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกัน กับที่เราปฏิบัติอยู่ แต่คนละรูปแบบกัน

- ข้อความหนึ่ง ที่มนุษย์ต่างดาวกล่าวไว้เมื่อปี 2541 ว่า


มนุษย์ต่างดาวไม่ได้เป็นความลับ  แต่บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ  จึงยังเป็นความลับต่อไป

.............................


การสื่อสารกับ 9 ดวงดาว  ที่เขากะลา

--------------------------------------------------------------------------------

สิ่งที่ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน รับการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาว บางครั้งเราเองที่อยู่ใกล้ชิด และรับทราบมาตลอด ยังเชื่อได้ยาก ยังเคยถามบ่อย ๆ ว่า จริงหรือเปล่านี่ ? แต่ท่านก็บอกอย่างใจเย็นว่า ก็ทำไปตามนั้นแหละ ก็เขาสื่อมาอย่างนี้

- และหลายเรื่องที่ท่านบอก ก็จะเริ่มมีความกระจ่างตามมาเรื่อย ๆ แม้บางครั้ง อาจจะใช้เวลานานสักหน่อย แต่ทุกเรื่องมีคำตอบทั้งนั้น

- และมีครั้งหนึ่งที่ท่านรับการสื่อสารที่เขากะลา บอกว่า ได้รับสื่อสารมาจากมนุษย์ต่างดาว เขาบอกว่ามาจาก ดาวลูกไก่ เป็นมนุษย์ที่อยู่ในกลุ่มดาวนั้น

- อันนี้ เราเป็นลูกเราก็ยังขำ ถามว่า จริงหรือเปล่าพ่อ เพราะชื่อดาวของพ่อเริ่มจะแปลกขึ้นทุกที ท่านก็ยังพูดขำ ๆ ว่า ก็เขาบอกอย่างนั้น สงสัยจะมา 7 คน (เพราะมีนิทานของเราเรื่องลูกไก่ทั้ง 7 ที่ไปเกิดเป็นดาว)

- แต่หลังจากนั้นอีก 2 ปี ในเดือนธันวาคม 2543 พี่สุดใจ กับคุณวาสนา ได้เดินทางไปร่วมงาน มหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติ ครั้งที่ 5 ที่จัดขึ้นที่วิทยาลัยรัชภาคย์ ในกรุงเทพฯ และได้พบกับ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ที่จัดบูธมนุษย์ต่างดาวในงานนั้น และพบกับมิสเตอร์จอห์น ฮอร์เน็ต ด้วย ในวันนั้นผู้ที่สนใจเรื่องมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา ก็ได้มาสอบถามข้อมูลเป็นจำนวนมาก

- และในเย็นวันนั้น ดร.เทพนม บอกว่ามนุษย์ต่างดาวนัดหมายจะนำจานบินมาให้ชมด้วย เราจึงได้อยู่ร่วมกับท่าน ซึ่งหลายท่านในเว็ปไซด์นี้ ก็คงอยู่ร่วมในคืนวันนั้นเช่นกัน

- เนื่องจากในวันนั้น ฟ้าปิดมาก เมฆลอยต่ำ แต่เราก็อยู่ร่วมกับท่าน จนประมาณเกือบสองทุ่ม ได้มีคนรวมกลุ่มกันร้องบอกว่า มนุษย์ต่างดาวมาเข้าร่างแหม่ม แล้วมาเชิญ ดร.เทพนมให้ไปสื่อสารหน่อย

- ซึ่งในจำนวนผู้ที่มารอชมจานบินในคืนนั้น ได้มีแหม่มต่างชาติ 2 คน มารอชมอยู่ด้วย และได้มีคลื่นบางอย่างมาผ่านร่างแหม่มคนนั้น จึงแสดงอาการถูกควบคุม ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ดร.เทพนม จึงไปสื่อสารทางจิตกับมนุษย์ต่างดาวที่ผ่านร่างนั้น ว่ามาจากไหน และท่านก็บอกว่า เขาบอกว่ามาจาก ดาวลูกไก่ นำจานบินมาร่วมกับดาวอังคาร ที่จะมาปรากฏให้เห็นในคืนนี้ด้วย ให้ ดร.เทพนม บอกคนที่รอดูว่า เขามาตามนัดแล้ว แต่ลงมาไม่ได้ ลอยอยู่ด้านบนเหนือเมฆ มนุษย์มองไม่เห็นเพราะเมฆหนามาก จึงส่งคลื่นผ่านร่างแหม่มคนนี้เพื่อมาบอก ซึ่งนี่เป็นคำบอกเล่าของ ดร.เทพนม เองในคืนนั้น และสักพักคลื่นนั้นก็ออกไป คนที่มารอชมต่างก็ทยอยกันกลับ

- เมื่อเรากลับมาถึงนครสวรรค์ เราก็ไปบอกพ่อว่า พ่อ ดาวลูกไก่ ที่พ่อสื่อ มีจริงนะ เขาผ่านร่างฝรั่งมาบอก ดร.เทพนม ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะน่าขำ แต่มันก็เกิดขึ้นจริง เราจึงเริ่มมั่นใจว่า บางสิ่งที่พ่อรับสื่อมานั้น มันถูกต้อง แต่อาจจะเชื่อยากสักหน่อย คงต้องใช้เวลา

- สรุปแล้ว บริเวณกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว มีมนุษย์ต่างดาวที่สื่อสารผ่าน จ.ส.อ. เชิด มาทั้งหมด 9 ดวงดาว

- ดาวโลกุกะตาปากะดิกอง (เป็นยานลำใหญ่สีเงิน ลักษณะเป็นจานสามเหลี่ยม จะมีไฟหลายสีหมุนรอบด้านล่าง บางครั้งจะเป็นไฟสีขาวสว่างมาก วิ่งจากซ้ายไปขวา และจากขวาไปซ้ายสลับไปมา)

- ดาวพลูโต (เป็นยานสีส้มเรืองแสงออกมาจากตัวยาน ลำจะเล็กมาก ลอยไปมาให้เห็นเสมอ)

- ดาวอังคาร

- ดาวศุกร์

- ดาวเสาร์

- ดาวนพเคราะห์ (เป็นยานสีเงิน หมุนแบบควงสว่าน มีพลังงานออกมาจากด้านหลัง)

- ดาวลูกไก่

- ดาวจระเข้

- ดาวฤกษ์ (เป็นยานสีแดงจ้าออกมาจากภายในลำยาน มีสีเดียว) ได้เห็นบนเขากะลา เขาสื่อสารว่ามาจากดาวฤกษ์ และจะนำยานมาให้ชม จึงไปรอดูที่ลานด้านหน้าเขา เห็นยานเป็นดวงกลมสีแดงจัด ลอยจากขอบฟ้าด้านขวามือสุด พุ่งไปทางบึงบอระเพ็ด ด้วยความเร็ว และหายไปบริเวณเหนือบึงบอระเพ็ด

............................

โครงการของมนุษย์ต่างดาว  เพื่อช่วยเหลือภัยพิบัิติบนโลกมนุษย์


โครงการนี้ มีดวงดาวต่าง ๆ ที่เข้ามาร่วมในโครงการเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติ และยกระดับจิตใจของมนุษย์ นั้น มีการวางโครงการไว้นานแล้ว ไม่ใช่เฉพาะขณะนี้ เท่าที่เห็นเท่านั้น เราจึงจะค่อนข้างแปลกใจว่า ทำไมเราจึงต้องเห็น ufo ทำไมมนุษย์ต่างดาวต้องมาติดต่อ ทำไม?

หลากหลายคำถามเหล่านี้ มนุษย์ต่างดาวได้บอกโดยรวมไว้นานแล้ว ซึ่งคงพอจะสรุปได้ดังนี้

มนุษย์ต่างดาวจากดาวพลูโต เคยกล่าวไว้ว่า การมาวางโครงการเพื่อช่วยเหลือโลกแต่ละใบที่เกิดความวิกฤตในแต่ละครั้งนั้น เขาจะมีการรู้ล่วงหน้ามานานแล้ว จึงต้องมีการเตรียมการไว้ตั้งแต่ก่อนที่เราจะลงมาเกิดด้วยซ้ำ 

ดังนั้น ในแต่ละดวงดาวที่จะมาร่วมในโครงการเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลกใบนี้นั้น สิ่งที่จะนำเข้ามาร่วมในโครงการนี้คือ นำพลเมืองของเขามาร่วมเป็นคณะทำงานด้วย เพื่อสะดวกในการสื่อสารในแต่ละดวงดาว
อย่างที่ ดร.เทพนม เมืองแมน ท่านเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อ 5000 ปีก่อน ท่านก็เคยเป็นมนุษย์อยู่บนดาวอังคารมาก่อน และผู้ที่มาสื่อสารในขณะนี้ ก็คือท่าน พาราซิทัล จากดาวอังคาร และยังบอกกับท่านอีกว่า บ้านของท่านบนดาวอังคารนั้น ขณะนี้ก็ยังอยู่ รอท่านกลับไปอีกครั้ง

- และพี่สุดใจไปพบ ดร. เทพนม ครั้งล่าสุด ท่านก็เล่าข้อมูลต่าง ๆ ให้ฟัง จึงทราบว่า ตอนนี้หลานของท่าน ที่อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา อายุเพิ่งจะได้ไม่กี่ขวบ จะฉลาดและรู้เรื่องทุกอย่าง จะยกนิ้วก้อยขึ้นสองข้างพร้อมกัน เป็นสัญลักษณ์ทุกครั้งที่เห็น ดร.เทพนม และมีมนุษย์ต่างดาวจากดาวศุกร์ ตามดูแลอยู่ตลอด โดยเดินไปมาอยู่ในบ้านเดียวกัน และ บางครั้ง ดร.เทพนม ก็มองเห็นได้ และยังถ่ายติดภาพผู้ดูแลหลานสาวของท่าน ซึ่งเป็นมนุษย์จากดาวศุกร์ มีสามนิ้วกำลังยื่นมาจับที่ศรีษะของหลานท่าน คอยคุ้มครองดูแลหลานของท่าน 

มนุษย์ต่างดาวบอกว่า หลานสาวของ ดร.เทพนมนั้น เป็นมนุษย์จากดาวศุกร์มาเกิด เพื่อปฏิบัติภารกิจบนโลกใบนี้ในช่วงฟื้นฟู เขาจึงมีหน้าที่ต้องมาดูแล และ ดร.เทพนม ยังนำภาพจำนวนมากที่ถ่ายภาพมนุษย์ต่างดาว และภาพแปลกที่ปรากฏกับหลานสาวของท่านมาให้เราได้ชม 

ดังนั้น มนุษย์ต่างดาว ที่มีความเข้าใจในกฏของธรรมชาติ เขาจะเข้าใจความที่ไม่ใช่ตัวตน ทุกอย่างล้วนเป็นธรรมชาติ เขาจึงไม่ถือว่า มีเรา มีเขา มีตัวตน ของตน การกระทำสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เขาก็ทำไปตามธรรมชาติ ตามเหตุปัจจัยเท่านั้นเอง

ดังนั้น ทุกดวงดาวที่ร่วมในโครงการนี้ จะมีการมาร่วมเกือบทุกด้านที่มีความจำเป็นสำหรับมนุษย์บนดาวดวงนี้ การที่จะจัดวางทุกสิ่งทุกอย่างให้ถูกต้องตามโครงการนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่เราไม่อาจคาดเดาได้เลย ว่าตรงจุดไหน ได้เตรียมอะไรไว้

ดังนั้น พี่สุดใจคงขอนำเรื่องของ กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ที่มนุษย์ต่างดาว ได้บอกไว้เมื่อช่วงทำการฝึกนั้น ถึงที่มาที่ไปว่า ทำไมจึงมาอยู่ตรงนี้ ทำไมจึงต้องทำการอย่างนี้ และทำไมต้องฝึกบุคคลเหล่านี้ เพื่อเป็นการเปิดมุมมอง สำหรับบางท่านที่ประสบเหตุการณ์เหล่านี้มาบ้าง.

.................................


ที่มาของ "เขากะลา" 



การจัดเตรียมสถานที่ตามโครงการ เพื่อรองรับการฝึกสื่อสารกับมนุษย์โลก ก่อนที่จะมาเป็นกลุ่มเขากะลา ในปี 2541

เดิมสถานที่แห่งนั้น เป็นป่าเขา ที่ไม่มีผู้คนอยู่อาศัยมาก่อน นายฉิ่ง ชื่นศรีนวล ซึ่งเป็นคุณพ่อของ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน (เปลี่ยนสกุลจากชื่นศรีนวล เป็นชื่นสำนวน ในภายหลัง) ได้อพยพมาอยู่ ณ สถานที่เป็นเขากะลาในปัจจุบันนี้ เพียงครอบครัวเดียว โดยมาตั้งครอบครัวแต่งงานกับนางกลม ชื่นศรีนวล ทั้งสองท่าน ได้หักร้างถางพง จนมีพื้นที่จำนวนมากภายในหมู่บ้านนั้น และบริเวณโดยรอบเขากะลา

ต่อมาเริ่มมีผู้คนเข้าอพยพเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้น จึงตั้งเป็นหมู่บ้าน โดยเรียกชื่อหมู่บ้านตามชื่อของผู้ที่อพยพมาก่อตั้งหมู่บ้านนี้ขึ้น และประกอบกับมีตาน้ำพุขึ้นมาบริเวณหมู่บ้านให้ใช้สอย ดังนั้นจึงเรียกชื่อหมู่บ้านนี้ว่า บ้านพุตาฉิ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ครอบครัวของ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน จึงเกิดขึ้นที่หมู่บ้านนี้ ซึ่งมีพี่น้องรวมกันเป็นชายทั้งหมดรวม 6 คน จ.ส.อ.เชิด เป็นบุตรคนที่ 3 ซึ่งปู่ฉิ่งก็ได้ถวายที่ สร้างวัด สร้างโรงเรียน และสาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ ตลอดชีวิตของท่าน

ครอบครัวของ จ.ส.อ.เชิด จึงเป็นที่รู้จักของคนทั้งหมู่บ้าน และได้รับความเกรงใจจากคนรุ่นเดียวกัน และสำนักสงฆ์ บนเขากะลานั้น คุณลุงผ่อง ซึ่งเป็นพี่ชายของ จ.ส.อ.เชิด ได้สร้างถวายพระภิกษุที่ไปปฏิบัติสมาธิวิปัสนา บนเขานั้น ดังนั้น พระภิกษุที่จำพรรษาอยู่ ณ ที่นั้น ก็รู้จัก จ.ส.อ.เชิด ด้วย

ดังนั้น สถานที่นี้ จึงเป็นจุดหนึ่งที่มีการเตรียมการไว้ก่อน เพราะหาก จ.ส.อ.เชิด ไม่ใช่คนพื้นที่ตรงจุดนั้นแล้ว การทึ่จะเข้าไปทำกิจกรรมบนเขากะลาในเวลาอีก 50 ปีต่อมานั้น ย่อมเป็นไปได้ยากมาก จึงต้องเตรียมการไว้ก่อน 

ทำไมต้องชื่อเขากะลา จริง ๆ แล้วจากรูปลักษณะของเขา จะเหมือนกะลามะพร้าวผ่าครึ่งแล้วคว่ำไว้ สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวบอกไว้อย่างน่าคิดก็คือ

ความคิดของมนุษย์บนโลกทุกวันนี้เหมือนติดอยู่ในกะลาที่ครอบเอาไว้ มีแต่อวิชชาครอบงำ ความยึดมั่น ถือมั่น ในตัวตน ซึ่งความจริงแล้ว มันไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริง มันเป็นธรรมชาติทั้งสิ้น แต่มนุษย์ก็ยังไม่เชื่อ ยังวนเวียนคิดแต่สิ่งที่เพิ่มกิเลส ตัณหา อุปาทาน เพิ่มความเป็นตัวตน ของตน มากขึ้นทุกวัน แม้พระพุทธองค์ตรัสรู้เปรียบเสมือนมองเห็นสิ่งที่อยู่นอกกะลาแล้วนำมาบอก น้อยคนนักที่จะเชื่อ และปฏิบัติตาม เพราะส่วนใหญ่คิด มองเห็น เพียงแค่ด้านในของกะลาเท่านั้น ไม่อาจออกมาเห็นความกว้างใหญ่ของธรรมชาติได้ 

พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ในกฏของธรรมชาติ ท่านเห็นความเป็นจริงตามธรรมชาติ ท่านจึงอยู่เหนือกะลาใบนี้ เพราะท่านเข้าสู่ความเป็นธรรมชาติแล้ว 

ตอนนี้ มนุษย์ต่างดาว จึงต้องนำกฏของธรรมชาติมาอธิบายในรูปแบบวิทยาศาสตร์ ให้ผู้ฝึกฯ เข้าใจอย่างง่าย ๆ แต่ปล่อยวางได้จริง เปิดมุมมองในรูปแบบของจักรวาลให้รู้ให้เห็น ในความเป็นจริงของธรรมชาติ เพราะผู้ฝึกต้องมีความเห็นที่ถูกตรงในกฏของธรรมชาติ 

สำหรับความคิดของมนุษย์ส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ ที่ถูกครอบงำเอาไว้ด้วยอวิชชา ความโลภ โกรธ หลง ในคนหมู่มากนั้น จะยิ่งเพิ่มความวิกฤตให้เร็วขึ้น ซึ่งมนุษย์ต่างดาวเคยบอกไว้ว่า ในสมัยก่อน การรบราฆ่าฟันกันก็เคยมี แต่มันวิกฤตเพียงด้านเดียว คือด้านจิตใจ แต่ธรรมชาติยังไม่วิกฤต จึงยังรักษาสมดุลย์ไว้ได้ แต่ตอนนี้ มันวิกฤตพร้อมกันทั้ง 2 ด้าน คือทั้งด้านจิตใจ และธรรมชาติในส่วนรวม จึงยากที่จะเยียวยาได้

แต่ก็น่ายินดี ที่ในช่วงวิกฤตินี้ มีกลุ่มบุคคลจำนวนมาก ที่ยอมเสียสละเพื่อส่วนรวม มีความห่วงหาอาทรเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และปราถนาที่จะอุทิศตนเพื่องานนี้ ซึ่งกระแสแห่งเจตนาเพื่อช่วยเหลือส่วนรวมโดยมิได้หวังผลตอบแทนนี้ ก็เป็นกระแสของธรรมชาติ และเป็นกระแสเดียวกันกับที่มนุษย์ต่างดาวในโครงการนี้กำลังกระทำอยู่ จึงสามารถที่จะสื่อสารถึงกันได้ในกระแสเดียวกัน เหมือนคลื่นเดียวกัน จะสามารถสื่อสารถึงกันได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร 

ซึ่งเหมือนเป็นการเปิดกะลา ให้ออกมาดูโลกภายนอกอันกว้างใหญ่ เมื่อรับรู้ความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติแล้ว ก็เบื่อหน่ายที่จะยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้านี้ 

ดังนั้น สิ่งที่พระพุทธองค์ ท่านทรงตรัสสอนมนุษย์นั้น ท่านนำมาแค่ใบไม้กำมือเดียว ก็คือสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับมนุษย์เท่านั้น ที่ท่านนำมาตรัสสอน แล้วใบไม้ทั้งป่าที่พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว จะมีอะไรบ้างนั้น มนุษย์ไม่อาจรู้ได้ เพราะถ้ารู้แล้วไม่ช่วยให้ดับทุกข์ได้ พระพุทธองค์ท่านก็ไม่นำมาสั่งสอน เพราะไม่จำเป็น

มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า พวกเขาเป็นใบไม้นอกกำมือ เป็นใบไม้ที่อยู่ในป่า ก็คือธรรมชาติที่กว้างใหญ่ สิ่งที่มนุษย์คิดว่าไม่มี ไม่น่าเป็นไปได้ ไม่น่าเชื่อ ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งหมด เพราะทุกอย่างมีอยู่แล้วในธรรมชาติ ดังนั้น สิ่งที่มนุษย์ยังไม่รู้มีอีกมากมายนัก ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก็เป็นกฏของธรรมชาติ กฏของจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ที่มนุษย์ยังไม่เข้าใจ และคาดการณ์ไปต่าง ๆ นานานั่นเอง

ดังนั้น ด้านบนเขากะลา จึงมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางนาคปรก ประดิษฐานอยู่ เป็นสัญลักษณ์ผู้มีความเจริญทางจิตสูงสุดนั่นเอง

- ด้านซ้ายก็ยังเป็นเขารูปพระนอน ซึ่งมนุษย์ต่างดาว บอกว่า ก็เป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่ง ของผู้นำสูงสุดทางจิตบนโลกนี้ ซึ่งเขากะลาแห่งนี้ อยู่ ต.พระนอน อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เขตติดต่อกับ อ.ท่าตะโก นครสวรรค์ บางท่านอาจจะนึกว่าอยู่ อ.ท่าตะโก เพราะเป็นเขตติดต่อกัน 

- ด้านขวา ก็เป็นภูเขารูปปิรามิด เป็นสัญลักษณ์ของผู้เดินทางมาจากดวงดาราต่าง ๆ ซึ่งมนุษย์เป็นผู้ตั้งชื่อให้กับเขา เราเรียกดาวดวงนี้ว่า ดาวอังคาร ดาวศุกร์ ดาวพลูโต ดาวลูกไก่ เขาบอกว่า เขาไม่ได้ชื่ออย่างนั้นหรอก แต่เมื่อมนุษย์เรียกเขาอย่างนั้น เมื่อเขามาจากดาวดวงนั้น เขาก็ต้องบอกว่าชื่อนั้นอย่างที่เราเรียกเขา จะได้สื่อสารตรงกันว่า มาจากดาวดวงนั้นนั่นเอง

- ก็คงเหมือนโลกเรา ประเทศไทยเรียก น้ำ ประเทศอเมริกาเรียก วอเตอร์ ประเทศอื่น ๆ ก็เรียกต่างกันไป ดังนั้น เมื่อคนที่รู้หลายภาษา ไปยังประเทศไหน ก็เรียกชื่ออย่างที่ประเทศนั้นใช้เรียก เพื่อจะได้เข้าใจตรงกัน

ดังนั้น กลุ่มผู้ฝึกฯ จึงถูกฝึกฯ อบอวลอยู่ท่ามกลางธรรมะ คือกฏแห่งกรรม และกฏธรรมชาติ ไปพร้อม ๆ กัน

การจัดวางสถานที่แห่งนี้ ต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำขนาดใหญ่ เพราะยานฯ ที่เดินทางมาจากบางดวงดาวมาด้วยยานที่เป็นวัตถุ และเดินทางเข้า -ออก ผ่านอุโมงค์แสง หรือรูหนอน ที่อยู่บริเวณเขากะลา จึงต้องนำยานมาอาศัยอยู่ในที่เย็นในช่วงกลางวัน ดังนั้น จึงต้องมีบึงบอระเพ็ดอยู่ตรงจุดนี้ด้วยเพราะเป็นจุดพักยานฯ ซึ่งเป็นจุดที่เห็นวัถตุบินขึ้น - ลง เสมอ 

เมื่อยืนบนเขากะลา จะมองเห็นบึงบอระเพ็ดชัดเจน ดังนั้น คนที่มาเขากะลาจึงชอบมายืนดูวิวด้านหน้า หันไปทางบึงบอระเพ็ด เพราะจะเห็นดวงไฟลึกลับลอยขึ้นมาจากบึงบอระเพ็ดบ่อยครั้ง และบางคราวก็สามารถบันทึกภาพไว้ได้ด้วย ซึ่งลอยเป็นดวงไฟสีส้มขึ้นมาจากบึงบอระเพ็ด พอขึ้นมาอยู่กลางท้องฟ้า ก็เปลี่ยนเป็นไฟกระพริบหมุนรอบ และลอยผ่านศรีษะผู้ที่ยืนดูอยู่บนเขาไป บันทึกภาพได้โดยคุณอนวัช จากกรุงเทพฯ

ด้านหลังเขากะลา จะเป็นลานหิน ซึ่งเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ วางซ้อนกันไว้โดยแต่ละก้อนไม่ติดกัน วางเทินอยู่อย่างนั้น มีถ้ำ และมีรอยเท้า 2 รอย ฝังอยู่ในหิน ซึ่งมนุษย์ต่างดาวบอกว่า เป็นการจำลองพระพุทธบาทของพระพุทธองค์มาไว้ ณ ที่นี้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนองค์ของท่าน ให้มนุษย์ที่มีเจริญทางจิตทั้งหลาย จะได้ก้าวตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์กลับคืนสู่ธรรมชาติกันเสียที

มีถ้ำ มีเมืองลับแลอยู่โดยรอบเขากะลา เพราะคนที่หมู่บ้านนี้ เมื่อเข้ามาหาหน่อไม้บริเวณเขาแห่งนี้ จะได้ยินเสียงดนตรีโบราณ ปี่พาทย์ และกลิ่นหอมลอยออกมาจากเขาเสมอ จนเป็นที่เลื่องลือ

และจุดนี้ ก็เป็นจุดที่มนุษย์ต่างดาวได้เปิดมิติเตรียมการไว้นานแล้ว เพื่อการเดินทางเข้าออกของสมาชิกกลุ่มสากล แม้จะมีหลายสถานที่บนโลกใบนี้ แต่ที่เขากะลาก็เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่ง ในโครงการนี้

ดังนั้น ถ้าไม่มีการจัดวางล่วงหน้ามาหลายร้อยปี ไม่มีทางที่มนุษย์จะหาสถานที่แบบลงตัวเช่นนี้ได้

และนี่คือ ที่มาของ เขากะลาที่หลายคนสงสัย เพราะการวางสถานที่ การวางตัวบุคคลที่จะลงมาเกิด ตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ รุ่นลูก และรุ่นที่จะมาร่วมเข้าฝึกสื่อสารฯ กลุ่มบุคคลเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติ และรุ่นฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ มีการวางไว้ล่วงหน้าแล้วหลายร้อยปี 

ตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเขากะลาในเบื้องต้น อาจพอเทียบเคียงกับหลายบุคคล ที่เคยสงสัยว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ทำไมต้องเห็น ทำไมต้องมาติดต่อ เพราะก่อนลงมาเกิด ก็มีการขันอาสากันมาแล้ว ไม่ว่าจะอาสามาในรูปแบบใด เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ย่อมจำไม่ได้ แต่เมื่อถึงเวลา ผู้รู้ก็ต้องสื่อสารลงมา ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารจากเทพ จากเทวดา หรือจากมนุษย์ต่างดาว ก็จะเป็นการสื่อสารเพื่อดำเนินโครงการช่วยเหลือมนุษย์ทั้งสิ้น

......................................


ภูเขารูปกะลาคว่ำ มีพระพุทธรูปปางนาคปรกอยู่บนเขา

ด้านบนเขากะลา พระพุทธรูปปางนาคปรก

ด้านซ้าย รูปพระนอน

ด้านขวามือ ภูเขารูปปิรามิด

ด้านหน้า ภูเขารูปจานบิน

ด้านหน้าซ้าย บึงบอระเพ็ด

ด้านหลัง เป็นลานหินก้อนใหญ่วางเทินซ้อนกัน

ด้านล่าง เป็นถ้ำไม่ลึกนัก

ด้านล่าง รอยพระพุทธบาท 2 รอย ฝังอยู่ในลานหิน


(ขอขอบคุณ กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อภาพที่บันทึกไว้เมื่อเดินทางไปเยือนเขากะลา เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2550 ที่ผ่านมา) 




ดาวนพเคราะห์ คืออะไร ?

เป็นชื่อของดาวดวงหนึ่ง    ที่มาร่วมโครงการนี้ และสื่อสารผ่าน จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ว่ามาร่วมอนุโมทนาที่เขากะลาด้วย ดังนั้น จึงมีชื่อของดาวดวงนี้ อยู่ในจำนวน 9 ดวงดาวที่สื่อสารมา

ทำไมจึงชื่อดาวนพเคราะห์ 

จริง ๆ แล้ว ภาษาของเขาอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจ แต่อาจตั้งชื่อสมมุติให้เรารู้จักเขาในนามนี้ก็ได้ เรารู้เรื่องของดาวนพเคราะห์น้อยมาก เพราะไม่ใช่ดาวที่สื่อสารเป็นหลัก อย่างดาวโลกุกะตาปากะดิกอง ที่จะบอกข้อมูลเยอะมาก และดาวพลูโต ก็บอกข้อมูลบางส่วนให้ทราบ แต่ดาวต่าง ๆ อีก 7 ดวงดาว สื่อสารมาเพื่อร่วมอนุโมทนาเพียงดวงดาวละ 1 ครั้งเท่านั้น เพื่อให้รับทราบว่ามาร่วมโครงการด้วย 

แต่การติดต่อสื่อสาร จะเป็นการติดต่อกับกลุ่มอื่น ๆ ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ แต่ที่มาแจ้งให้ "กองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว" ที่เขากะลา จ. นครสวรรค์ ในประเทศไทย ได้รับทราบ ก็เพราะว่า เป็นการทำงานร่วมในโครงการเดียวกัน และหากต่างประเทศกล่าวถึงดาวต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเขาต้องไปดำเนินโครงการในแถบยุโรป หรือแถบตะวันตก และรวมถึงทั่วโลกด้วย

พี่สุดใจ เคยอ่านหนังสือ ยูเอฟโอ ของต่างประเทศเล่มหนึ่ง ที่แปลเป็นภาษาไทย และมีนักพลังจิตชาวต่างชาติคนหนึ่ง ที่ค้นคว้าเรื่องนี้ กล่าวว่า ที่ดาวพลูโต ก็มีมนุษย์อยู่ด้วย ดังนั้น ดาวดวงเดียวกัน ก็อาจไปดำเนินโครงการในหลายประเทศ ซึ่งรายละเอียด พี่สุดใจจะไปค้นมาให้อ่านเพิ่มเติมนะคะ

ดาวนพเคราะห์ มาทำหน้าที่อะไร? ในโครงการนี้


จากการสื่อสารครั้งนั้น ดาวนพเคราะห์ได้แจ้งให้ทราบว่า ยานฯ ของเขานั้น มาเพื่อทำลายรังสีของปรมาณู ซึ่งพลังงานที่ออกมาจากส่วนท้ายของยานฯ ที่เราเห็นเป็นสีแดงนั้น จะมีความร้อนสูงมาก หลายพันองศา และสามารถเผาผลาญรังสีต่าง ๆ ได้ ดังนั้น เมื่อช่วงเกิดภัยพิบัติ ไม่ว่าจะตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจที่จะยิงนิวเคลียร์ มันก็ต้องระเบิดอยู่แล้วเพราะในบางประเทศมีไว้ในครอบครองจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวอย่างหนักช่วงเกิดภัยพิบัติ ระเบิดเหล่านั้นก็ย่อมระเบิดเองโดยอัตโนมัติ จะตั้งใจหรือไม่ ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่ดี

ดังนั้น การเตรียมการเพื่อช่วยเหลือมีหลายขั้นตอน คือ

ขั้นตอนแรก ที่อยู่อาศัย ต้องหาที่ปลอดภัยให้กับมนุษย์ โดยการสร้างใยแก้วป้องกันยังจุดต่าง ๆ ที่เตรียมการไว้ เพราะเมื่อรังสีนิวเคลียร์กระจายออกไป ผิวหนังของมนุษย์ไม่สามารถทนได้โดยไม่มีเครื่องป้องกัน ดังนั้น ดาวนพเคราะห์ มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการทำลายรังสีในอากาศ เพื่อปรับสภาวะอากาศให้อยู่ในสภาพเดิม ดังนั้น ในหลายสถานที่ จึงมีการสร้างสภาพอากาศภายในครอบแก้วนั้นให้เป็นธรรมชาติในขั้นต้น เพื่อมนุษย์อยู่อาศัยได้ ซึ่งในหลายสถานที่ มนุษย์อาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนอยู่ในครอบแก้ว รอจนมีการปรับสภาพบรรยากาศให้เป็นปกติแล้ว จึงจะออกมาอยู่ภายนอกได้


ขั้นตอนต่อมา ก็คือเรื่องอาหารของมนุษย์ ก็ต้องมีอาหารสำรองไว้ให้เพียงพอกับมนุษย์ในแต่ละกลุ่ม ในแต่ละจุด มนุษย์อาจจินตนาการไม่ออก ว่ารูปแบบของการช่วยเหลือจะเป็นเช่นไร? แต่เขาได้มาวิเคราะห์วิจัย และเตรียมการไว้นานแล้ว ซึ่งบางแห่งพืชพันธ์ที่จำเป็นกับมนุษย์ ก็เติบโตสมบูรณ์ทันการเลี้ยงดูประชากรในกลุ่มนั้น ๆ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับความคิดมนุษย์ แต่เบื้องหลังการเตรียมการเหล่านั้น มนุษย์ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ 

ดังนั้น ภารกิจของดาวนพเคราะห์ใ นโครงการนี้ ก็คือการช่วยเผาไหม้รังสีในชั้นบรรยากาศ ให้มีสภาพดังปกติ และเราอาจไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก เพราะเขาบอกว่า ประเทศไทยไม่มีวัตถุอันตรายเหล่านี้ ดังนั้น ส่วนใหญ่เขาจึงไปอยู่แถบตะวันตกมากกว่า ซึ่งภารกิจก็ยังคงดำเนินต่อไปตามโครงการที่วางไว้

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้รับการสื่อสารมาจากมนุษย์ต่างดาว เราจึงต้อง 
แจ้งเพื่อทราบ จะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน ก็แล้วแต่จะพิจารณา แต่บางเรื่องที่เราต้องกระทำเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ก็ขอให้ทำไปเต็มกำลังของแต่ละกลุ่ม แต่ละบุคคล แต่ถ้ามีสิ่งอื่นที่มีประสิทธิภาพมากกว่า มาให้การช่วยเหลือเพิ่มเติม ก็ถือว่าดีอยู่แล้ว 

แต่สิ่งหนึ่งที่ควรตระหนักก็คือ สิ่งที่เรากระทำ สิ่งที่เราเตรียมการ นับว่าดีที่สุดเท่าที่มนุษย์พึงทำได้แล้วนั้น หากมีสิ่งใดที่เกินกำลังของเรา จนเราไม่สามารถที่จะทำการป้องกันได้ทั้งหมด ก็อย่าได้มีความทุกข์กับสิ่งเหล่านั้น เพราะถึงทุกข์ไป เราก็มิอาจที่จะไปป้องกันโลกทั้งโลกได้อยู่แล้ว เราก็ต้องปล่อยวาง และอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด ถ้ามีผู้อื่นมาช่วยก็ดี แต่ถ้าไม่มี เราก็ใช้ในสิ่งของที่เราเตรียมการไว้แล้ว 

แต่ให้ระวัง "จิต" ในขณะเตรียมการด้วย อย่าให้การสะสมเพื่อช่วยเหลือบุคคลอื่นนั้น กลับไปเพิ่มความมีตัวตนของเราให้มากขึ้น เพราะหากเมื่อใดที่ยังคิดว่ามีเราผู้เตรียมการ มีเราผู้จัดหาอุปกรณ์ มีเราผู้รับผิดชอบโครงการ เมื่อนั้น ท่านก็จะทำงานใหญ่นี้ด้วยความหนักของจิต เพราะจะต้องมีความสุข ความทุกข์ ในขณะที่ทำ 

ดังนั้น สิ่งที่พวกเราต้องเร่งปฏิบัติในขณะนี้ คือการเห็น "ความว่าง" ว่างจากอะไร ว่างจาก "อุปาทาน" ความยึดมั่น ถือมั่นว่ามีตัวตน ของตน ดังนั้น แม้ความปราถนาดี หรือปราถนาร้าย ก็ย่อมมีตัวตนของผู้ปราถนาดี เหล่านั้น อยู่ในทุกหนทุกแห่งที่กระทำการ จึงยังต้องพบกับ สุข ทุกข์ ผิดหวัง สมหวัง ควบคู่กันไป 

หากเรามาพิจารณาธรรมะ ที่ทางพุทธศาสนาได้สอนไว้ว่า ทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติล้วน ๆ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่ในนั้นเลย แล้วเราปล่อยวาง โดยทำการทุกอย่างตามที่มันควรจะเป็น เตรียมการให้การช่วยเหลือจัดหาอุปกรณ์ ให้ข้อมูลข่าวสาร ทุกอย่างทำได้เหมือนเดิมทั้งหมด แต่ไม่มีใครเป็นผู้ที่ทำสิ่งเหล่านั้น เพราะเราคือธรรมชาติ ก็ให้ธรรมชาติที่คิดรู้ได้ชิ้นนี้ ช่วยเหลือกันเองตามความเหมาะสม เราก็จะไม่ต้องไปสุข ทุกข์ หรือลุ้นสถานการณ์เหล่านั้น ให้สภาวะจิตที่สงบ เยือกเย็น ต้องขึ้น-ลง กับความปราถนาดี หรือร้าย เหล่านั้นเลย 
เมื่อทำงานโดยที่ไม่มีตัวตนของผู้ทำนั้น งานก็จะสำเร็จลุล่วงไปเหมือนเดิม แต่ความทุกข์ไม่เหมือนเดิม เพราะความมีตัวตนน้อยลง ความทุกข์ก็จะลดลง เพราะมีความว่าง มากั้นไว้นั่นเอง แต่ความสงบ ความเบาของจิต จะเพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ทำงานเช่นเดิม


.................................



ดังนั้น คำ 2 คำที่มนุษย์ต่างดาว มุ่งเน้นให้ผู้ฝึกฯ ต้องปฏิบัติ และกระทำได้จริงก็คือ

ไปทำงานเหมือนไปเที่ยว
ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ


ดังนั้น ไม่ว่าพี่สุดใจ หรือกลุ่มผู้ฝึก ต้องไปทำงานอะไร ต้องประสานงานที่ไหน ก็ต้องมีจิต "ปิคนิค" ตลอดเวลา เพราะเราไม่ได้ไปทำงาน แต่เราไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ไปประสานงานพูดคุยกับกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งก็มีความสุข ความสนุกสนาน เบิกบานตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว เราจะนึกภาพออกว่า ถ้าให้เราไปทำงานเหมือนทุกวัน กับให้เราไปเที่ยวทะเล มีอาหารการกินครบถ้วน สภาวะจิตอันไหนจะเบิกบานกว่ากัน นี่คือคำว่า "ทำจิตให้ปิคนิคออนไลน์" เพราะไม่เช่นนั้น ในอนาคตข้างหน้า ความโกลาหล ความวุ่นวาย ความน่าสมเพชเวทนา ความน่าเอน็จอนาถในสิ่งที่ต้องพบเจอในคราวเกิดภัยพิบัตินั้น จะทำให้สภาวะจิตในขณะนั้น รับไม่ไหว กับสิ่งรอบข้างจะเกิดขึ้นมากมาย จึงต้องมีอุบายให้ทำจิตปิคนิคเสียตั้งแต่บัดนี้ เพราะสารเคมีประเภทเอ็นโดรฟีน จะได้หลั่งสะสมไปเรื่อย ๆ ทำให้เรารู้สึกสดชื่น มีความสุข แม้งานเหล่านั้น จะเป็นงานที่น่าจะมีแต่ทุกข์ก็ตาม 

ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ ก็เพราะธรรมชาติ เขาทำงานกันเอง โดยมีขันธ์ห้าตามธรรมชาติเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือ เพราะธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด เขาก็จัดสรรเองได้ ระวังอย่าให้ "อุปาทาน" หลอกล่อ ว่ามีตัวตนของเรา เป็นผู้ทำเท่านั้นพอ 


ดังนั้น ถ้าใครเคยพบพี่สุดใจ เคยคุยกับพี่สุดใจ หรือบางคนก็คุยกันตลอดทั้งคืนบนเขากะลา ก็จะเห็นว่า พี่สุดใจจะสนทนา จะพูดคุย และให้ข้อมูลทุกท่านด้วยความยินดี เพราะพี่สุดใจ ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ จึงไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่มีการลุ้นว่า สิ่งที่เราบอกไปเขาจะเชื่อไหม? เมื่อตั้งความเห็นให้ถูกตรงตั้งแต่ทีแรก งานก็ทำเท่าเดิม ผลงานก็ได้เท่าเดิม แต่ความทุกข์ไม่เท่าเดิม


คำว่า "ปิคนิค" ก็เป็นคำระบบอีกคำหนึ่ง ที่มุ่งเน้นให้ผู้ฝึกต้องทำจิตให้ปิคนิกเกิน 50 % ขึ้นไป ในทุกสถานการณ์ เมื่อทำบ่อย ๆ ก็จะเป็นการ "ปิคนิคออนไลน์" หรือถ้าทางธรรมะ ก็อาจเทียบเคียงได้กับคำว่า จิตประภัสสร นั่นเอง 

เมื่อเรากระทำเต็มตามความสามารถของเราแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหตุปัจจัยของแต่ละจุด แต่ละสถานที่ ที่ต้องเตรียมการช่วยเหลือกันเอง เพราะจุดของเรายังมีการเตรียมการได้เช่นนี้ จุดอื่น ๆ ก็ย่อมมีกลุ่มอื่น ๆ เตรียมการไว้แล้วเช่นกัน


พี่สุดใจ ก็ยังคงมีธรรมะ หรือกฏของธรรมชาติมาฝากเช่นเคย แล้วแต่มุมมองของแต่ละท่านที่จะนำไปพิจารณา เพราะทั้งหลาย ทั้งปวง มุ่งเน้นให้เห็นทุกข์ และรู้วิธีการที่จะดับทุกข์นั้น ๆ เมื่อไม่มีตัวเรา ก็ย่อมไม่มี "ทุกข์" ที่เป็นของเราเช่นกัน 

เหตุการณ์ข้างหน้า อะไร ?จะเกิดขึ้น มากน้อยแค่ไหน? ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ อย่าได้ไปทุกข์กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ขอให้ทำความเพียรเพื่อเข้าถึงสัจธรรม ให้มากที่สุดในปัจจุบันนี้ ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว.


.......................................


มนุษย์ต่างดาวบอกอะไร?

--------------------------------------------------------------------------------

สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ต่างดาวเคยบอกไว้ก็คือ 

ในช่วงวิกฤต ยานพาหนะของมนุษย์ไม่สามารถใช้การได้ ก็ต้องใช้จานบินในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และผู้ที่มากับจานบิน ถ้าเป็นมนุษย์ต่างดาวเดินลงมา ก็ย่อมเป็นที่ตื่นตระหนก ตกใจของมนุษย์โลก แต่ถ้าผู้ที่เดินลงมาจากจานบิน เป็นมนุษย์โลกเหมือนกัน ก็จะมีความไว้วางใจกันในระดับหนึ่ง และถ้ายิ่งมนุษย์คนนั้น เป็นคนที่กลุ่มผู้ต้องได้รับการช่วยเหลือรู้จัก ก็ย่อมไว้วางใจได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นมนุษย์บนโลกนี้ ไปกับยานอวกาศลำนั้น หรือเป็นการ copy ร่างมนุษย์คนนั้น ลงไปปรากฏก็ตาม ดังที่เขาเคยทำตัวอย่างไว้ให้เห็นแล้วนั้น ทุกอย่างทำเพื่อความเหมาะสม และเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งสิ้น

ดังนั้น การเตรียมการจึงต้องใช้เวลา ต้องเตรียมหลายด้าน ทั้งบุคคลที่ต้องจัดวางไว้ ทั้งสภาพยานอวกาศที่ต้องจัดทำ และสำรองอากาศของมนุษย์เข้าไปไว้ด้วย เพราะในต่างประเทศก็เคยมีตัวอย่างลงหนังสือมากมาย เขาจับมนุษย์ขึ้นไปในยาน และสภาพในยานจะเป็นห้องโล่ง ๆ จากนั้นก็นำมนุษย์ลงมาส่ง โดยไม่ได้ทำอันตรายใด ๆ อาจจะเป็นไปได้ว่า ทดลองนำมนุษย์เหล่านั้น ไปทดลองหายใจในอากาศที่จัดทำไว้ก็ได้ ซึ่งในวันที่ 5 มกราคม 2550 กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ 4 ท่านที่ได้เดินทางไปเขากะลา และมีเหตุการณ์เรื่องมิติยานลำใหญ่ ซ้อนทับมิติปกติบนหน้าลานพระ ซึ่งทุกคนสัมผัสได้ ในเหตุการณ์วันนั้น คุณคณานันท์ ได้นั่งสมาธิส่งจิตขึ้นไปสัมผัสบนยานลำนั้น ก็ได้เห็นว่า บนยานลำนั้น มีแต่ห้องกว้าง ๆ สีขาว เท่านั้น และเห็นเพียงนิดเดียวภาพก็ถูกตัดหายไป เพราะทุกคนที่อยู่บนลานพระหลับพร้อมกันหลังจากนั้น 

คุณ mead ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย อาจจะเล่าเสริมให้เพื่อน ๆ ได้รับฟังบ้าง เพราะคุณคณานันท์ ได้เล่าให้ทุกคนฟังเรื่องเห็นภายในยานฯ ลำนั้น ซึ่งทุกคนก็ได้รับฟังพร้อมกับพี่สุดใจด้วย

ก็น่าแปลก ที่เห็นเป็นห้องโล่ง ๆ เหมือนกันกับผู้ที่เคยมีประสบการณ์ในต่างประเทศหลายท่าน แต่มุมมองของคนไทย จะไม่ตื่นตระหนก หรือตกใจใด ๆ ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ได้ไปเห็น

สิ่งที่จะบอกก็คือ ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มนุษย์ต่างดาวที่มาทำโครงการนี้ ก็ยังต้องช่วยเหลือมนุษย์อยู่ดี และสิ่งที่เขามุ่งเน้น ไม่ใช่ทุกคนจะต้องเชื่อ จะต้องเข้าใจ เพราะจุดมุ่งหมายของการเตรียมการ คือบุคคลที่ต้องร่วมงานในโครงการเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติที่เขาวางไว้เท่านั้น ในขั้นต้น ดังนั้น บุคคลต่าง ๆ นี้ ก็จะได้สัมผัส ได้เห็น และได้รับรู้ด้วยตนเอง ใช้การพิจารณาในสิ่งที่ตนเห็นมาด้วยตนเอง ไม่ได้เชื่อ ๆ ตามกันไป 

ดังนั้น ท่านที่ยังไม่เคยสัมผัส ไม่เคยเห็น ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องไม่เชื่อ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เหมือนคนที่เคยเห็นวิญญาณ กับคนที่ไม่เคยเห็น ก็มีความคิดที่ต่างกัน ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก

ดร.เทพนม เมืองแมน ท่านเคยเห็น ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า เคยสัมผัสได้ ติดต่อได้ ถ่ายภาพได้ แม้ท่านจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นแพทย์ มียศฐาบรรดาศักดิ์มากมาย การที่จะออกมาทำเรื่องหลุดโลกเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ท่านกล้าหาญมาก เพราะจะมีสักกี่คนที่กล้าอย่างท่าน แม้จะไม่มีตำแหน่งใหญ่โตเท่าท่านก็ตาม 

ดังนั้น การที่ท่านได้พบ ได้เห็น ได้สัมผัส และรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในความปราถนาที่จะมาช่วยโลกของมนุษย์ต่างดาวแล้ว ท่านย่อมต้องใช้การพิจารณาอย่างมาก ต้องมีการพิสูจน์ ทดสอบ ทดลอง จนท่านแน่ใจ ท่านจึงยอมกล้าเสียสละในหน้าที่การงาน ชื่อเสียง และการถูกมองในลักษณะของความไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้ นับว่าเป็นการเสียสละอย่างมากของท่าน 

แต่ถึงใครจะมองอย่างไร ท่านก็ต้องทำอย่างนั้นอยู่ดี เพราะความมีคุณธรรม ความปราถนาจะช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ท่านจึงพร้อมที่จะทำ ไม่ว่าวิถีทางใดก็ตาม ถ้าไม่เช่นนั้น ในวันนี้ เราจะไม่มีผู้ที่เปิดตำนานของ UFO ในประเทศไทย หากท่านไม่เสียสละเช่นนี้


จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ก็เช่นกัน แม้ท่านจะเป็นเพียงทหารจากต่างจังหวัด ชอบทำสมาธิ ปฏิบัติธรรม เป็นคนสมถะ ไม่ชอบวุ่นวายกับเรื่องต่าง ๆ มากนัก แต่เมื่อท่านได้รับรู้ ได้เห็นถึงความปราถนาดีของผู้ที่มาจากต่างจักรวาล หรือจากดวงดาวต่าง ๆ เพื่อมาช่วยมนุษย์บนโลกนี้ และเห็นวัตถุบินที่นำมาปรากฏให้เห็นพร้อมครอบครัว ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า และต้องใช้ความมีสมาธิของท่าน เป็นตัวสื่อผ่านถึงมนุษย์โลก ท่านจึงกล้าที่จะออกมาทำเรื่องนี้ แม้มันจะขัดกับความสมถะ ความสงบของท่านก็ตาม ซึ่งจะเห็นได้จากหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เมื่อหลังจากวันที่ 3 มกราคม 2541 ที่นัดหมายจานบินที่สิงห์บุรี จะพาดหัวข่าวว่า จ่าจอมลวงโลก จ่าจอมโทรจิต จ่าจอมโกหก อะไรอีกมากมายในเนื้อข่าว แม้ท่านจะท้อในตอนนั้น แต่สิ่งที่ได้รับรู้ถึงภัยพิบัติที่จะเกิดกับโลกใบนี้แล้ว ท่านก็กล้าที่จะกลับมาเพื่อรับข้อมูลการสื่อสาร ดำเนินโครงการร่วมกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลาอีกครั้ง จนได้เกิด "กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)" ในวันนี้
ทั้งสองท่าน แม้จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในแทบทุกด้าน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ความเสียสละ ความปราถนาดี ความมีคุณธรรมในจิตใจ และพร้อมที่จะเป็นผู้ให้เสมอมา

วันนี้ เราจึงมีตำนานของ 2 ผู้สื่อสารกับ UFO เกิดขึ้นที่นี่ ที่ประเทศไทย





"สวัสดี" ในความหมายของมนุษย์ต่างดาว



--------------------------------------------------------------------------------

ในวันพุธที่ 19 กันยายน 2550 ทางช่อง 5 ประมาณ 23.05 นาฬิกา ดร.เทพนม เมืองแมน ออกรายการ "เบื้องหลัง" ตอนที่ 2 เรื่อง การติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว ท่านที่สนใจเรื่องของ UFO ติดตามชมกันได้ในคืนนี้

ท่านที่เคยได้ดูในตอนที่ผ่านมา คงจะเห็นตัวอย่างตอนที่ 2 ที่จะนำเสนอในคืนนี้ ซึ่งบางส่วนมีการอ้างอิงถึงเขากะลา และสัญญลักษณ์มือที่เห็นในภาพ หมายถึงอะไร? นั้น


พี่สุดใจ จึงขอนำความหมายของสัญญลักษณ์นั้น มาให้ท่านที่สนใจได้รับทราบ ก่อนที่จะได้ชมในรายการเบื้องหลัง คืนนี้

สัญญลักษณ์ "ดอกบัวบาน "

ในการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลก ในครั้งแรกที่ ดาวโลกุกะตาปากะดิกอง มีการสื่อมายัง จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน นั้น ได้มีการบอกถึงสัญญลักษณ์ ซึ่งเป็นการทักทายกัน ระหว่างดาวโลกุฯ กับมนุษย์โลก ให้ใช้สัญญลักษณ์ "ดอกบัวบาน" ก็คือคำว่า สวัสดี นั่นเอง

ลักษณะก็คือ ข้อมือทั้งสองติดกัน และแบมือออกทั้งสองข้าง ซึ่งเขาบอกว่า เป็นเหมือน "ดอกบัวบาน"

ลักษณะการทักทาย หรือสวัสดีของมนุษย์โลก เขาบอกว่าเป็นลักษณะดอกบัวตูม คือพนมมือไหว้กัน เหมือนดัง "ดอกบัวตูม" 

ดังนั้น ในการสื่อสารกัน จึงใช้สัญญลักษณ์ "ดอกบัวบาน" เพื่อแสดงถึงการ "ยินดีต้อนรับ" เขานั่นเอง

เมื่อดาวโลกุกะตาปากะดิกอง สื่อสารผ่านมายัง จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ซึ่งได้รับเป็นข้อความในส่วนใหญ่แล้ว บางครั้ง จะส่งคลื่นผ่านมายัง คุณชูชาติ ชื่นสำนวน ซึ่งเป็นบุตรชาย คลื่นนั้น เมื่อผ่านร่างแล้ว จะพูดคนละภาษากับเรา ซึ่งการสื่อสาร ต้องสื่อสารกันด้วยภาพ และ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ก็เป็นผู้แปล

ดังนั้น ทุกครั้งที่ดาวโลกุกะตาปากะดิกอง สื่อสารมา เราต้องทำสัญญลักษณ์ "ดอกบัวบาน" แทนคำว่า "สวัสดี" เป็นการ ยินดีต้อนรับ ทุกครั้ง

สัญญลักษณ์สีประจำดาวโลกุกะตาปากะดิกอง 

สีแดง เป็นสีที่ใช้แทนสัญญลักษณ์ของดาวโลกุกะตาปากะดิกอง

จะสังเกตุเห็นว่า ทำไมครอบครัว จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน จึงได้ใส่เสื้อสีแดงกันทั้งหมด ทุกครั้งที่มีการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว 

ก็เพราะว่า ดาวโลกุกะตาปากะดิกอง ให้ใช้สีแดง เป็นสัญญลักษณ์ของดาวโลกุฯ เพราะดวงดาวอื่น ๆ ก็มีแต่ละสีเป็นสัญญลักษณ์แทนแต่ละดวงดาวเหมือนกัน ดังจะเห็นได้บนเขากะลา มีธงหลายสีปักอยู่บริเวณ "กองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว" ซึ่งมีทั้งสีน้ำเงิน ซึ่งแทนดาวพลูโต สีชมพู สีม่วง และอีกหลายสี มีความหมายเป็นสัญญลักษณ์แทนแต่ละดวงดาวทั้งสิ้น

ดังนั้น ทุกครั้งที่ดาวโลกุฯ นัดหมายจะนำคลื่นจิตสื่อสารลงมา เราก็จะใส่เสื้อสีแดง ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของสีประจำดาวโลกุฯ เป็นการต้อนรับทุกครั้ง 

....................................