เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
ของ
มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา
ของ
มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา
สิ่งที่ได้จะได้กล่าวต่อไปนี้ เป็นข้อมูลที่ได้รับการสื่อสารมาจากผู้ทรงภูมิปัญญาจากต่างดาว ซึ่งได้มีการมาเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือมนุษย์ ในเวลาที่เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่บนโลกใบนี้
การมาเตรียมการให้ความช่วยเหลือโลกมนุษย์ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งใหญ่ เป็นการเตรียมการมานับพันปี ระดมกันกันมาจากหลายดวงดาว เรียกว่า สหพันธ์แห่งดวงดาว
คือดวงดาวต่าง ๆ ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มสากล ซึ่งแต่ละดวงดาว มีความเชี่ยวชาญในงานแต่ละด้านแตกต่างกัน บางดาวเชี่ยวชาญในด้านของเทคโนโลยี บางดวงดาวเชี่ยวชาญด้านชีวภาพ พืชพรรณธัญญาหาร บางดาวเชี่ยวชาญด้านมิติ บางดาวเชี่ยวชาญด้านยกระดับจิต ด้านสมาธิจิต บางดาวเชี่ยวชาญด้านพลังงาน บางดาวเชี่ยวชาญด้านกายภาพ บางดาวเชี่ยวชาญด้านสร้างสภาวะแวดล้อมเช่นสร้างใยแก้วป้องกันรังสีนิวเคลียร์ บางดาวเชี่ยวชาญด้านทำลายรังสีตกค้าง เพื่อป้องกันสภาพแวดล้อมแล้วให้สามารถอาศัยอยู่ได้
ดังนั้น เมื่อมนุษย์ต่างดาว ผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้าน ได้มาร่วมโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้ แต่ละดวงดาว จึงได้มีการวางตัวผู้ที่จะเป็นตัวแทนของมนุษย์โลก ที่จะต้องทำหน้าที่ในด้านต่าง ๆ ร่วมกับมนุษย์ต่างดาวในดวงดาวนั้นไว้ก่อนแล้ว
บุคคลนั้น ๆ ก็จะได้รับการสื่อสาร ได้มีการสัมผัสกับสิ่งแปลก ๆ คืออุปกรณ์ต่าง ๆ พลังงานรูปแบบต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับสิ่งที่จะต้องทำงานร่วมกับเขานั้น
จึงจะเห็นได้ว่า มีมนุษย์โลกมากมาย หลายกลุ่ม หลายประเทศ ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ และมาจากดวงดาวที่มีชื่อเรียกต่าง ๆ มากมาย ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ
ชื่อดวงดาวแตกต่างกัน มีการสื่อสารมาแตกต่างกัน มีการรับรูปแบบของเทคโนโลยีแตกต่างกันไป
แม้ในประเทศไทยเอง ก็จะพบว่ามีแต่ละกลุ่มแต่ละดวงดาว ที่สื่อสารกับกลุ่มนั้น ๆ มีการบอกกล่าว มีการเตรียมการ มีการให้เทคโนโลยี หรืออุปกรณ์กับกลุ่มนั้น ๆ แตกต่างกันไปตามงานที่เขาต้องทำ
จึงไม่อาจทราบได้ว่า กลุ่มนั้น ๆ รับข้อมูลใดบ้าง ติดต่อกับดาวดวงใดบ้าง หรือเขามีหน้าที่เตรียมงานในส่วนใดบ้าง เพราะแต่ละที่ แต่ละกลุ่ม ก็ทำตามข้อมูลที่ได้รับมานั้น ๆ
ดังนั้น ในส่วนของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) เป็นกลุ่มที่ได้รับข้อมูลมาเพื่อการประสานงานกับกลุ่มต่าง ๆ การเตือนภัยพิบัติหากมีการส่งข้อมูลมาให้เตือนมนุษย์โลก การเตรียมอุปกรณ์ในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือ การยกระดับจิตของผู้ทำงานและผู้ที่ได้รับทราบในโครงการนี้
การเตือนเรื่องของภัยพิบัติ จึงต้องมีการเผยแพร่ข่าวสารออกสู่สาธารณะ ให้คนทั่วไปได้รับทราบ จึงต้องมีการจัดทำกิจกรรมขึ้น มีการแจ้งเพื่อทราบผ่านกิจกรรมนั้น ๆ มีการนำอุปกรณ์ไปทำการรักษาผู้ป่วย สแกนกรรม หรือดำเนินการเรื่องอื่น ๆ ก็เพื่อเป็นการเปิดเผยเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่มาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลก และให้รับรู้ถึงเทคโนโลยี ที่จะมีการนำมาช่วยเหลือได้จริงในวิกฤติที่จะเกิดขึ้นนั้น
อุปกรณ์เทคโนโลยีจากต่างดาว ผลิตหลายแบบ หลายชนิด และมีประสิทธิภาพเพื่อการใช้งานได้จริง ผลิตมามากมายเพื่อแจกให้มนุษย์โลกได้นำไปช่วยเหลือในยามวิกฤติ
มีตัวอย่างอุปกรณ์หลายชนิด ที่นำมาให้ทดลองใช้แล้ว ในผู้ฝึกรุ่นแรก ที่เขากะลา
ซึ่งในรุ่นถัดมา สิ่งเหล่านี้ ได้มีการนำมาให้ใช้ มาให้เห็น มาให้พบเจอ เพื่อเป็นการยืนยันว่า สิ่งที่เขากะลารุ่นแรกพบเจอนั้น มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และได้มีการนำอุปกรณ์นั้นมาให้รุ่นต่อไปได้รับทราบด้วยเช่นกัน
....................................................................................
เรื่องของมิติ เป็นเรื่องที่มีการพบเห็นมากในช่วงนี้
มีการพบเห็นมิติทับซ้อนกันมากมายในช่วงนี้ เข้าออกมิติเป็นว่าเล่น เห็นบุคคลจากต่างมิติอยู่บ่อย ๆ เห็นภพภูมิต่าง ๆ ที่อยู่คนละมิติกับท่าน ซึ่งอาจเป็นงานที่รับมาเพื่อทำหน้าที่นำพาบุคคลอื่น ๆ ไปยังมิติต่าง ๆ ที่ปลอดภัยในช่วงวิกฤติก็เป็นได้
เรื่องมิติ มีการทำให้เห็นอย่างต่อเนื่อง มากมาย แม้รถหายทั้งคัน ยังช่วยกันเดินหา เดินผ่านรถไปมา ก็ไม่เจอ จนจะแจ้งความรถหาย รถก็โผล่มาให้เห็นตรงจุดเดิมนั่นเอง
ซึ่งระบบบอกว่า อยู่คนละมิติ จึงรู้ว่า เรื่องของมิติ มีการเปิดให้เห็นได้ ให้เข้า-ออกได้ ซึ่งอาจจำเป็นใช้ในช่วงวิกฤติ(เคยพบเจอมาแล้วด้วยตนเอง และผู้ฝึกหลายท่านในช่วงฝึกใช้อุปกรณ์)
หรือการย้ายมวลสาร คือการสลายมวลสารจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง เรื่องนี้ระบบทำให้เห็นหลายครั้ง ย้ายทั้งวัตถุ ทั้งเงิน ทั้งแหวน ทั้งสิ่งของ ทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ไปไว้อีกที่หนึ่ง ทำบ่อย ๆ เป็นประจำ ซึ่งอาจมีการนำมาใช้ในช่วงวิกฤติ การที่จะเดินทางไปยังจุดต่าง ๆ การที่จะให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ อาจถูกสลายมวลสารแล้วส่งไปยังจุดนั้น ๆ ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกใด ๆ (อุปกรณ์นี้ได้พบเจอด้วยตนเองและผู้ฝึกอื่น)
มองทะลุกำแพง คืออยู่นอกห้อง มองเข้าไปในห้องเห็นผู้ที่อยู่ในห้องว่ากำลังทำอะไร มองด้วยตาเนื้อทะลุผ่านกำแพงปูนอย่างหนาได้ พอเปิดประตูเข้าไป คนอยู่ในห้องก็กำลังทำสิ่งที่มองเห็นอยู่ ระบบทำให้ผู้ฝึกเห็นอุปกรณ์ที่มองผ่านทะลุวัตถุได้ โดยทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง (มีตัวอย่างแล้ว)
และอีกท่าน อยู่ตึกชั้น 3 ใน 5 ชั้น นอนหงายบนเตียงในตอนกลางคืน มองทะลุเพดานห้องเห็นดาวเต็มท้องฟ้า เห็นพระจันทร์ จึงตกใจว่าทำไมจึงมองเห็นได้ มองทะลุเพดานชั้น 4 ชั้น 5 ขึ้นไป พอออกมาดูที่ระเบียงก็เห็นดาว และพระจันทร์อย่างที่มองเห็นในห้องเหมือนกัน(มีตัวอย่างแล้ว)
การรักษาพยาบาล ก็มีตัวอย่างให้เห็นแล้วด้วยอุปกรณ์การแพทย์ ในรุ่นแรกก็มีให้เห็นแต่ไม่ค่อยเด่นชัดนัก เพราะส่วนใหญ่จะรักษาตัวเองมากกว่า เลยไม่ค่อยเห็นได้ชัดเหมือนรุ่น 2 นี้(มีตัวอย่างแล้ว)
บางท่านมีไฟฟ้าพลังงานมากมายในร่างกาย ท่านอาจจะเป็นผู้ที่ได้รับการสื่อสารให้ทำงานร่วมกับพลังงานในรูปแบบใหม่ที่สามารถพบได้ หาได้ อยู่ได้ ใช้ได้ โดยไม่ต้องใช้พลังงานแบบเดิม
บางครั้งเหมือนล่องลอย เหมือนเหาะเหิน เหมือนฝัน เหมือนจริงสลับกันไป ท่านอาจมาทำงานแบบไม่ต้องใช้กายเนื้อ ทำงานด้วยกายใน อาจสะดวกกับงานของท่านก็เป็นได้(มีตัวอย่างแล้ว)
ซึ่งกรณีนี้ พี่สุดใจเคยเจออุปกรณ์มาแล้ว พอลืมตาจะหยุด พอหลับตา ก็จะเคลื่อนที่ผ่านสถานที่ต่าง ๆ เหมือนเรายืนอยู่บนลากเลื่อน แล้วลอยไปเรื่อย ๆ ตอนแรกจะเป็นช่องกำแพงแคบ ๆ แล้วเราเลื่อนผ่านไป พอออกจากกำแพง ก็จะผ่านแม่น้ำ ผ่านถนนที่มีบ้านสองฟากข้าง ผ่านบ้านเรือนแปลก ๆ ที่ไม่เคยเห็น บ้านใหญ่ ๆ มากมาย แต่ไม่พบคนพักอาศัย เห็นแต่ถนน อาคารบ้านเรือน แต่ไม่ใช่ประเทศไทย ไปหลายสถานที่ ฝึกใช้อุปกรณ์นี้ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ แล้วอาการเหล่านี้ก็หายไป
หรือบางครั้งการที่นอนหลับ กายเนื้อนอนหลับไปแล้ว แต่สติภายในยังตื่นอยู่ ยังนอนดูกายเนื้อที่นอนหลับอยู่ เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ บางคนอาจเคยออกจากขันธ์ 5 ไปข้างนอกได้ ไปพบเจอเรื่องต่าง ๆ ได้ แล้วกลับมา แต่บางคนยังออกไปจากขันธ์ 5 ไม่ได้ จึงนอนดูขันธ์หลับ เรียกว่าอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้ติดกัน ซึ่งกรณีนี้ พี่สุดใจเป็นอยู่ ตั้งแต่ในช่วงฝึกเมื่อ 10 ปีก่อนบ่อยมาก และหลังฝึกเสร็จ หายไปช่วงหนึ่ง และตอนนี้ก็ยังคงเป็นอยู่ในบางครั้ง ซึ่งนั่นหมายความว่า งานข้างหน้าที่ต้องทำอาจไม่พร้อมที่จะพากายหยาบไปด้วย
บางท่านกายเนื้อนอนหลับ แต่ผู้ดูมีสติเห็นการนอนหลับนั้น แล้วเมื่อถึงเวลาจะลุกออกไปนอกห้อง ลุกขึ้นมาแล้วเปิดประตู เปิดไม่ได้ หันไปอ้าวยังนอนอยู่บนเตียง กลับไปนอนใหม่ แล้วลุกไปเปิดประตู เปิดไม่ได้ กายเนื้อยังไม่ลุกขึ้น ลงไปนอนใหม่ ครั้งที่ 3 จึงลุกมาพร้อมกันแล้วเปิดประตูออกมาได้ (มีตัวอย่างแล้ว)
บางครั้งมีการเห็นภาพผ่านจอคล้ายจอทีวี ซึ่งเป็นกรอบสี่เหลี่ยมอยู่ด้านหน้าตนเอง ซึ่งในช่วงฝึกเรียนรู้อุปกรณ์ จะมีการติดตั้งอุปกรณ์นี้ให้ผู้ฝึก 2 ได้ทดลองใช้ เรียกว่า มีการฉายภาพให้ชมตลอดเวลา แต่ตอนนั้น ฉายเป็นภาพยนต์ฝรั่งจอหนึ่ง ภาพยนต์จีนจอหนึ่ง ผู้ฝึกก็ไม่ได้เห็นความวิเศษแต่อย่างใด แต่ต้องปล่อยวาง หากเกิดรำคาญจอด้านหน้าที่ส่งแต่ภาพมาเรื่อย ก็ต้องฝึกสติแยกออกมาจากอารมณ์เหล่านั้น เรียกว่ามีสติเห็นอุปกรณ์กำลังทำงานนั่นเอง
ในตอนนี้ อุปกรณ์นี้มีการติดตั้งให้เขากะลารุ่น 2 ได้ทดลองใช้แล้วหลายท่าน และนำไปทำกิจกรรม โดยเห็นภาพผ่านจอ และพัฒนาอุปกรณ์ไปเรื่อย ๆ ตามการปล่อยวาง
อุปกรณ์แปลภาษา มีการติดตั้งอุปกรณ์แปลภาษา จากผู้ฝึกที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ พอให้ประมวลพลังรับคลื่นจากต่างดาว บุคคลนี้พูดภาษาอังกฤษตลอด 1 ชั่วโมง พูดคุย หัวเราะ ร้องเพลงด้วยภาษาอังกฤษทั้งหมด และเป็นภาษาอังกฤษที่เป็นคนต่างชาติพูด เหมือนดูสารคดีดิสคอปเวอรี่ ที่ไม่ได้แปลไทย คือสำเนียงการพูดเหมือนคนชาตินั้นพูดเอง เป็นอุปกรณ์ที่อาจต้องสื่อสารกับชาวตะวันตก หากติดตั้งกับท่านใด ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดกับต่างชาติไม่ได้ เพราะอุปกรณ์มีหลายภาษา(อุปกรณ์นี้เคยเห็นมาแล้วช่วงฝึก)
มองเห็นจากทางด้านหลัง มองเห็นได้แม้ไม่ได้หันหน้าไปดู (มีตัวอย่างแล้ว)
เดินอยู่บนพื้นในบ้าน มีความรู้สึกว่าตัวเบา ๆ ไม่มีน้ำหนัก เลยก้มมองเท้า ปรากฏว่าเท้าไม่ติดพื้น ลอยขึ้นมาประมาณ 1 คืบ จึงตกใจรีบหาที่เกาะเพราะกลัวล้ม (มีตัวอย่างมาแล้ว)
จะเดินไปด้านหน้า แต่ถอยหลัง ยิ่งก้าวเท่าไร แต่มีแรงดึงมหาศาลให้ถอยกลับไปด้านหลัง แม้ว่าจะมีคนช่วยกันดึง 2 - 3 คน ดึงมือให้มาข้างหน้า แต่สู้แรงที่ดึงอยู่ให้ถอยไปด้านหลังไม่ได้ จึงต้องปล่อยให้ถอยเลื่อนถอยหลัง เลื่อนถอยได้โดยไม่ได้ก้าวขา นั่นคือมีพลังงานมหาศาลที่เคลื่อนย้ายวัตถุได้เอง (มีตัวอย่างแล้วพี่สุดใจเอง)
อากาศร้อน แต่กลับหนาวมากเหมือนอยู่เมืองนอก ต้องใช้ผ้าห่มคลุมหลายผืนก็ไม่หาย หนาวมาจากด้านใน เหมือนนอนอยู่ในหิมะ (มีตัวอย่างแล้ว)
บางท่านไปต่างประเทศ เจออากาศหนาว เพราะอยู่เมืองนอก หิมะตก แต่กลับร้อนมากจากภายใน เพราะฝันว่ามนุษย์ต่างดาวให้กินขนมรูปสามเหลี่ยมในตอนกลางคืน พอเช้าขึ้นมา รู้สึกร้อนข้างใน จึงต้องถอดเสื้อโค๊ตพาดแขน เหลือแต่เสื้อแขนสั้น เดินอยู่ท่ามกลางหิมะ คนมองกันอย่างแปลกใจ แม้แต่ฝรั่งยังงง (มีตัวอย่างแล้ว)
อาจจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์นี้ไปทำงานยังภูมิอากาศที่แตกต่างกันไป เพื่อผู้ทำงานจะได้ทำงานได้โดยอากาศร้อนหนาว ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด
รู้ความคิดคนอื่น ความคิดของคนนั้น ถูกส่งมาก่อนแล้ว ก่อนที่จะเดินเข้ามาพูดให้ฟัง หรือพูดอย่างหนึ่ง แต่ด้านในคิดอีกอย่าง ก็รู้ (มีตัวอย่างแล้ว)
ได้ยินเสียงคนพูดถึงเขา แต่กลุ่มผู้พูดอยู่อีกตึกหนึ่ง แต่พูดแล้วได้ยินมาถึง จึงนำสิ่งที่เขากำลังพูดถึงไปให้ เขาก็ตกใจทำไมรู้ (มีตัวอย่างแล้ว)
มีตัวอย่างอีกมากมาย ที่ได้เคยพบ ได้เคยเห็น ได้เคยมีพยานพบเจอและทดสอบ ทดลองใช้อุปกรณ์เหล่านี้มาก่อนแล้ว
................................................................................
สิ่งเหล่านี้ หากเป็นการฝึกสมาธิ หรือปฏิบัติทางธรรม อาจจะเรียกอภิญญา หรือความสามารถพิเศษ หรือแนวอิทธิปฏิหาริย์
นั่นเป็นเรื่องธรรมดา ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ที่ผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ฝึกสมาธิ ก็ย่อมมีได้ เห็นได้ เป็นได้ ตามกลไกของธรรมชาติ
แต่สิ่งนี้ ผู้ที่ปฏิบัติจนสามารถมีอภิญญาได้ เห็นได้ สัมผัสได้ นั่นต้องใช้เวลานานมาก กว่าที่จะมีการรู้ การเห็น การสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ได้สักท่านหนึ่ง
เรียกว่า .... ไม่ทันเวลา เพราะกว่าที่จะฝึก จะให้มีสมาธิแน่วแน่ จนเกิดมีอภิญญา มีความสามารถพิเศษจากการฝึกจิต ฝึกสมาธิแบบนี้ นั้น มันต้องใช้เวลามาก
แล้วภัยพิบัติ มันรอไม่ได้ จึงต้องมีการใช้อุปกรณ์ให้ทำงานแทน อุปกรณ์ที่เป็นเทคโนโลยี ที่มีประสิทธิภาพมาก และใช้งานได้จริง
โดยผู้ใช้งานนั้น ก็เพียงทำความเข้าใจให้ตรง เรียกว่ามาเรียนรู้ ทำความเข้าใจ แล้วฝึกการใช้เล็กน้อย ก็ทำงานได้แล้ว ไม่ยาก
เหมือนจะเดินทางไปเชียงใหม่ทั้งครอบครัว ถ้าเดินไป 1 เดือนจึงจะถึง เรียกว่าไปด้วยตนเอง
แต่ถ้าให้ยืมอุปกรณ์ คือให้ยืมรถยนต์เพื่อเดินทาง รถยนต์คืออุปกรณ์ คือเทคโนโลยี สามารถพาไปได้จริง ถึงในวันเดียว
ถ้าคน ๆ นี้ขับรถเป็น คือสามารถขับรถได้ ก็นำรถยนต์ หรืออุปกรณ์ไปใช้ได้เลย คือไปถึงเชียงใหม่ได้เลยทั้งครอบครัว คือพาผู้อื่นไปด้วยได้นั่นเอง
รถยนต์คืออุปกรณ์ การขับเป็น คือการปล่อยวาง ฝึกปล่อยวางให้เป็น ก็คือฝึกขับรถยนต์ให้เป็นนั่นเอง
ส่วนตัวอุปกรณ์ หรือตัวรถยนต์ ไม่ต้องไปผลิตเอง เพราะผู้ผลิตคือโรงงานรถยนต์ เขาทำหน้าที่ผลิตมาให้ ผู้ให้ยืมคือเพื่อนของคนคนนี้ คนขับ ก็คือผู้ใช้งานคือต้องขับเป็นด้วยนั่นเอง
หากขับไม่เป็น รถก็จอดตรงหน้าแต่ไม่มีปัญญานำไป หากปล่อยวางไม่ได้ อุปกรณ์ที่นำไปให้ใช้ ช่วยคนอื่นได้ แต่ให้โทษกับตนเอง คือยึดมั่นถือมั่นมากกว่าเดิม
ดังนั้น การเตรียมแจกอุปกรณ์ เพื่อนำมาให้ใช้ จึงไม่ได้เป็นเรื่องยากของมนุษย์ต่างดาว
แต่สิ่งที่ยากก็คือ อาจต้องมีการทำความเข้าใจให้ตรงกับกลไกธรรมชาติ คือการปล่อยวาง ละอัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ไปพร้อมกันด้วย
เพราะไม่อย่างนั้น จะไปยึดเอาอุปกรณ์นั้นว่าเป็นฉันทำเอง ฉันเก่ง ฉันแน่ ฉันดี
นี่คือโทษทางธรรม เพราะฉันเดิมที่ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร ก็ยึดไว้แน่นอยู่แล้ว พอมีฤทธิ์เดช มีของวิเศษเพิ่มเข้าไป ฉันตัวนี้จะใหญ่ขึ้นมา อัตตาตัวตนจะมากมาย แล้วก็จะยึดไว้อย่างเหนียวแน่น
ยึดมากกว่าเดิม ตัวตนมากกว่าเดิม นี่คือสวนทางกับการปล่อยวาง ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5
แล้วจะได้ประโยชน์อะไร เพราะยิ่งทำไป ตัวตนก็จะยิ่งใหญ่มากกว่าเดิม
คนที่มีฤทธิ์เดชอยู่อีกมากมาย บนโลกใบนี้ เขาก็ยังคงดำเนินตามแนวทางของเขาเหล่านั้น ตามการยึดมั่นถือมั่นในฤทธิ์เดชนั้น ๆ
บุคคลนั้น ๆ .... จึงอาจมิได้เกี่ยวกันกับงานของระบบ
เพราะระบบ มาวางโครงข่ายเพื่อยังประโยชน์ตนแก่ผู้ทำงาน และให้ประโยชน์ท่าน คือผู้ที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือ
แม้บุคคลที่ระบบวางไว้ เขาอาจจะไม่เคยรู้จักเขากะลา ไม่เคยเข้าใจเรื่องระบบ แต่มีการรับข้อมูลมาโดยตรงจากจักรวาลนั้น ก็จะเป็นแนวเดียวกัน คือทำเพื่อให้ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น และปล่อยวางไปพร้อม ๆ กัน นั่นคือผู้ที่สื่อสารลงมากับบุคคลนั้น ๆ โดยตรง ก็จะสอน และให้ประโยชน์ตนพร้อม ๆ กันไปด้วย
ระบบต่างดาวที่เขากะลา จึงจะย้ำเสมอว่า นี่เป็นอุปกรณ์ เป็นเทคโนโลยีจากต่างดาว ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ หรือสิ่งวิเศษใด ๆ อย่าได้ยึดติด รู้ เข้าใจ แล้วปล่อยวาง เขานำมาเพื่อเป็นอุปกรณ์เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ผู้กำลังเดือดร้อนในวิกฤติข้างหน้า อย่ายึดติด
เพราะนี่คือโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติโลก โดยสมาชิกกลุ่มสากลจากหลายดวงดาว ไม่ใช่มาทำเล่น ๆ ไม่ใช่นำจานบินมาให้เห็น โฉบไปโฉบมา เพื่อให้ดูเล่นเพลิน ๆ
ให้ตระหนักให้ดีว่า ท่านมีความสำคัญแค่ไหน สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ จึงมาหาท่าน มาให้เห็น มายืนยัน
คนมีเงินร้อยล้านพันล้าน ยังไปจ้างจานบินมาบินให้ดูไม่ได้เลย
แต่ท่านได้รับโอกาส ...ได้รับความไว้วางใจ ได้รับสิทธิพิเศษในการได้เห็นจานบิน ได้รับอุปกรณ์ ได้มีโอกาสช่วยเหลือคนอื่น ๆ อีกมากมาย
แล้วประโยชน์ตนก็ได้ คือเข้าใจกลไกของขันธ์ 5 ละอัตตาตัวตน ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ได้ในระดับที่เบาบางจากทุกข์ มีการยกระดับจิตให้เข้าสู่กลไกธรรมชาติ เอื้อต่อการออกจากอุปาทานขันธ์ 5 นั่นเอง
ดังนั้น แนวทางการปฏิบัติเพื่อการปล่อยวาง การละการยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ 5 จึงเป็นแนวทางหลัก ของการทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา ..... ในโครงการนี้
....................................................................
สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวเน้นก็เพื่อให้เกิดประโยชน์ตนอย่างยิ่ง แก่ผู้ทำงานนั้น ๆ ก็เพราะนี่คือโอกาส ที่จะปล่อยวาง ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 โดยเห็นตามความเป็นจริงได้
เพราะมีโอกาสได้รับรู้ถึงกฏธรรมชาติ ที่เป็นกฏเดียวกันกับที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ แล้วนำมาอธิบายให้เข้าใจโดยละเอียด
ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เป็นประโยชน์ตน ที่มนุษย์พึงกระทำให้ถึงได้ ในช่วงชีวิตที่มีเวลาอันน้อยนิดนี้
มนุษย์ต่างดาวจากดาวพลูโต ที่มาฝึกให้ปล่อยวาง ละการยึดมั่นถือมั่นในความเห็นว่าเป็นตัวตน เห็นตนมีขันธ์ อุปาทานว่าขันธ์ 5 นี้เป็นตัวเราของเรา และมาอธิบาย ขยายความ ให้มีเข้าใจกลไกของธรรมชาตินั้น
ท่านมาจากดวงดาวที่มีอายุยืนหลายหมื่นปี หลายหมื่นปี .... ขอย้ำ
ดังนั้น เห็นมนุษย์โลก ที่มีอายุแค่ 70 -80 ปี นิดเดียวแค่นี้ นิดเดียวในสายตาของเขา นับไม่ได้ว่าเป็นเศษเสี้ยวเท่าไรของเขา ยังมีแต่ความหลง ความยึดติดในชีวิตอันคิดว่าเป็นของตน มีความแก่งแย่งชิงดีกัน ทำลายล้างซึ่งกันและกัน
ชีวิตนิดเดียว เวลานิดเดียว กลับคิดว่ายิ่งใหญ่ ฉันแน่ ฉันเก่ง ฉันดี ใช้เวลาที่มีอันน้อยนิดไปสร้างสมกรรม วิบากกรรมมากมาย แล้วก็ตายไปใช้กรรม ในระยะเวลาอันยาวนานในภพภูมิต่าง ๆ มากมาย มากกว่าเวลาในโลกมนุษย์หลายเท่านัก
แล้วยังไม่ตระหนักเลยว่า เวลาที่เหลือนี้....ยิ่งน้อยใหญ่ กับภัยธรรมชาติที่กำลังจะมาถึง
แต่สิ่งเหล่านี้ แม้ผู้ที่มาช่วยเหลือแม้รู้ แม้เห็น บางครั้งก็ไม่อาจช่วยได้ เพราะไม่อาจแทรกแซงในเรื่องของกรรม เรื่องของกฏแห่งกรรมได้
จึงต้องช่วยเหลือได้เพียงในบางส่วนของบุคคลที่มีวิบากที่เป็นกุศล พร้อมได้รับการช่วยเหลือเท่านั้น
เพราะทุกสิ่งเกิดขึ้นจากแรงกรรม จากวิบากกรรมของแต่ละคน แต่ละท่าน ที่ต้องเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ
เพราะไม่มีใครใหญ่เกินกรรม ทุกคนมีกรรมเป็นตัวกำหนดกันทั้งนั้น
ผู้ที่ไม่เชื่อ ไม่สนใจ ไม่ปฏิบัติ แม้จะรู้จะเข้าใจ แต่ก็มีบางสิ่งมาปิดบังให้มีความเห็นที่แตกต่างออกไป จึงต้องมีคนมากมายที่หายไปกับอุบัติภัยเหล่านี้
นั่นคือ เขาก็ต้องมีกรรมเป็นแรงส่ง ให้ไปยังที่นั้น ๆ ต้องพบกับภัยพิบัตินั้น ๆ
ดังนั้น เวลาที่ยังมีอยู่นี้ เรียกว่าเป็นเวลาทองของการปฏิบัติ เพราะยังมีเวลา ยังมีความสงบอยู่บ้าง ยังไม่โกลาหลวุ่ยวายมากมายนัก
จึงต้องเร่งปฏิบัติ ทำความเข้าใจ และปล่อยวางให้ได้ในระดับหนึ่ง มีสติเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติ การเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การแปรปรวนไป ของธาตุทางธรรมชาติ
เพราะเมื่อเผชิญสิ่งเหล่านั้นแล้ว จะไม่มีเวลาสงบ จะต้องอยู่กับความวุ่นวาย แล้วต้องมีความเข้าใจในกลไกของขันธ์ 5 อย่างเพียงพอ จึงจะเอาตัวรอดจากทุกข์ได้
จะมีความสงบได้ ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น
ดังนั้น รูปแบบการฝึกของกลุ่มนี้ ก็คือ ฝึกให้มีสติ เห็นความเป็นจริงของขันธ์ 5 ที่ต้องปรุงแต่งมากมาย เมื่อเจอกับความวุ่นวายเหล่านั้น
จะไปห้ามไม่ให้ขันธ์ปรุงแต่งไม่ได้ เพราะสัญญา การบันทึกมาของขันธ์ห้ามันเป็นอย่างนั้น ความกลัว ความห่วง ความกังวล ย่อมเกิดขึ้นมากมาย แต่มีสติเห็นได้ โดยไม่ไปยึดถือกับมัน
เรียกว่า อยู่เหนือการปรุงแต่งของขันธ์ มีสติรู้เท่าทัน แล้วทำตามกลไกธรรมชาติของขันธ์
เมื่อเห็นขันธ์ทำงาน เห็นการวุ่นวาย เห็นความทุรนทุรายของบุคคลรอบข้าง
จะเกิดความเข้าใจ ปล่อยให้กลไกของขันธ์ทำงานไปตามความเหมาะสม แล้วดูการทำงานเหล่านั้นด้วยความสงบ เพราะขันธ์ 5 จะรู้ จะเข้าใจ จะทำงานของมันได้ แม้ไม่มีใครเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์นั้นก็ตาม
เหมือนผู้หลุดพ้นจากอวิชชา จากอุปาทานขันธ์ไปแล้ว ท่านอยู่เหนือสุข เหนือทุกข์แล้ว เหนือโลกธรรม 8 แล้ว ท่านก็ยังใช้ขันธ์ 5 ไปช่วยคนอีกมากมาย เดินทางไกลเพื่อไปเผยแพร่ธรรม ให้รู้ถึงธรรม
ขันธ์ 5 ของท่าน ก็ยังคงทำงานได้ แต่ท่านไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์แล้วเท่านั้นเอง เพราะท่านพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ไปแล้ว
ขันธ์ก็ยังทำงานได้ ยังเผยแพร่ธรรมได้ ยังเดินทางไปไหน ๆ ด้วยการให้ธรรมเป็นทาน ซึ่งเป็นการช่วยให้คนเห็นธรรมนั่นเอง
เพราะการไปสุข ไปทุกข์ กับขันธ์ ก็คือการเข้าไปยึดถือเอาเอง ไปรับผิดชอบการปรุงแต่งนั้น ๆ เอาเอง ไปอุปาทานเอาเอง ด้วยความไม่รู้
แม้ไม่เข้าไปยึดถือ ไม่เข้าไปรับผิดชอบว่าเป็นเรา ขันธ์เขาก็ทำงานได้ อาจดีมากกว่ามีใครไปคอยยึดเกาะด้วยซ้ำ
ดังนั้น .... จะสงบ ท่ามกลางความวุ่นวายได้ ก็ต่อเมื่อเข้าใจขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง
....................................................................
ความสำเร็จของมนุษย์ต่างดาวในการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลกผ่านทางประเทศไทย
ข้อความนี้ กล่าวโดยมนุษย์ต่างดาวที่ได้มาทำการฝึกกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย เพื่อที่จะเป็นผู้รับการสื่อสาร และรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งความจริงโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติ ได้มีการจัดวางกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ไว้ในหลายประเทศทั่วโลก และทำการติดต่อสื่อสารลงมายังจุดต่าง ๆ ที่ได้วางไว้ ได้ทำการทดสอบทดลองในประเทศต่าง ๆ ในระดับต่าง ๆ
แต่ก็พบว่า แต่ละประเทศ แต่ละกลุ่ม มีความเข้าใจได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
สำหรับประเทศไทย ได้ทำติดต่อสื่อสารกับกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง ตั้งแต่ปลายปี 2540 ได้ทำการสื่อสารทางโทรจิตกับบุคคลที่มีสมาธิจิตก่อนในช่วงแรก
และจากนั้นก็ได้มีการนำวัตถุที่เป็นยานอวกาศมาให้เห็น มาให้ชม เพื่อเป็นการยืนยันในข้อมูลที่ได้รับการสื่อสารมาว่า
-มนุษย์ต่างดาวมีการสื่อสารมาจริง
-มนุษย์ต่างดาวมาโลกมนุษย์นี้จริง
-และมายังประเทศไทยแล้วจริง ๆ
การฝึกกลุ่มบุคคลกลุ่มนี้ ที่เรียกว่ากลุ่มเขากะลาขึ้นมา ก็เพื่อรับการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาวอย่างมีประสิทธิภาพ
และเป็นผู้ที่จะเป็นตัวแทนรับการช่วยเหลือ จากมนุษย์ต่างดาว ส่งต่อไปยังมนุษย์โลกที่กำลังประสบกับภัยพิบัติอยู่นั้น
กลุ่มเขากะลาในขณะนั้น จึงเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับการฝึกกับมนุษย์ต่างดาว ในปี 2542
ซึ่งมนุษย์ต่างดาว เป็นผู้มาทำการฝึกการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว โดยฝึกอย่างเปิดเผย เป็นกลุ่มใหญ่
จึงเป็นที่เดียวในโลกที่มนุษย์ต่างดาวมาฝึก มาให้เครื่องมือการสื่อสาร มาให้อุปกรณ์เพื่อการช่วยเหลือ และมาแจ้งข้อมูลให้ทราบโดยเปิดเผย
และมีการมาตั้ง..... กองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว... ที่เขากะลาขึ้น
เพื่อเป็นประตูมิติเดินทางเข้าออกของยานอวกาศจากหลาย ๆ ดวงดาว ดังนั้นการเห็นจานบินมากมายที่เขากะลา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใด ๆ
และกลุ่มบุคคลที่เมื่อฝึกแล้ว สามารถเข้าใจได้ในระดับลึก .... จนมนุษย์ต่างดาวให้การรับรอง ให้ทำงานเป็นตัวแทนของมนุษย์ต่างดาวได้
เพราะมนุษย์ต่างดาวประสบความสำเร็จแล้วในการสื่อสารกับมนุษย์โลก โดยประสบความสำเร็จในการติตต่อสื่อสารอย่างสมบูรณ์... ที่ ..ประเทศไทย..
รูปแบบการฝึกที่มนุษย์ต่างดาวใช้ฝึกนั้น เน้นในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นหลัก ต้องมีการฝึกธรรมะในขั้นปล่อยวางตัวตนของตนเสียก่อนในขั้นต้น
และเรียนรู้เรื่องการรับข้อมูลจากคลื่นต่างดาว เรียกว่า การฝึกแบบ “ประมวลพลัง” ควบคู่กันไปด้วย
การประมวลพลัง คือการเรียนรู้เรื่องคลื่นพลังงาน ที่มีหลากหลายรูปแบบ แล้วแต่งานของแต่ละบุคคล คลื่นเพื่อการสื่อสารเป็นข้อความ คลื่นเพื่อการรักษา คลื่นเพื่อการสลายมวลสาร หรือคลื่นอื่น ๆ ตามลักษณะงานของแต่ละบุคคล
และเป็นที่น่ายินดีที่มนุษย์ต่างดาวได้ประกาศความสำเร็จในการฝึกกลุ่มบุคคลเพื่อทำการสื่อสารด้วยนั้น มาจาก ..ประเทศไทย...
ดังนั้นประเทศไทย จึงเป็นประเทศที่มนุษย์ต่างดาวเลือกใช้เป็นฐานปฏิบัติการ ในการช่วยเหลือโลกใบนี้ในยามที่เกิดวิกฤติจากภัยพิบัติทั่วโลก
โดยการช่วยเหลือจะออกจากประเทศไทย....ไปยังทั่วโลก
ข้อความนี้ กล่าวโดยมนุษย์ต่างดาวที่ได้มาทำการฝึกกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย เพื่อที่จะเป็นผู้รับการสื่อสาร และรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งความจริงโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติ ได้มีการจัดวางกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ไว้ในหลายประเทศทั่วโลก และทำการติดต่อสื่อสารลงมายังจุดต่าง ๆ ที่ได้วางไว้ ได้ทำการทดสอบทดลองในประเทศต่าง ๆ ในระดับต่าง ๆ
แต่ก็พบว่า แต่ละประเทศ แต่ละกลุ่ม มีความเข้าใจได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
สำหรับประเทศไทย ได้ทำติดต่อสื่อสารกับกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง ตั้งแต่ปลายปี 2540 ได้ทำการสื่อสารทางโทรจิตกับบุคคลที่มีสมาธิจิตก่อนในช่วงแรก
และจากนั้นก็ได้มีการนำวัตถุที่เป็นยานอวกาศมาให้เห็น มาให้ชม เพื่อเป็นการยืนยันในข้อมูลที่ได้รับการสื่อสารมาว่า
-มนุษย์ต่างดาวมีการสื่อสารมาจริง
-มนุษย์ต่างดาวมาโลกมนุษย์นี้จริง
-และมายังประเทศไทยแล้วจริง ๆ
การฝึกกลุ่มบุคคลกลุ่มนี้ ที่เรียกว่ากลุ่มเขากะลาขึ้นมา ก็เพื่อรับการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาวอย่างมีประสิทธิภาพ
และเป็นผู้ที่จะเป็นตัวแทนรับการช่วยเหลือ จากมนุษย์ต่างดาว ส่งต่อไปยังมนุษย์โลกที่กำลังประสบกับภัยพิบัติอยู่นั้น
กลุ่มเขากะลาในขณะนั้น จึงเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับการฝึกกับมนุษย์ต่างดาว ในปี 2542
ซึ่งมนุษย์ต่างดาว เป็นผู้มาทำการฝึกการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว โดยฝึกอย่างเปิดเผย เป็นกลุ่มใหญ่
จึงเป็นที่เดียวในโลกที่มนุษย์ต่างดาวมาฝึก มาให้เครื่องมือการสื่อสาร มาให้อุปกรณ์เพื่อการช่วยเหลือ และมาแจ้งข้อมูลให้ทราบโดยเปิดเผย
และมีการมาตั้ง..... กองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว... ที่เขากะลาขึ้น
เพื่อเป็นประตูมิติเดินทางเข้าออกของยานอวกาศจากหลาย ๆ ดวงดาว ดังนั้นการเห็นจานบินมากมายที่เขากะลา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใด ๆ
และกลุ่มบุคคลที่เมื่อฝึกแล้ว สามารถเข้าใจได้ในระดับลึก .... จนมนุษย์ต่างดาวให้การรับรอง ให้ทำงานเป็นตัวแทนของมนุษย์ต่างดาวได้
เพราะมนุษย์ต่างดาวประสบความสำเร็จแล้วในการสื่อสารกับมนุษย์โลก โดยประสบความสำเร็จในการติตต่อสื่อสารอย่างสมบูรณ์... ที่ ..ประเทศไทย..
รูปแบบการฝึกที่มนุษย์ต่างดาวใช้ฝึกนั้น เน้นในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นหลัก ต้องมีการฝึกธรรมะในขั้นปล่อยวางตัวตนของตนเสียก่อนในขั้นต้น
และเรียนรู้เรื่องการรับข้อมูลจากคลื่นต่างดาว เรียกว่า การฝึกแบบ “ประมวลพลัง” ควบคู่กันไปด้วย
การประมวลพลัง คือการเรียนรู้เรื่องคลื่นพลังงาน ที่มีหลากหลายรูปแบบ แล้วแต่งานของแต่ละบุคคล คลื่นเพื่อการสื่อสารเป็นข้อความ คลื่นเพื่อการรักษา คลื่นเพื่อการสลายมวลสาร หรือคลื่นอื่น ๆ ตามลักษณะงานของแต่ละบุคคล
และเป็นที่น่ายินดีที่มนุษย์ต่างดาวได้ประกาศความสำเร็จในการฝึกกลุ่มบุคคลเพื่อทำการสื่อสารด้วยนั้น มาจาก ..ประเทศไทย...
ดังนั้นประเทศไทย จึงเป็นประเทศที่มนุษย์ต่างดาวเลือกใช้เป็นฐานปฏิบัติการ ในการช่วยเหลือโลกใบนี้ในยามที่เกิดวิกฤติจากภัยพิบัติทั่วโลก
โดยการช่วยเหลือจะออกจากประเทศไทย....ไปยังทั่วโลก
......................................................
ในช่วงที่ฝึก
มนุษย์ต่างดาวจึงกล่าวซ้ำในหลาย ๆ ครั้งว่า
.....งานของพวกท่านไม่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์แค่ในประเทศไทย
...แต่ต้องช่วยเพื่อนมนุษย์ชาติอื่น ๆ ด้วยทั่วโลก
ดังนั้น การที่ประเทศไทยเป็นฐานของการช่วยเหลือทั่วโลก จึงต้องจัดหาบุคคลจำนวนมากมาเรียนรู้ มาทำความเข้าใจในทฤษฏีระบบ มารับรู้จุดมุ่งหมายในการช่วยเหลือยามเกิดภัยพิบัติ และมีการมารับการติดตั้งอุปกรณ์ ซึ่งเป็นคลื่นพลังงานรูปแบบหนึ่ง เพื่อใช้ในการทำงานในวันข้างหน้า
ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ก็ต้องมีผู้ทำงานในหลายหน้าที่ มีทั้งหมอ ทั้งพยาบาล ทั้งหน่วยกู้ภัย ทั้งหน่วยบรรเทาทุกข์ ทั้งหน่วยเสบียง หรือหน่วยบริการด้านที่อยู่อาศัย
บุคคลที่ต้องทำงานด้านต่าง ๆ เหล่านี้ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ ต้องมีเครื่องมือ ต้องมีศักยภาพในตนเอง
ถ้าเป็นหมอ ก็ต้องรักษาได้โดยไม่ต้องใช้ยา ไม่ต้องใช้ห้องผ่าตัด แต่จะใช้คลื่นพลังงานในการรักษาแทน เจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ก็สามารถรักษาด้วยคลื่นพลังงานได้โดยไม่ต้องใช้ยา
ซึ่งขณะนี้ มีการทดลองนำมาใช้ โดยรุ่นใหม่เขากะลารุ่น 2 ที่มีความเข้าใจกลไกของระบบ ได้มีการทดลองนำมาใช้แล้วในบางส่วน เรียกกลุ่มผู้ทดลองใช้อุปกรณ์การแพทย์นั้นว่า แพทย์แผนอนาคต
และเริ่มมีการติดตั้งอุปกรณ์ต่อเนื่องให้กับรุ่นใหม่ ๆ หลายท่าน ที่เพิ่งเข้ามาร่วมทีมกัน
ซึ่งในช่วงเกิดภัยพิบัติขึ้น จะได้รับแจกอุปกรณ์พิเศษเพื่อให้ใช้ในยามฉุกเฉิน เช่นเครื่องเชื่อมต่อกระดูก แขนหัก ขาหัก ก็รักษาโดยใช้เครื่องเชื่อมกระดูก ณ สถานที่นั้นเลย
ถ้าเป็นหน่วยกู้ภัย หรือเป็นหน่วยข้อมูลช่วยผู้ประสบภัย การช่วยเหลือก็จะต้องมีเรดาห์ในตัวเอง มีการติดตั้งเครื่องสแกนที่ตา มีจอภาพ จึงสามารถมองเห็นจุดเกิดเหตุ เห็นจุดที่ถูกฝังทับ มองเห็นทะลุไปยังจุดนั้นได้
ซึ่งในตอนนี้ ก็ได้มีการทดลองใช้อุปกรณ์เครื่องสแกนกันบ้างแล้ว ติดตั้งเรดาห์กันบ้างแล้ว โดยอาจารย์เม้าท์นำทีมติดตั้งอุปกรณ์และทดลองใช้งาน
เครื่องดักฟังที่หู เพื่อการรับรู้เสียงต่าง ๆ ในระยะไกล
และหน่วยกู้ภัยบางท่านก็ต้องติดตั้งอุปกรณ์เครื่องยกสิ่งของ ไว้ในตัวเองด้วย มองเห็นแล้วช่วยเขาไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ ต้องช่วยได้จริง ดังนั้นจึงต้องมีอุปกรณ์เครื่องยกสิ่งของเป็นตัวช่วย เหมือนมีรถยกอยู่ในตัวเอง เอื้อมมือไปยกเหล็กที่ทับอยู่ ก็จะลอยขึ้นได้โดยง่าย เป็นต้น
ถ้าเป็นหน่วยเสบียง จะมีการแจกสารอาหารในรูปแบบคลื่นพลังงานทดแทนให้ เป็นสารอาหารที่ถูกส่งเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรงในรูปแบบพลังงาน ไม่ต้องทานอาหาร แต่ละครั้งอาจอยู่ได้นาน 3 – 5 วัน โดยไม่ต้องทานอะไร
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับมนุษย์ต่างดาว เพราะทุกอย่างเป็นกลไกของธรรมชาติ
เหมือนสมัยก่อน นักพรต โยคี หรือผู้ที่ปฏิบัติธรรมขั้นสูง ๆ บางท่านปฏิบัติสมาธิ หรือเข้าฌาน หรือบริกรรมคาถา ก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ทานอาหารเป็นเวลานาน ๆ นับเดือน ท่านยังดำรงชีพอยู่ได้อย่างเป็นปกติ
นั่นหมายความว่า มีกลไกโดยธรรมชาติ ในการเพิ่มสารอาหารเข้าในร่างกายมนุษย์ได้ ซึ่งมนุษย์ต่างดาวก็ใช้กลไกนี้นำมาปรับปรุงให้เป็นวิทยาศาสตร์ ไว้ให้ใช้ในช่วงเกิดภัยพิบัตินี้
ซึ่งผู้ฝึกหลายท่าน ได้เคยรับคลื่นพลังงานทดแทนแบบนี้มาแล้ว
ดังนั้น การที่ประเทศไทยเป็นฐานของการช่วยเหลือทั่วโลก จึงต้องจัดหาบุคคลจำนวนมากมาเรียนรู้ มาทำความเข้าใจในทฤษฏีระบบ มารับรู้จุดมุ่งหมายในการช่วยเหลือยามเกิดภัยพิบัติ และมีการมารับการติดตั้งอุปกรณ์ ซึ่งเป็นคลื่นพลังงานรูปแบบหนึ่ง เพื่อใช้ในการทำงานในวันข้างหน้า
ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ก็ต้องมีผู้ทำงานในหลายหน้าที่ มีทั้งหมอ ทั้งพยาบาล ทั้งหน่วยกู้ภัย ทั้งหน่วยบรรเทาทุกข์ ทั้งหน่วยเสบียง หรือหน่วยบริการด้านที่อยู่อาศัย
บุคคลที่ต้องทำงานด้านต่าง ๆ เหล่านี้ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ ต้องมีเครื่องมือ ต้องมีศักยภาพในตนเอง
ถ้าเป็นหมอ ก็ต้องรักษาได้โดยไม่ต้องใช้ยา ไม่ต้องใช้ห้องผ่าตัด แต่จะใช้คลื่นพลังงานในการรักษาแทน เจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ก็สามารถรักษาด้วยคลื่นพลังงานได้โดยไม่ต้องใช้ยา
ซึ่งขณะนี้ มีการทดลองนำมาใช้ โดยรุ่นใหม่เขากะลารุ่น 2 ที่มีความเข้าใจกลไกของระบบ ได้มีการทดลองนำมาใช้แล้วในบางส่วน เรียกกลุ่มผู้ทดลองใช้อุปกรณ์การแพทย์นั้นว่า แพทย์แผนอนาคต
และเริ่มมีการติดตั้งอุปกรณ์ต่อเนื่องให้กับรุ่นใหม่ ๆ หลายท่าน ที่เพิ่งเข้ามาร่วมทีมกัน
ซึ่งในช่วงเกิดภัยพิบัติขึ้น จะได้รับแจกอุปกรณ์พิเศษเพื่อให้ใช้ในยามฉุกเฉิน เช่นเครื่องเชื่อมต่อกระดูก แขนหัก ขาหัก ก็รักษาโดยใช้เครื่องเชื่อมกระดูก ณ สถานที่นั้นเลย
ถ้าเป็นหน่วยกู้ภัย หรือเป็นหน่วยข้อมูลช่วยผู้ประสบภัย การช่วยเหลือก็จะต้องมีเรดาห์ในตัวเอง มีการติดตั้งเครื่องสแกนที่ตา มีจอภาพ จึงสามารถมองเห็นจุดเกิดเหตุ เห็นจุดที่ถูกฝังทับ มองเห็นทะลุไปยังจุดนั้นได้
ซึ่งในตอนนี้ ก็ได้มีการทดลองใช้อุปกรณ์เครื่องสแกนกันบ้างแล้ว ติดตั้งเรดาห์กันบ้างแล้ว โดยอาจารย์เม้าท์นำทีมติดตั้งอุปกรณ์และทดลองใช้งาน
เครื่องดักฟังที่หู เพื่อการรับรู้เสียงต่าง ๆ ในระยะไกล
และหน่วยกู้ภัยบางท่านก็ต้องติดตั้งอุปกรณ์เครื่องยกสิ่งของ ไว้ในตัวเองด้วย มองเห็นแล้วช่วยเขาไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ ต้องช่วยได้จริง ดังนั้นจึงต้องมีอุปกรณ์เครื่องยกสิ่งของเป็นตัวช่วย เหมือนมีรถยกอยู่ในตัวเอง เอื้อมมือไปยกเหล็กที่ทับอยู่ ก็จะลอยขึ้นได้โดยง่าย เป็นต้น
ถ้าเป็นหน่วยเสบียง จะมีการแจกสารอาหารในรูปแบบคลื่นพลังงานทดแทนให้ เป็นสารอาหารที่ถูกส่งเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรงในรูปแบบพลังงาน ไม่ต้องทานอาหาร แต่ละครั้งอาจอยู่ได้นาน 3 – 5 วัน โดยไม่ต้องทานอะไร
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับมนุษย์ต่างดาว เพราะทุกอย่างเป็นกลไกของธรรมชาติ
เหมือนสมัยก่อน นักพรต โยคี หรือผู้ที่ปฏิบัติธรรมขั้นสูง ๆ บางท่านปฏิบัติสมาธิ หรือเข้าฌาน หรือบริกรรมคาถา ก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ทานอาหารเป็นเวลานาน ๆ นับเดือน ท่านยังดำรงชีพอยู่ได้อย่างเป็นปกติ
นั่นหมายความว่า มีกลไกโดยธรรมชาติ ในการเพิ่มสารอาหารเข้าในร่างกายมนุษย์ได้ ซึ่งมนุษย์ต่างดาวก็ใช้กลไกนี้นำมาปรับปรุงให้เป็นวิทยาศาสตร์ ไว้ให้ใช้ในช่วงเกิดภัยพิบัตินี้
ซึ่งผู้ฝึกหลายท่าน ได้เคยรับคลื่นพลังงานทดแทนแบบนี้มาแล้ว
......................................................
กลุ่มเขากะลาเมื่อสิบปีที่ผ่านมานั้น
ได้มีการปฏิบัติธรรมในหลายรูปแบบ ทั้งฟังธรรม ปฏิบัติสมาธิ เจริญสติภาวนา
วิปัสนากรรมฐาน
และยังมีการประมวลพลังเพื่อรับคลื่นสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาวควบคู่กันไปอีกด้วย
ดังนั้น ทุกอย่าง ทุกรูปแบบ ได้มีการสอน มีการให้ปฏิบัติอย่างเข้มข้นทุกรูปแบบ เพื่อให้ผู้ฝึกนำมาใช้ นำมาเปรียบเทียบ และนำมาพิจารณาไตร่ตรองในเหตุ และผล ของการปฏิบัติแต่ละวิธี
ผู้ฝึกปฏิบัติส่วนใหญ่ จะมีการปฏิบัติสมาธิในขั้นลึกกันมาอยู่แล้วบางส่วน ปฏิบัติในระดับปานกลางมาแล้วในบางส่วน และไม่เคยปฏิบัติสมาธิเลยก็มีอีกส่วนหนึ่ง
ดังนั้น เมื่อทุกคนที่มีความแตกต่างในพื้นฐานการปฏิบัติ วิธีการสอน จึงเน้นไปในทางการ ให้ใช้ปัญญาพิจารณาเป็นหลัก เน้นการฝีกสติเป็นหลัก เน้นการวิปัสนาเป็นหลัก
ผู้ที่ฝึกที่เขากะลา จึงไม่ค่อยมีการเน้นสมาธิมากนัก แต่เน้นการพิจารณาไตร่ตรองในธรรมของพระพุทธองค์เป็นหลัก เน้นการวิปัสสนา เห็นการเกิดดับในขันธ์ห้าเป็นหลัก เน้นการปล่อยวางอัตตาตัวตนเป็นหลัก
ผู้ฝึกทุกคนจึงเท่าเทียมกันโดยปัญญา โดยการพิจารณาไตร่ตรอง
บางคนมีสมาธิมาก ก็นั่งสมาธิพร้อมกับพิจารณาธรรมไปด้วย บางคนนั่งสมาธิไม่ค่อยได้ ก็ใช้การวิปัสสนาขันธ์ห้าเป็นหลัก เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตลอดเวลา บางคนนั่งสมาธิไม่ได้เลยเพราะมีความฟุ้งซ่านเข้ามารบกวน ก็ต้องฝึกออกจากขันธ์ห้า ออกมามองดูความคิด ที่กำลังฟุ้งซ่าน เห็นความกังวลที่กำลังเกิดขึ้น โดยรู้ว่าเป็นกลไกของขันธ์ห้าที่กำลังทำงานของมันเองเท่านั้น
ดังนั้น กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) จึงมีบุคคลหลายรูปแบบ มีการปฏิบัติตามจริตของแต่ละบุคคล ไม่เหมือนกัน
เมื่อมีความแตกต่างอย่างมากในกลุ่มเดียวกัน จึงต้องมีการสอนธรรมะ มีการสอนให้เข้าใจในกลไกของกฏธรรมชาติเป็นหลัก และแต่ละคนต้องนำไปพิจารณาไตร่ตรองเอาเอง ว่าตนเองจะใช้การปฏิบัติเพื่อการปล่อยวางในวิธีใด
พี่สุดใจ ก็ขอนำข้อความส่วนหนึ่ง ที่ผู้เดินทางไปเขากะลา ที่มีหลากหลายการปฏิบัติ ได้เรียนถามผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต ให้ท่านแนะนำวิธีการปฏิบัติ
เนื่องจากท่านทำสมาธิมานาน เพราะท่านอายุยืนหลายหมื่นปี เรียกว่าเชี่ยวชาญเรื่องสมาธิมากที่สุดในดวงดาวของท่าน แต่สิ่งที่ท่านแนะนำให้มนุษย์โลกปฏิบัติในตอนนี้ กลับเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม แบบคาดไม่ถึงทีเดียว
แสดงว่า... สิ่งที่ท่านแนะนำนั้น ต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง .... และเหมาะสมอย่างยิ่งในยุคนี้
นั่นคือ เน้นให้ใช้การวิปัสสนา เห็นขันธ์ 5 ตามจริง เพื่อเกิดปัญญา .... ตัดอวิชชา นั่นเอง
น่าจะเป็นแนวทางปฏิบัติให้บางท่าน ที่พยายามฝึกสมาธิเท่าใด ก็ไม่ค่อยก้าวหน้า ไม่อาจเข้าถึงสมาธิในระดับลึก หรือจิตนิ่งได้ ลองมาฟังวิธีของท่านดู อาจเปิดมุมมองในเรื่องของสมาธิ ให้มีความเข้าใจได้มากขึ้น
ดังนั้น ทุกอย่าง ทุกรูปแบบ ได้มีการสอน มีการให้ปฏิบัติอย่างเข้มข้นทุกรูปแบบ เพื่อให้ผู้ฝึกนำมาใช้ นำมาเปรียบเทียบ และนำมาพิจารณาไตร่ตรองในเหตุ และผล ของการปฏิบัติแต่ละวิธี
ผู้ฝึกปฏิบัติส่วนใหญ่ จะมีการปฏิบัติสมาธิในขั้นลึกกันมาอยู่แล้วบางส่วน ปฏิบัติในระดับปานกลางมาแล้วในบางส่วน และไม่เคยปฏิบัติสมาธิเลยก็มีอีกส่วนหนึ่ง
ดังนั้น เมื่อทุกคนที่มีความแตกต่างในพื้นฐานการปฏิบัติ วิธีการสอน จึงเน้นไปในทางการ ให้ใช้ปัญญาพิจารณาเป็นหลัก เน้นการฝีกสติเป็นหลัก เน้นการวิปัสนาเป็นหลัก
ผู้ที่ฝึกที่เขากะลา จึงไม่ค่อยมีการเน้นสมาธิมากนัก แต่เน้นการพิจารณาไตร่ตรองในธรรมของพระพุทธองค์เป็นหลัก เน้นการวิปัสสนา เห็นการเกิดดับในขันธ์ห้าเป็นหลัก เน้นการปล่อยวางอัตตาตัวตนเป็นหลัก
ผู้ฝึกทุกคนจึงเท่าเทียมกันโดยปัญญา โดยการพิจารณาไตร่ตรอง
บางคนมีสมาธิมาก ก็นั่งสมาธิพร้อมกับพิจารณาธรรมไปด้วย บางคนนั่งสมาธิไม่ค่อยได้ ก็ใช้การวิปัสสนาขันธ์ห้าเป็นหลัก เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตลอดเวลา บางคนนั่งสมาธิไม่ได้เลยเพราะมีความฟุ้งซ่านเข้ามารบกวน ก็ต้องฝึกออกจากขันธ์ห้า ออกมามองดูความคิด ที่กำลังฟุ้งซ่าน เห็นความกังวลที่กำลังเกิดขึ้น โดยรู้ว่าเป็นกลไกของขันธ์ห้าที่กำลังทำงานของมันเองเท่านั้น
ดังนั้น กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) จึงมีบุคคลหลายรูปแบบ มีการปฏิบัติตามจริตของแต่ละบุคคล ไม่เหมือนกัน
เมื่อมีความแตกต่างอย่างมากในกลุ่มเดียวกัน จึงต้องมีการสอนธรรมะ มีการสอนให้เข้าใจในกลไกของกฏธรรมชาติเป็นหลัก และแต่ละคนต้องนำไปพิจารณาไตร่ตรองเอาเอง ว่าตนเองจะใช้การปฏิบัติเพื่อการปล่อยวางในวิธีใด
พี่สุดใจ ก็ขอนำข้อความส่วนหนึ่ง ที่ผู้เดินทางไปเขากะลา ที่มีหลากหลายการปฏิบัติ ได้เรียนถามผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต ให้ท่านแนะนำวิธีการปฏิบัติ
เนื่องจากท่านทำสมาธิมานาน เพราะท่านอายุยืนหลายหมื่นปี เรียกว่าเชี่ยวชาญเรื่องสมาธิมากที่สุดในดวงดาวของท่าน แต่สิ่งที่ท่านแนะนำให้มนุษย์โลกปฏิบัติในตอนนี้ กลับเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม แบบคาดไม่ถึงทีเดียว
แสดงว่า... สิ่งที่ท่านแนะนำนั้น ต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง .... และเหมาะสมอย่างยิ่งในยุคนี้
นั่นคือ เน้นให้ใช้การวิปัสสนา เห็นขันธ์ 5 ตามจริง เพื่อเกิดปัญญา .... ตัดอวิชชา นั่นเอง
น่าจะเป็นแนวทางปฏิบัติให้บางท่าน ที่พยายามฝึกสมาธิเท่าใด ก็ไม่ค่อยก้าวหน้า ไม่อาจเข้าถึงสมาธิในระดับลึก หรือจิตนิ่งได้ ลองมาฟังวิธีของท่านดู อาจเปิดมุมมองในเรื่องของสมาธิ ให้มีความเข้าใจได้มากขึ้น
คลิก >> โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
.............................................
อุปกรณ์คล้ายพลังงานจากต่างดาว
มนุษย์ต่างดาว ที่ลงมาติดต่อกับมนุษย์โลก
ในแถวตะวันตก หรือแถบยุโรปนั้น มีการปรากฏหลักฐานมาก่อนแล้วหลายสิบปี
และการติดต่อสื่อสาร ข้อความทั้งหลายนั้น ก็เหมาะกับความเข้าใจของคนในทวีปนั้น ๆ จะสามารถเข้าใจได้
และการที่จะให้มีหลักฐาน เพื่อให้เป็นการยืนยันในการมาโลกมนุษย์ ของมนุษย์ต่างดาวนั้น ก็ต้องให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่นมีวัตถุ มีชิ้นส่วนของจานบิน ที่พิสูจน์แล้วว่า วัตถุ หรือแร่ต่าง ๆ เหล่านั้น ไม่มีในโลกมนุษย์
ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ จึงจะเชื่อได้ว่า สิ่งเหล่านี้ มาจากต่างดาว
แต่ในประเทศไทย เป็นเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยกว่ามาก ดังนั้นการติดตั้งอุปกรณ์ เครื่องรับส่งสัญญาณ เครื่องมือแปลภาษา และอุปกรณ์ในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ จึงใช้รูปแบบละเอียด รูปแบบคล้ายพลังงาน และไม่จำเป็นต้องใช้ในรูปแบบวัตถุหนาแน่นที่มองเห็นก็ได้
แต่เป็นเทคโนโลยีขั้นละเอียดมองไม่เห็น คล้ายรูปแบบพลังงาน
หรือจะเทียบให้พอมองเห็นรูปแบบได้ ก็คล้ายแสงเอ็กเรย์ มีแสงแต่มองไม่เห็น เป็นเครื่องมือที่ฉายแสงออกไปได้ ทำงานได้ แต่มองไม่เห็น
อุปกรณ์ต่าง ๆ เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มนุษย์ต่างดาวนำมามอบให้ ก็ไฮเทคมากมาย มีความละเอียดจนคล้ายพลังงาน สามารถอยู่ในร่างกายได้ โดยไม่ต้องใช้เนื้อที่ และต้องมีการปล่อยวางควบคู่กันไป ไม่เช่นนั้นจะเหมาเอาว่าเรามีพลังวิเศษด้วยตัวเอง
และการถ่ายทอดข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา ก็มีมากมาย แต่จะออกในรูปแบบ ให้เข้าใจกฏธรรมชาติ ให้ละวางอัตตาตัวตน เพื่อยกระดับจิตได้ในระดับหนึ่ง แล้วจึงนำไปใช้ร่วมกับเทคโนโลยีเหล่านั้น
เรียกว่า เป็นการทำงานแบบรู้ตัวว่าทำงานกับมนุษย์ต่างดาว จึงทำงานได้...แบบเราไม่ได้ทำ นั่นเอง.
และการติดต่อสื่อสาร ข้อความทั้งหลายนั้น ก็เหมาะกับความเข้าใจของคนในทวีปนั้น ๆ จะสามารถเข้าใจได้
และการที่จะให้มีหลักฐาน เพื่อให้เป็นการยืนยันในการมาโลกมนุษย์ ของมนุษย์ต่างดาวนั้น ก็ต้องให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่นมีวัตถุ มีชิ้นส่วนของจานบิน ที่พิสูจน์แล้วว่า วัตถุ หรือแร่ต่าง ๆ เหล่านั้น ไม่มีในโลกมนุษย์
ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ จึงจะเชื่อได้ว่า สิ่งเหล่านี้ มาจากต่างดาว
แต่ในประเทศไทย เป็นเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยกว่ามาก ดังนั้นการติดตั้งอุปกรณ์ เครื่องรับส่งสัญญาณ เครื่องมือแปลภาษา และอุปกรณ์ในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ จึงใช้รูปแบบละเอียด รูปแบบคล้ายพลังงาน และไม่จำเป็นต้องใช้ในรูปแบบวัตถุหนาแน่นที่มองเห็นก็ได้
แต่เป็นเทคโนโลยีขั้นละเอียดมองไม่เห็น คล้ายรูปแบบพลังงาน
หรือจะเทียบให้พอมองเห็นรูปแบบได้ ก็คล้ายแสงเอ็กเรย์ มีแสงแต่มองไม่เห็น เป็นเครื่องมือที่ฉายแสงออกไปได้ ทำงานได้ แต่มองไม่เห็น
อุปกรณ์ต่าง ๆ เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มนุษย์ต่างดาวนำมามอบให้ ก็ไฮเทคมากมาย มีความละเอียดจนคล้ายพลังงาน สามารถอยู่ในร่างกายได้ โดยไม่ต้องใช้เนื้อที่ และต้องมีการปล่อยวางควบคู่กันไป ไม่เช่นนั้นจะเหมาเอาว่าเรามีพลังวิเศษด้วยตัวเอง
และการถ่ายทอดข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา ก็มีมากมาย แต่จะออกในรูปแบบ ให้เข้าใจกฏธรรมชาติ ให้ละวางอัตตาตัวตน เพื่อยกระดับจิตได้ในระดับหนึ่ง แล้วจึงนำไปใช้ร่วมกับเทคโนโลยีเหล่านั้น
เรียกว่า เป็นการทำงานแบบรู้ตัวว่าทำงานกับมนุษย์ต่างดาว จึงทำงานได้...แบบเราไม่ได้ทำ นั่นเอง.
.................................
สำหรับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา อาจจะแตกต่างออกไป จากการสื่อสารกับชาวต่างชาติ กับประเทศแถบอเมริกา
หรือยุโรป หรือประเทศอื่น ๆ
เพราะที่นี่ ท่านมาเน้นด้านจิตใจ มิใช่วัตถุ
มนุษย์ต่างดาว ที่ท่านได้มาให้ความช่วยเหลือมนุษย์โลก และเลือกให้ประเทศไทยเป็นฐานของการช่วยเหลือนั้น
ได้มีการรวบรวมบุคคลที่ขันอาสาลงมาในโครงการนี้ ซึ่งแต่ละท่าน ได้เข้ามาพบเจอตามเวลาที่กำหนดไว้ บางท่านก็ทราบแล้ว ว่ากำลังทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาว บางท่านก็ยังไม่ทราบ แต่ก็ทำงานได้เช่นกัน
ดังนั้น... เขากะลา จึงได้มีบุคคลหลายรุ่น หลายช่วงอายุ ตั้งแต่รุ่นแรก และรุ่นถัด ๆ มาอีกจำนวนมาก
โดยมนุษย์ต่างดาวจะให้ความสำคัญกับการยกระดับจิต ให้เข้าใจในธรรม หรือธรรมชาติ เพื่อให้ละการยึดมั่นถือมั่นขันธ์ 5 เป็นหลักใหญ่
หลายท่านได้อ่านข้อความของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโตที่ได้มีการให้โอวาทไว้นั้น ได้มีความเข้าใจในกฏของธรรมชาติ ชัดเจนมากขึ้น และรับรู้ถึงจุดประสงค์ของมนุษย์ต่างดาวว่า...เหตุใด ต้องมาให้ความช่วยเหลือโลกใบนี้
เป็นการเปิดมุมมองให้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า....ทำไม ? ....มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา จึงต้องมาเน้นเรื่องการฝึกจิต แล้วไม่ให้ยึดติดกับวัตถุใด ๆ .
เพราะที่นี่ ท่านมาเน้นด้านจิตใจ มิใช่วัตถุ
มนุษย์ต่างดาว ที่ท่านได้มาให้ความช่วยเหลือมนุษย์โลก และเลือกให้ประเทศไทยเป็นฐานของการช่วยเหลือนั้น
ได้มีการรวบรวมบุคคลที่ขันอาสาลงมาในโครงการนี้ ซึ่งแต่ละท่าน ได้เข้ามาพบเจอตามเวลาที่กำหนดไว้ บางท่านก็ทราบแล้ว ว่ากำลังทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาว บางท่านก็ยังไม่ทราบ แต่ก็ทำงานได้เช่นกัน
ดังนั้น... เขากะลา จึงได้มีบุคคลหลายรุ่น หลายช่วงอายุ ตั้งแต่รุ่นแรก และรุ่นถัด ๆ มาอีกจำนวนมาก
โดยมนุษย์ต่างดาวจะให้ความสำคัญกับการยกระดับจิต ให้เข้าใจในธรรม หรือธรรมชาติ เพื่อให้ละการยึดมั่นถือมั่นขันธ์ 5 เป็นหลักใหญ่
หลายท่านได้อ่านข้อความของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโตที่ได้มีการให้โอวาทไว้นั้น ได้มีความเข้าใจในกฏของธรรมชาติ ชัดเจนมากขึ้น และรับรู้ถึงจุดประสงค์ของมนุษย์ต่างดาวว่า...เหตุใด ต้องมาให้ความช่วยเหลือโลกใบนี้
เป็นการเปิดมุมมองให้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า....ทำไม ? ....มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา จึงต้องมาเน้นเรื่องการฝึกจิต แล้วไม่ให้ยึดติดกับวัตถุใด ๆ .
.................................
ความฝัน...รูปแบบการทำงานกับมนุษย์ต่างดาว
...........................
ขออนุโมทนา และเป็นกำลังใจให้กับสมาชิกหลาย
ๆ ท่านด้วยนะคะ ที่เข้ามาร่วมทำงานกับระบบแบบรู้ตัว
และในช่วงนี้ หลายท่านก็เริ่มมีบททดสอบกันอย่างเข้มข้น
เริ่มกระบวนการยกระดับจิต สั่นคลอนความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์
5 มีการฟันฝ่าความทุกข์ในจิตใจ
ในการทวนกระแสของสังคมปัจจุบัน คือพอรับงานไป
ระบบก็จัดทุกข์ให้ก้าวข้ามทันที
เรียกว่า....ไม่รอช้า เวลามีไม่มาก
สิ่งที่มีอิทธิพลมากมายสำหรับผู้ที่ยังยึดมั่นถือมั่น นั่นก็คือ "ความกลัว"
คือเมื่อมีอวิชชา เห็นผิดคิดว่าขันธ์ 5 นี้เป็นตัวตน เป็นของตนแล้ว ย่อมเกิดความห่วงใย เกิดความกลัว และต้องปกป้องในตัวตนขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ต้องดูแล ต้องรักษา ต้องบริหารขันธ์ 5 อย่างดีที่สุด ให้ปลอดภัยที่สุด
กลัวจะแก่ กลัวจะเจ็บ กลัวจะตาย กลัวจะจน กลัวจะไม่ปลอดภัย กลัวตกงาน กลัวครอบครัวจะลำบาก กลัวจะทุกข์ยากวันข้างหน้า และความกลัวอีกมากมาย ที่มีอยู่ในแทบทุกคน
ความกลัว จึงเป็นสิ่งหนึ่ง ที่ขังมนุษย์ไว้ให้อยู่ในความทุกข์ทั้งปวง
นอกจากความกลัวที่จะเข้ามาถึงขันธ์ 5 ที่เป็นตัวตนแล้ว ยังแผ่ความกลัวไปยัง...ของของตนอีก เช่นพ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติมิตร เพื่อนฝูง ข้าวของเครื่องใช้ ชื่อเสียง วงศ์ตระกูล ยศฐาบรรดาศักดิ์มากมาย
จึงต้องใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดระแวง ความกลัวกันเรื่อยมา
เมื่อยังอยู่ติดอยู่ในโลกธรรม 8 ย่อมถูกกักขังอยู่ในเรื่องของความกลัว กลัวเสื่อมลาภ กลัวเสื่อมยศ กลัวคนเขานินทา กลัวจะเป็นทุกข์
ดังนั้น เมื่อมีลาภ ก็กลัวจะเสื่อมลาภ เมื่อมียศ ก็กลัวจะเสื่อมยศ เมื่อคนสรรเสริญ ก็กลัวจะมีคนนินทา เมื่อกำลังมีความสุข ก็กลัวว่าความสุขจะหมดไปเร็วแล้วจะกลายเป็นความทุกข์ ดังนั้น ทุกคนที่ยังอยู่ในโลกธรรม 8 จิตก็ย่อมจะหวั่นไหว ขึ้นลงไปด้วยความสุขความทุกข์ ความหวาดระแวงเช่นนี้ตลอดเวลา
ผู้ที่ได้มีการปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นละเอียดแล้ว ย่อมมีความเข้าใจในกฏแห่งกรรม มีความเข้าใจถูกต้องในกฏของธรรมชาติแล้ว จะมีความเข้าใจในขันธ์ห้าตามความเป็นจริง โดยไม่หลงยึดติดอยู่ในมายาดวงจิตที่หลอกล่อให้เข้าไปมีอุปาทานในขันธ์ห้า ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ท่านจึงสามารถที่จะอยู่เหนือโลกธรรม 8 ได้ โดยไม่หวั่นไหวในโลกธรรม 8 นั่นเอง
ดังนั้น แนวทางที่จะฟันฝ่ามายาดวงจิต ที่ถูกหลอกล่อให้ยึดติดอยู่ในโลกธรรม 8 นั้น จึงต้องใช้กำลังของดวงจิตในการฝ่าฟันสิ่งเหล่านี้อย่างมาก ซึ่งผู้ที่ฝึกโดยระบบ จึงต้องมีการถูกจัดบทเรียนในการฝึก เพื่อข้ามผ่านสิ่งเหล่านี้นั่นเอง ซึ่งระบบจะเรียกว่า "ประโยชน์ตน"
เรียกว่า....ไม่รอช้า เวลามีไม่มาก
สิ่งที่มีอิทธิพลมากมายสำหรับผู้ที่ยังยึดมั่นถือมั่น นั่นก็คือ "ความกลัว"
คือเมื่อมีอวิชชา เห็นผิดคิดว่าขันธ์ 5 นี้เป็นตัวตน เป็นของตนแล้ว ย่อมเกิดความห่วงใย เกิดความกลัว และต้องปกป้องในตัวตนขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ต้องดูแล ต้องรักษา ต้องบริหารขันธ์ 5 อย่างดีที่สุด ให้ปลอดภัยที่สุด
กลัวจะแก่ กลัวจะเจ็บ กลัวจะตาย กลัวจะจน กลัวจะไม่ปลอดภัย กลัวตกงาน กลัวครอบครัวจะลำบาก กลัวจะทุกข์ยากวันข้างหน้า และความกลัวอีกมากมาย ที่มีอยู่ในแทบทุกคน
ความกลัว จึงเป็นสิ่งหนึ่ง ที่ขังมนุษย์ไว้ให้อยู่ในความทุกข์ทั้งปวง
นอกจากความกลัวที่จะเข้ามาถึงขันธ์ 5 ที่เป็นตัวตนแล้ว ยังแผ่ความกลัวไปยัง...ของของตนอีก เช่นพ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติมิตร เพื่อนฝูง ข้าวของเครื่องใช้ ชื่อเสียง วงศ์ตระกูล ยศฐาบรรดาศักดิ์มากมาย
จึงต้องใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดระแวง ความกลัวกันเรื่อยมา
เมื่อยังอยู่ติดอยู่ในโลกธรรม 8 ย่อมถูกกักขังอยู่ในเรื่องของความกลัว กลัวเสื่อมลาภ กลัวเสื่อมยศ กลัวคนเขานินทา กลัวจะเป็นทุกข์
ดังนั้น เมื่อมีลาภ ก็กลัวจะเสื่อมลาภ เมื่อมียศ ก็กลัวจะเสื่อมยศ เมื่อคนสรรเสริญ ก็กลัวจะมีคนนินทา เมื่อกำลังมีความสุข ก็กลัวว่าความสุขจะหมดไปเร็วแล้วจะกลายเป็นความทุกข์ ดังนั้น ทุกคนที่ยังอยู่ในโลกธรรม 8 จิตก็ย่อมจะหวั่นไหว ขึ้นลงไปด้วยความสุขความทุกข์ ความหวาดระแวงเช่นนี้ตลอดเวลา
ผู้ที่ได้มีการปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นละเอียดแล้ว ย่อมมีความเข้าใจในกฏแห่งกรรม มีความเข้าใจถูกต้องในกฏของธรรมชาติแล้ว จะมีความเข้าใจในขันธ์ห้าตามความเป็นจริง โดยไม่หลงยึดติดอยู่ในมายาดวงจิตที่หลอกล่อให้เข้าไปมีอุปาทานในขันธ์ห้า ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ท่านจึงสามารถที่จะอยู่เหนือโลกธรรม 8 ได้ โดยไม่หวั่นไหวในโลกธรรม 8 นั่นเอง
ดังนั้น แนวทางที่จะฟันฝ่ามายาดวงจิต ที่ถูกหลอกล่อให้ยึดติดอยู่ในโลกธรรม 8 นั้น จึงต้องใช้กำลังของดวงจิตในการฝ่าฟันสิ่งเหล่านี้อย่างมาก ซึ่งผู้ที่ฝึกโดยระบบ จึงต้องมีการถูกจัดบทเรียนในการฝึก เพื่อข้ามผ่านสิ่งเหล่านี้นั่นเอง ซึ่งระบบจะเรียกว่า "ประโยชน์ตน"
................................
สิ่งต่างๆ
เหล่านี้
ความกลัวเหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้นกับทุกคน
แต่ว่าอยู่ในระดับเข้มข้นขนาดไหน เท่านั้น
หลาย ๆ ท่านที่ได้เข้ามาร่วมงาน บางท่านก็ไม่กลัว ไม่ห่วงหน้าตา ยินดีเข้ามาร่วมงาน โดยเปิดเผยหน้าตาให้บุคคลทั่วไปได้เห็น แต่อีกหลายท่านอาจยังไม่กล้า เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นบุคคลที่ถูกคนอื่นหาว่าเพ้อเจ้อ หรือเพี้ยนไป
รุ่นก่อน ผู้ฝึกในรุ่นแรก ๆ ก็เจอปัญหาเช่นนี้มาก่อนกันทุกคน ก่อนที่จะมีการมารับรู้เรื่องของธรรมะ ก่อนที่จะมามีการรับรู้กฏของธรรมชาติ
เพราะแต่ละคนที่เข้ามาฝึกแบบเป็นกลุ่มนั้น มาจากผู้ที่มีหน้าตามีตา มีการงานทำ มีชื่อเสียง เป็นผู้ที่มีอัตตากันมาก่อนทั้งนั้น แต่เมื่อเข้ามาเรียนรู้ มาฝึก และเจตนาที่จะปล่อยวาง ลดละเลิก ก็จะได้รับบททดสอบอย่างเข้มข้น รุนแรง เรียกว่า ต้องใช้กำลังดวงจิตอย่างแรงกล้า มีสติในการพิจารณาขันธ์ 5 เพื่อเห็นการปรุงแต่งเหล่านั้น แล้วปล่อยวางให้ทัน เพื่อที่จะได้ไม่ทุกข์
ระบบมีการจัดสถานการณ์ จัดบททดสอบ จัดแบบฝึกหัดมาให้นั้น เรียกว่าเป็นการ...ตี...ให้ละ อย่าเกาะขันธ์ 5 ไม่ว่าขันธ์ใด ๆ ให้ปล่อยวางอย่างรวดเร็ว
บททดสอบเกี่ยวกับความกลัว และประสบการณ์ของผู้ฝึกฯ เฉพาะกิจรุ่น 1
เป็นเรื่องที่เป็นเบสิคพื้นฐานของมนุษย์โดยทั่ว ๆ ไป ที่จะต้องมีความกลัวในเรื่องต่าง ๆ รอบตัวมากมาย กลัวเสียชื่อเสียง กลัวคนนินทา กลัวคนไม่รัก กลัวเขาดูถูก กลัวไปสารพัดเรื่อง โดยไม่เคยคิดว่า สิ่งที่กำลังกลัวนั้นเป็นเพราะเราอุปาทาน คือยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรา ชื่อเสียงเรา หน้าตาเรา และสิ่งที่วนเวียนอยู่ในความคิดล่อหลอกให้สุขทุกข์ กังวลตลอดเวลานั้น ก็คิดว่าเป็นความคิดของเรา มันจึงยังต้องมีสุข มีทุกข์ มีความกังกล มีความห่วงใยตัวตนของเราอยู่ตลอดเวลา
เรียกว่ามีการจัดบททดสอบ ในด้านเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ไปพร้อม ๆ กันเลย
เพราะปกติโดยทั่วไป เรามักจะไม่อยากที่จะไปเกี่ยวข้องกับสิ่งใด ๆ ก็ตาม ที่จะเป็นการทำให้เสียชื่อเสียง ทำให้คนนินทา ทำให้คนเห็นว่าบ้า ทำให้คนส่วนใหญ่หมดความเชื่อถือ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรามักจะหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ ถ้าเป็นไปได้ ดังนั้น พี่สุดใจ คุณ no.9 หรือผู้ฝึกทุกคน ก็มีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
แต่เมื่อเราได้เรียนรู้ในธรรมะของพระพุทธเจ้า ได้เรียนรู้ในกฎของธรรมชาติ ได้รับทราบข้อมูลในมุมมองของธรรมชาติโดยผ่านการอธิบาย และทำให้เห็นเป็นรูปธรรม จากผู้ที่มาจากดวงดาวอื่นนั้น ทำให้เริ่มเข้าใจในกลไกของขันธ์ห้าที่เราหลงยึดติดคิดว่าเป็นตัวเราของเรานั้น ชัดเจนยิ่งขึ้น
ดังนั้นในระบบการฝึกในเรื่องแรก ๆ ก็คือ การละทิฐิมานะ การละความถือตัวถือตน การละความกลัวเสียชื่อเสียงนั่นเอง
ในช่วงที่ฝึกนั้น มีการจัดความอาย มาให้มากมายที่ต้องข้าม เดินไปเป็นกลุ่มก็ให้รำข้างถนนเสียอย่างนั้น
คนแก่หรือชาวบ้านเดินผ่านไม่รู้จักเขาหรอก ก็ระบบให้เดินเรียงแถวเข้าไปไหว้เขา เขาก็งง และเป็นแบบนี้อยู่หลายวัน
หรือบางทีก็ให้ทาแป้งเสียขาวเว่อ ทาหน้าทาตา เดินออกไปตามที่ชุมชน ถอดรองเท้าเดินบ้าง สารพัดจะต้องทำ ซึ่งผู้ฝึกแต่ละคนหน้าตาดี ๆ ทั้งนั้น (หรือเปล่า)
และบางคนที่เคยไปร่วมประชุมกับสมาคมค้นคว้าทางจิต ของ ดร.เทพนม เมืองแมน ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ในวันเสาร์สุดท้ายของเดือน มีช่วงหนึ่งที่ ดร.เทพนม ได้เชิญกลุ่มเขากะลา(ในตอนนั้น) มาให้ข้อมูล ผู้ที่ไปในวันนั้น จะเห็นกลุ่มเขากะลาโกนศรีษะกันทั้งหญิงและชาย คนที่ไปฟังประชุมส่วนใหญ่ก็จะมองเห็นว่าเป็นกลุ่มคนเพื้ยน ๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งในครั้งนั้นเป็นการกระทบจิตในขั้นรุนแรง และใกล้ ๆ จบกันแล้ว ซึ่งในขั้นแรก ๆ ก็อายแสนอาย ก็ทุกข์กันไป แต่เมื่อยังไม่ข้ามผ่าน ก็เรียนกันอยู่นั่นแหละ
หนังสือธรรมะที่มีเป็นตู้ จึงพอเป็น ธรรมโอสถ รักษาเยียวยาจิตใจ ในความเห็นผิดยึดติดในขันธ์ห้าได้ และได้มีการนำมาให้อ่านให้เข้าใจ ว่าที่ยังทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่นว่านี่เป็นตัวเรา หน้าตาของเรา ชื่อเสียงของเรา จึงต้องทุกข์อยู่กับการมีอุปาทานขันธ์ห้านี้ ถ้ายังมีตัวเราก็ยังทุกข์ร่ำไป ยังกลัวร่ำไป ก็เลยเริ่มเข้าใจ ความอายน้อยลง ทิฐิมานะน้อยลง มีความอดทนกับบุคคลอื่น ๆ ที่ไม่เข้าใจ หาว่าเราบ้า เราเพี้ยน ได้มากขึ้น ความทุกข์ในความห่วงตัวตนน้อยลง จึงมีความสงบในจิตมากขึ้น ไม่ค่อยสะดุ้งสะเทือนกับการที่จะถูกมายาดวงจิตล่อหลอกให้กลัวโน่น กลัวนี่ กลัวสารพัด ตอนนี้ก็เหลือน้อยลงทุกที แทบจะไม่มีการกระทบในเรื่องเหล่านี้อีก
ดังนั้น โดยปกติทั่วไป เราก็ไม่อยากให้ใครเห็นหน้าเห็นตาเรา และยิ่งมาทำในเรื่องที่ค่อนข้างเพี้ยนอย่างนี้ การเสียชื่อเสียงย่อมมีอยู่แล้ว แต่เมื่อลองพิจารณาดูให้ดี ก็จะรู้ว่า เมื่อความคิดที่คิดว่ากลัวเข้ามา แล้วคุณถอยออกมาดูความคิดนั้น คุณก็จะเห็นว่า มันสักแต่ว่าคิด มันไม่ได้มีความกลัวจริงอยู่ในนั้น ไม่มีใครเป็นผู้ที่กลัวเลย เมื่อเห็นความคิด เมื่อรู้เท่าทันความคิด คุณก็จะไม่กลัวความคิดนั้น ไม่ทุกข์กับความคิดนั้น แล้วคุณก็จะก้าวข้ามความกลัว ก้าวข้ามความคิดที่จะล่อหลอกให้คุณไปยึดติดว่าเป็นความคิดของคุณ แล้วทุกข์ไปกับความคิดนั้นนั่นเอง
ซึ่งในตอนนี้คุณอาจต้องใช้ขันติในการถูกหลอกล่อด้วยความคิดของมายาดวงจิต ให้คิดอาย คิดกลัวอยู่
แต่เมื่อคุณเห็นจริงแล้ว คุณจะไม่กลัวความคิดนั้นอีก ก็จะเห็นว่า สังขารขันธ์ หรือความคิด ก็สักแต่ว่าคิด ไม่สามารถทำให้เราเป็นทุกข์ได้ ซึ่งนั่นก็คือการวิปัสสนาในขณะที่สังขารกำลังปรุงแต่งความคิดนั่นเอง
ระบบได้เคยกล่าวไว้ในกระทู้ก่อนนี้แล้วว่า “ทุกข์มีค่ามากกว่าทอง”
ดังนั้น ถ้าระบบได้จัดความทุกข์ในเรื่องของการละความกลัวมาให้ท่านใดได้เรียน ก็ขอให้เรียนให้ผ่านโดยเร็วนะคะ เพราะบททดสอบต่อไป...กำลังรออยู่ ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
หลาย ๆ ท่านที่ได้เข้ามาร่วมงาน บางท่านก็ไม่กลัว ไม่ห่วงหน้าตา ยินดีเข้ามาร่วมงาน โดยเปิดเผยหน้าตาให้บุคคลทั่วไปได้เห็น แต่อีกหลายท่านอาจยังไม่กล้า เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นบุคคลที่ถูกคนอื่นหาว่าเพ้อเจ้อ หรือเพี้ยนไป
รุ่นก่อน ผู้ฝึกในรุ่นแรก ๆ ก็เจอปัญหาเช่นนี้มาก่อนกันทุกคน ก่อนที่จะมีการมารับรู้เรื่องของธรรมะ ก่อนที่จะมามีการรับรู้กฏของธรรมชาติ
เพราะแต่ละคนที่เข้ามาฝึกแบบเป็นกลุ่มนั้น มาจากผู้ที่มีหน้าตามีตา มีการงานทำ มีชื่อเสียง เป็นผู้ที่มีอัตตากันมาก่อนทั้งนั้น แต่เมื่อเข้ามาเรียนรู้ มาฝึก และเจตนาที่จะปล่อยวาง ลดละเลิก ก็จะได้รับบททดสอบอย่างเข้มข้น รุนแรง เรียกว่า ต้องใช้กำลังดวงจิตอย่างแรงกล้า มีสติในการพิจารณาขันธ์ 5 เพื่อเห็นการปรุงแต่งเหล่านั้น แล้วปล่อยวางให้ทัน เพื่อที่จะได้ไม่ทุกข์
ระบบมีการจัดสถานการณ์ จัดบททดสอบ จัดแบบฝึกหัดมาให้นั้น เรียกว่าเป็นการ...ตี...ให้ละ อย่าเกาะขันธ์ 5 ไม่ว่าขันธ์ใด ๆ ให้ปล่อยวางอย่างรวดเร็ว
บททดสอบเกี่ยวกับความกลัว และประสบการณ์ของผู้ฝึกฯ เฉพาะกิจรุ่น 1
เป็นเรื่องที่เป็นเบสิคพื้นฐานของมนุษย์โดยทั่ว ๆ ไป ที่จะต้องมีความกลัวในเรื่องต่าง ๆ รอบตัวมากมาย กลัวเสียชื่อเสียง กลัวคนนินทา กลัวคนไม่รัก กลัวเขาดูถูก กลัวไปสารพัดเรื่อง โดยไม่เคยคิดว่า สิ่งที่กำลังกลัวนั้นเป็นเพราะเราอุปาทาน คือยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรา ชื่อเสียงเรา หน้าตาเรา และสิ่งที่วนเวียนอยู่ในความคิดล่อหลอกให้สุขทุกข์ กังวลตลอดเวลานั้น ก็คิดว่าเป็นความคิดของเรา มันจึงยังต้องมีสุข มีทุกข์ มีความกังกล มีความห่วงใยตัวตนของเราอยู่ตลอดเวลา
เรียกว่ามีการจัดบททดสอบ ในด้านเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ไปพร้อม ๆ กันเลย
เพราะปกติโดยทั่วไป เรามักจะไม่อยากที่จะไปเกี่ยวข้องกับสิ่งใด ๆ ก็ตาม ที่จะเป็นการทำให้เสียชื่อเสียง ทำให้คนนินทา ทำให้คนเห็นว่าบ้า ทำให้คนส่วนใหญ่หมดความเชื่อถือ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรามักจะหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ ถ้าเป็นไปได้ ดังนั้น พี่สุดใจ คุณ no.9 หรือผู้ฝึกทุกคน ก็มีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
แต่เมื่อเราได้เรียนรู้ในธรรมะของพระพุทธเจ้า ได้เรียนรู้ในกฎของธรรมชาติ ได้รับทราบข้อมูลในมุมมองของธรรมชาติโดยผ่านการอธิบาย และทำให้เห็นเป็นรูปธรรม จากผู้ที่มาจากดวงดาวอื่นนั้น ทำให้เริ่มเข้าใจในกลไกของขันธ์ห้าที่เราหลงยึดติดคิดว่าเป็นตัวเราของเรานั้น ชัดเจนยิ่งขึ้น
ดังนั้นในระบบการฝึกในเรื่องแรก ๆ ก็คือ การละทิฐิมานะ การละความถือตัวถือตน การละความกลัวเสียชื่อเสียงนั่นเอง
ในช่วงที่ฝึกนั้น มีการจัดความอาย มาให้มากมายที่ต้องข้าม เดินไปเป็นกลุ่มก็ให้รำข้างถนนเสียอย่างนั้น
คนแก่หรือชาวบ้านเดินผ่านไม่รู้จักเขาหรอก ก็ระบบให้เดินเรียงแถวเข้าไปไหว้เขา เขาก็งง และเป็นแบบนี้อยู่หลายวัน
หรือบางทีก็ให้ทาแป้งเสียขาวเว่อ ทาหน้าทาตา เดินออกไปตามที่ชุมชน ถอดรองเท้าเดินบ้าง สารพัดจะต้องทำ ซึ่งผู้ฝึกแต่ละคนหน้าตาดี ๆ ทั้งนั้น (หรือเปล่า)
และบางคนที่เคยไปร่วมประชุมกับสมาคมค้นคว้าทางจิต ของ ดร.เทพนม เมืองแมน ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ในวันเสาร์สุดท้ายของเดือน มีช่วงหนึ่งที่ ดร.เทพนม ได้เชิญกลุ่มเขากะลา(ในตอนนั้น) มาให้ข้อมูล ผู้ที่ไปในวันนั้น จะเห็นกลุ่มเขากะลาโกนศรีษะกันทั้งหญิงและชาย คนที่ไปฟังประชุมส่วนใหญ่ก็จะมองเห็นว่าเป็นกลุ่มคนเพื้ยน ๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งในครั้งนั้นเป็นการกระทบจิตในขั้นรุนแรง และใกล้ ๆ จบกันแล้ว ซึ่งในขั้นแรก ๆ ก็อายแสนอาย ก็ทุกข์กันไป แต่เมื่อยังไม่ข้ามผ่าน ก็เรียนกันอยู่นั่นแหละ
หนังสือธรรมะที่มีเป็นตู้ จึงพอเป็น ธรรมโอสถ รักษาเยียวยาจิตใจ ในความเห็นผิดยึดติดในขันธ์ห้าได้ และได้มีการนำมาให้อ่านให้เข้าใจ ว่าที่ยังทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่นว่านี่เป็นตัวเรา หน้าตาของเรา ชื่อเสียงของเรา จึงต้องทุกข์อยู่กับการมีอุปาทานขันธ์ห้านี้ ถ้ายังมีตัวเราก็ยังทุกข์ร่ำไป ยังกลัวร่ำไป ก็เลยเริ่มเข้าใจ ความอายน้อยลง ทิฐิมานะน้อยลง มีความอดทนกับบุคคลอื่น ๆ ที่ไม่เข้าใจ หาว่าเราบ้า เราเพี้ยน ได้มากขึ้น ความทุกข์ในความห่วงตัวตนน้อยลง จึงมีความสงบในจิตมากขึ้น ไม่ค่อยสะดุ้งสะเทือนกับการที่จะถูกมายาดวงจิตล่อหลอกให้กลัวโน่น กลัวนี่ กลัวสารพัด ตอนนี้ก็เหลือน้อยลงทุกที แทบจะไม่มีการกระทบในเรื่องเหล่านี้อีก
ดังนั้น โดยปกติทั่วไป เราก็ไม่อยากให้ใครเห็นหน้าเห็นตาเรา และยิ่งมาทำในเรื่องที่ค่อนข้างเพี้ยนอย่างนี้ การเสียชื่อเสียงย่อมมีอยู่แล้ว แต่เมื่อลองพิจารณาดูให้ดี ก็จะรู้ว่า เมื่อความคิดที่คิดว่ากลัวเข้ามา แล้วคุณถอยออกมาดูความคิดนั้น คุณก็จะเห็นว่า มันสักแต่ว่าคิด มันไม่ได้มีความกลัวจริงอยู่ในนั้น ไม่มีใครเป็นผู้ที่กลัวเลย เมื่อเห็นความคิด เมื่อรู้เท่าทันความคิด คุณก็จะไม่กลัวความคิดนั้น ไม่ทุกข์กับความคิดนั้น แล้วคุณก็จะก้าวข้ามความกลัว ก้าวข้ามความคิดที่จะล่อหลอกให้คุณไปยึดติดว่าเป็นความคิดของคุณ แล้วทุกข์ไปกับความคิดนั้นนั่นเอง
ซึ่งในตอนนี้คุณอาจต้องใช้ขันติในการถูกหลอกล่อด้วยความคิดของมายาดวงจิต ให้คิดอาย คิดกลัวอยู่
แต่เมื่อคุณเห็นจริงแล้ว คุณจะไม่กลัวความคิดนั้นอีก ก็จะเห็นว่า สังขารขันธ์ หรือความคิด ก็สักแต่ว่าคิด ไม่สามารถทำให้เราเป็นทุกข์ได้ ซึ่งนั่นก็คือการวิปัสสนาในขณะที่สังขารกำลังปรุงแต่งความคิดนั่นเอง
ระบบได้เคยกล่าวไว้ในกระทู้ก่อนนี้แล้วว่า “ทุกข์มีค่ามากกว่าทอง”
ดังนั้น ถ้าระบบได้จัดความทุกข์ในเรื่องของการละความกลัวมาให้ท่านใดได้เรียน ก็ขอให้เรียนให้ผ่านโดยเร็วนะคะ เพราะบททดสอบต่อไป...กำลังรออยู่ ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
................................
พี่สุดใจ กับบทฝึกจากระบบ
เพื่อการก้าวข้ามเรื่องความกลัว
เป็นตัวอย่างของพี่สุดใจเอง ที่เมื่อก่อนนี้ เป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง โกรธง่าย โมโหร้าย
ไม่มีสติไตร่ตรองในธรรม อยากได้อะไร ต้องได้อย่างนั้น ฉันเก่ง ฉันแน่ ฉันดีกว่าใคร ๆ
มีแต่อัตตาตัวตนมากมาย มีแต่ความวุ่นวายอยู่แต่กับการเห็นว่าเป็นตัวฉัน ของฉัน แล้วมุ่งแต่บำรุงบำเรอขันธ์ของฉันเองตลอดเวลา
พอวันนี้ ได้มองย้อนกลับไป ก็เข้าใจถึงคำว่า อัตตา คำว่าอวิชชา คำว่าอุปาทานขันธ์ 5
จึงเห็นว่า ยังมีคนอีกมากมาย วนเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ ในความไม่รู้ ในความเห็นที่เป็นตัวตน
เหมือนอย่างเช่นพี่สุดใจเคยเป็นมาก่อน ก่อนที่จะมาพบเจอ และมาร่วมทำงานกับ "กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)" ในขณะนี้
ขอนำมาให้อ่านเป็นตัวอย่าง เป็นการให้กำลังใจกับหลาย ๆ ท่านที่กำลังเผชิญทุกข์อยู่ในขณะนี้
และอาจเป็นการเปิดมุมมอง เห็นแนวทางในการออกจากทุกข์ได้บ้าง
เพราะทุกคนมีกรรม วิบากกรรม เป็นตัวกำหนดให้เกิดมาตามกรรมนั้น ๆ สิ่งที่แต่ละท่านกำลังประสบอยู่ กำลังเผชิญอยู่ ก็ต้องอยู่ในวิบากกรรมของแต่ละท่านนั่นเอง คือถึงแม้ไม่ได้อยู่ในโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติของมนุษย์ต่างดาว แต่เกิดมาอยู่บนโลกใบนี้ดังเช่นบุคคลทั่วไป ท่านก็ต้องมีการรับวิบากดี หรือวิบากไม่ดีอย่างนี้อยู่แล้ว ตรงไปตรงมา ตามกฏแห่งกรรม
แต่ว่า เมื่อมีโอกาสได้เข้าร่วมงานกัน วิบากเหล่านั้นก็ต้องถูกส่งมาตามเวลาของเขา แต่ว่ามีการ...ชี้ให้เห็น มีการ...แนะนำวิธีการคิด เพื่อจะ...มองให้เป็น แล้วก็..ก้าวข้ามวิบากที่กำลังเผชิญนั้นด้วยความเข้าใจ วิบากมา ก็มองเห็นแล้วดูมันไป เพราะวิบากมันก็...มาตามงาน ของมัน
คือขันธ์ 5 นี้ ได้สร้างวิบากไว้ สิ่งเหล่านั้นก็ส่งกลับมาให้นั่นเอง
ดังนั้น พี่สุดใจ ก็มีวิบากเก่ามากมาย มีทุกข์หลากหลายประดังประเดเข้ามา
ดังนั้น ในช่วงเวลาที่เข้ามาพบเจอธรรมะ เข้ามาปฏิบัติธรรมแล้ว ก็เจอวิบากมากมาย แสนสาหัส
แต่เมื่อเข้าใจ ถึงเหตุที่มาที่ไปของความทุกข์ ว่าเกิดจากการมีขันธ์ 5 เป็นของตน จึงส่งผลดังนี้ ก็จะไม่ไปโทษใคร ๆ ว่าเป็นเหตุให้เราทุกข์ จึงตั้งใจเรียนรู้ พิจารณาขันธ์ 5 ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์อันยาวนาน ก็เพราะมีขันธ์ 5 ที่เกิดมานั่นเอง
ทุกข์นี้ ไม่ได้อยู่ที่ใคร ไม่ได้อยู่ที่อะไร อยู่ที่ขันธ์ 5 ที่มีอวิชชาครอบงำนั่นเอง
ในช่วงฝึก คนอื่น ๆ อาจมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป ในส่วนของพี่สุดใจ นอกจากจะฝึกรวมกับกลุ่มในช่วงเวลาที่ระบบได้กำหนดไว้แล้วนั้น ก็จะมีการฝึกนอกเวลาโดยตรงจากมนุษย์ต่างดาว เรียกว่า เฉพาะกิจคนเดียว แยกออกมาในช่วงเวลาที่คนอื่น ๆได้พักกัน
เรียกว่า ยึดมามาก เอาออกยาก จึงต้องจัดแบบฝึกหัดเฉพาะตัวให้ เดี๋ยวจบไม่ทันเวลา
ดังนั้น การฝึกในรุ่นก่อน ๆ จึงเป็นรูปแบบการฝึกเข้มข้น จริงในจิตตอนนั้น
มีการแจก....ทุกข์
แล้วมีการชี้ให้เห็น....เหตุแห่งทุกข์
... บอกวิธีการ...ดับทุกข์
และสุดท้าย ต้องเรียกว่า....ตัวใครตัวมัน.... เอาตัวรอดจากทุกข์กันเอง....
ซึ่งในขณะนั้น แต่ละคนก็ตั้งหน้าตั้งตา หาทางดับทุกข์ หาทางออกจากทุกข์ของตนเอง เรียกว่า ลู่ใครลู่มัน ช่วยกันไม่ได้จริง ๆ
ผลที่ได้รับ .... ความเห็นผิดหลงยึดติดในขันธ์ 5 หน้าตา ชื่อเสียง ในโลกธรรม 8 นั้น เริ่มถูกสั่นคลอน เริ่มเห็นจริงในสัจธรรมมากขึ้น
ความทุกข์ที่เคยมีมากมายในช่วงเวลาที่ยังไม่ได้เข้ามาปฏิบัติธรรมนั้น มันลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
เพราะก่อนหน้านั้น แม้ว่าจะอยู่ในสังคม ในหน้าที่การงาน ในเงินตราที่ได้รับมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีนั้น มันไม่ได้ให้ความสุข ความสงบที่แท้จริง
มันผสมผสานไปด้วยความความกลัว ความทุกข์ ทั้งมาก ทั้งน้อย เพราะความทะยานอยาก ผลักดันให้ต้องเสาะหา ต้องสะสม ต้องเตรียมการสิ่งต่าง ๆ ไว้ เพราะกลัวว่าสิ่งเหล่านั้นจะสูญสลายไป จะไม่มีเงินใช้ เจ็บป่วยต้องทำอย่างไร กลัวอนาคตจะไม่สดใส สิ่งที่เรียกว่าความสุข แม้มีเข้ามาก็ไม่ยั่งยืน จึงหาความสงบทางใจไม่ได้ในแต่ละวัน
แต่เมื่อผ่านพ้นวิกฤติการฝึกนั้น ๆ มา จึงพบว่า .... ความทุกข์มีค่ามากกว่าทอง... จริง ๆ
เป็นตัวอย่างของพี่สุดใจเอง ที่เมื่อก่อนนี้ เป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง โกรธง่าย โมโหร้าย
ไม่มีสติไตร่ตรองในธรรม อยากได้อะไร ต้องได้อย่างนั้น ฉันเก่ง ฉันแน่ ฉันดีกว่าใคร ๆ
มีแต่อัตตาตัวตนมากมาย มีแต่ความวุ่นวายอยู่แต่กับการเห็นว่าเป็นตัวฉัน ของฉัน แล้วมุ่งแต่บำรุงบำเรอขันธ์ของฉันเองตลอดเวลา
พอวันนี้ ได้มองย้อนกลับไป ก็เข้าใจถึงคำว่า อัตตา คำว่าอวิชชา คำว่าอุปาทานขันธ์ 5
จึงเห็นว่า ยังมีคนอีกมากมาย วนเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ ในความไม่รู้ ในความเห็นที่เป็นตัวตน
เหมือนอย่างเช่นพี่สุดใจเคยเป็นมาก่อน ก่อนที่จะมาพบเจอ และมาร่วมทำงานกับ "กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)" ในขณะนี้
ขอนำมาให้อ่านเป็นตัวอย่าง เป็นการให้กำลังใจกับหลาย ๆ ท่านที่กำลังเผชิญทุกข์อยู่ในขณะนี้
และอาจเป็นการเปิดมุมมอง เห็นแนวทางในการออกจากทุกข์ได้บ้าง
เพราะทุกคนมีกรรม วิบากกรรม เป็นตัวกำหนดให้เกิดมาตามกรรมนั้น ๆ สิ่งที่แต่ละท่านกำลังประสบอยู่ กำลังเผชิญอยู่ ก็ต้องอยู่ในวิบากกรรมของแต่ละท่านนั่นเอง คือถึงแม้ไม่ได้อยู่ในโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติของมนุษย์ต่างดาว แต่เกิดมาอยู่บนโลกใบนี้ดังเช่นบุคคลทั่วไป ท่านก็ต้องมีการรับวิบากดี หรือวิบากไม่ดีอย่างนี้อยู่แล้ว ตรงไปตรงมา ตามกฏแห่งกรรม
แต่ว่า เมื่อมีโอกาสได้เข้าร่วมงานกัน วิบากเหล่านั้นก็ต้องถูกส่งมาตามเวลาของเขา แต่ว่ามีการ...ชี้ให้เห็น มีการ...แนะนำวิธีการคิด เพื่อจะ...มองให้เป็น แล้วก็..ก้าวข้ามวิบากที่กำลังเผชิญนั้นด้วยความเข้าใจ วิบากมา ก็มองเห็นแล้วดูมันไป เพราะวิบากมันก็...มาตามงาน ของมัน
คือขันธ์ 5 นี้ ได้สร้างวิบากไว้ สิ่งเหล่านั้นก็ส่งกลับมาให้นั่นเอง
ดังนั้น พี่สุดใจ ก็มีวิบากเก่ามากมาย มีทุกข์หลากหลายประดังประเดเข้ามา
ดังนั้น ในช่วงเวลาที่เข้ามาพบเจอธรรมะ เข้ามาปฏิบัติธรรมแล้ว ก็เจอวิบากมากมาย แสนสาหัส
แต่เมื่อเข้าใจ ถึงเหตุที่มาที่ไปของความทุกข์ ว่าเกิดจากการมีขันธ์ 5 เป็นของตน จึงส่งผลดังนี้ ก็จะไม่ไปโทษใคร ๆ ว่าเป็นเหตุให้เราทุกข์ จึงตั้งใจเรียนรู้ พิจารณาขันธ์ 5 ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์อันยาวนาน ก็เพราะมีขันธ์ 5 ที่เกิดมานั่นเอง
ทุกข์นี้ ไม่ได้อยู่ที่ใคร ไม่ได้อยู่ที่อะไร อยู่ที่ขันธ์ 5 ที่มีอวิชชาครอบงำนั่นเอง
ในช่วงฝึก คนอื่น ๆ อาจมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป ในส่วนของพี่สุดใจ นอกจากจะฝึกรวมกับกลุ่มในช่วงเวลาที่ระบบได้กำหนดไว้แล้วนั้น ก็จะมีการฝึกนอกเวลาโดยตรงจากมนุษย์ต่างดาว เรียกว่า เฉพาะกิจคนเดียว แยกออกมาในช่วงเวลาที่คนอื่น ๆได้พักกัน
เรียกว่า ยึดมามาก เอาออกยาก จึงต้องจัดแบบฝึกหัดเฉพาะตัวให้ เดี๋ยวจบไม่ทันเวลา
ดังนั้น การฝึกในรุ่นก่อน ๆ จึงเป็นรูปแบบการฝึกเข้มข้น จริงในจิตตอนนั้น
มีการแจก....ทุกข์
แล้วมีการชี้ให้เห็น....เหตุแห่งทุกข์
... บอกวิธีการ...ดับทุกข์
และสุดท้าย ต้องเรียกว่า....ตัวใครตัวมัน.... เอาตัวรอดจากทุกข์กันเอง....
ซึ่งในขณะนั้น แต่ละคนก็ตั้งหน้าตั้งตา หาทางดับทุกข์ หาทางออกจากทุกข์ของตนเอง เรียกว่า ลู่ใครลู่มัน ช่วยกันไม่ได้จริง ๆ
ผลที่ได้รับ .... ความเห็นผิดหลงยึดติดในขันธ์ 5 หน้าตา ชื่อเสียง ในโลกธรรม 8 นั้น เริ่มถูกสั่นคลอน เริ่มเห็นจริงในสัจธรรมมากขึ้น
ความทุกข์ที่เคยมีมากมายในช่วงเวลาที่ยังไม่ได้เข้ามาปฏิบัติธรรมนั้น มันลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
เพราะก่อนหน้านั้น แม้ว่าจะอยู่ในสังคม ในหน้าที่การงาน ในเงินตราที่ได้รับมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีนั้น มันไม่ได้ให้ความสุข ความสงบที่แท้จริง
มันผสมผสานไปด้วยความความกลัว ความทุกข์ ทั้งมาก ทั้งน้อย เพราะความทะยานอยาก ผลักดันให้ต้องเสาะหา ต้องสะสม ต้องเตรียมการสิ่งต่าง ๆ ไว้ เพราะกลัวว่าสิ่งเหล่านั้นจะสูญสลายไป จะไม่มีเงินใช้ เจ็บป่วยต้องทำอย่างไร กลัวอนาคตจะไม่สดใส สิ่งที่เรียกว่าความสุข แม้มีเข้ามาก็ไม่ยั่งยืน จึงหาความสงบทางใจไม่ได้ในแต่ละวัน
แต่เมื่อผ่านพ้นวิกฤติการฝึกนั้น ๆ มา จึงพบว่า .... ความทุกข์มีค่ามากกว่าทอง... จริง ๆ
..............................
....คำเตือน....เป็นรูปแบบ และความเชื่อเฉพาะกลุ่มค่ะ
สิ่งที่จะเล่าต่อไป ในรูปแบบการฝึกเพื่อการลด ละ เลิก การปล่อยวางขันธ์ห้านั้น "เป็นการฝึกเฉพาะกลุ่ม" เพราะไม่สามารถที่บุคคลทั่วไปจะเข้าใจได้ มันเหมือนกับว่าทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ ไม่ใช่รูปแบบของการฝึกธรรมะ
เพราะมนุษย์ต่างดาว ไม่ได้ให้ความสำคัญกับรูปแบบ แต่ให้ความสำคัญกับจิตใจมากกว่า
รูปแบบไหน ทำให้มีความเข้าใจ ปล่อยวางได้เร็ว ก็จะจัดรูปแบบนั้นมาสอน เรียกว่า จัดแบบการสอนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ตามจริตของบุคคลนั้น ๆ
เรียกว่า ... ระบบจัดให้.... ในทุกรูปแบบนั่นเอง
สิ่งที่จะเล่าต่อไป ในรูปแบบการฝึกเพื่อการลด ละ เลิก การปล่อยวางขันธ์ห้านั้น "เป็นการฝึกเฉพาะกลุ่ม" เพราะไม่สามารถที่บุคคลทั่วไปจะเข้าใจได้ มันเหมือนกับว่าทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ ไม่ใช่รูปแบบของการฝึกธรรมะ
เพราะมนุษย์ต่างดาว ไม่ได้ให้ความสำคัญกับรูปแบบ แต่ให้ความสำคัญกับจิตใจมากกว่า
รูปแบบไหน ทำให้มีความเข้าใจ ปล่อยวางได้เร็ว ก็จะจัดรูปแบบนั้นมาสอน เรียกว่า จัดแบบการสอนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ตามจริตของบุคคลนั้น ๆ
เรียกว่า ... ระบบจัดให้.... ในทุกรูปแบบนั่นเอง
................................
ดังนั้น
การที่จะนำออกมาเล่าให้สาธารณะชนได้รับทราบนั้น น้อยคนนักที่จะทำความเข้าใจได้จริง
ๆ ทางผู้ฝึกเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่สุดใจ หรือ no.9 ก็ตาม
ก็จะพยายามที่จะเล่าให้น้อยที่สุด และใช้คำพูดที่เบาที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้
เพื่อให้ท่านฟังแล้วพอเข้าใจ แต่นั่นเทียบไม่ได้กับความรู้สึกจริง ๆ ของความทุกข์
ที่ผู้ฝึกที่ต้องก้าวข้ามเลย
รูปแบบการฝึกกับมนุษย์ต่างดาวนั้น จะมีเทคโนโลยีเป็นอุปกรณ์ไฮเทคจากต่างดาวมาเป็นอุปกรณ์ในการช่วยฝึก อุปกรณ์ดังกล่าวจับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น แต่ใช้งานได้จริง และมีการนำมาใช้เฉพาะกิจสำหรับผู้ที่ต้องฝึกฯ กับระบบ
ดังนั้น ทุกคนที่อยากจะเห็นเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวนั้น ผู้ฝึกแต่ละคนพบเจอมามาก พบเห็นมามาก และสัมผัสมานานนับ 10 ปีแล้ว ซึ่งหากพูดไปก็จะกลายเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เป็นไปไม่ได้ในความคิดของคนทั่ว ๆ ไปอย่างแน่นอน
ซึ่งอุปกรณ์เทคโนโลยีจากต่างดาวนั้น ได้มีการนำมาให้ใช้ใน 2 รูปแบบ
คือนำมาประกอบการฝึกเพื่อการเรียนรู้ (ประโยชน์ตน)
และนำมาให้ใช้เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในช่วงเกิดภัยพิบัติ(ประโยชน์ท่าน)
แม้อาจจะดูแปลกออกไปในรูปแบบ แต่ไม่แตกต่างไปจากจุดมุ่งหมายในการปล่อยวางแต่อย่างใด
เพราะหากมีการนำการฝึกโดยระบบ มาเทียบเคียงกับธรรมะของพระพุทธองค์ และสามารถเข้าใจความหมายของการฝึกโดยระบบ เพื่อให้ผู้ฝึกปล่อยวางขันธ์ห้านั้น มีความเป็นไปได้ หากมีความเห็นที่ถูกต้อง ก็สามารถปล่อยวางได้จริง ซึ่งแม้จะเป็นรูปแบบใหม่ แต่เข้าใจได้ไม่ยากเลย ซึ่งในที่นี้มิได้หมายความว่าต้องพบเจอ ต้องถูกฝึกอย่างพี่สุดใจนะคะ เพียงแค่ให้มองถึงจุดมุ่งหมายในการฝึก และผลที่ได้หลังการฝึกแล้ว ว่ามีการลด ละ เลิก ในกิเลส ตัณหา อุปาทานต่าง ๆ ได้มากน้อยแค่ไหนนั่นเอง
ที่พี่สุดใจกล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้ท่านที่สนใจติดตามอ่านอย่างต่อเนื่องมาตลอด ได้พิจารณาในสิ่งที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ หากสิ่งใดที่เป็นประโยชน์และเมื่อลองทำตามแล้วดับทุกข์ได้จริง ก็ค่อยรับไป
หากสิ่งใดเกินที่จะเชื่อได้ อ่านแล้วทำให้เกิดทุกข์ ก็ขอให้ท่านมองผ่านข้อความเหล่านี้ไป เพราะไม่คุ้มกับการที่เราจะต้องไปทุกข์กับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเราเลย
รูปแบบการฝึกกับมนุษย์ต่างดาวนั้น จะมีเทคโนโลยีเป็นอุปกรณ์ไฮเทคจากต่างดาวมาเป็นอุปกรณ์ในการช่วยฝึก อุปกรณ์ดังกล่าวจับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น แต่ใช้งานได้จริง และมีการนำมาใช้เฉพาะกิจสำหรับผู้ที่ต้องฝึกฯ กับระบบ
ดังนั้น ทุกคนที่อยากจะเห็นเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวนั้น ผู้ฝึกแต่ละคนพบเจอมามาก พบเห็นมามาก และสัมผัสมานานนับ 10 ปีแล้ว ซึ่งหากพูดไปก็จะกลายเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เป็นไปไม่ได้ในความคิดของคนทั่ว ๆ ไปอย่างแน่นอน
ซึ่งอุปกรณ์เทคโนโลยีจากต่างดาวนั้น ได้มีการนำมาให้ใช้ใน 2 รูปแบบ
คือนำมาประกอบการฝึกเพื่อการเรียนรู้ (ประโยชน์ตน)
และนำมาให้ใช้เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในช่วงเกิดภัยพิบัติ(ประโยชน์ท่าน)
แม้อาจจะดูแปลกออกไปในรูปแบบ แต่ไม่แตกต่างไปจากจุดมุ่งหมายในการปล่อยวางแต่อย่างใด
เพราะหากมีการนำการฝึกโดยระบบ มาเทียบเคียงกับธรรมะของพระพุทธองค์ และสามารถเข้าใจความหมายของการฝึกโดยระบบ เพื่อให้ผู้ฝึกปล่อยวางขันธ์ห้านั้น มีความเป็นไปได้ หากมีความเห็นที่ถูกต้อง ก็สามารถปล่อยวางได้จริง ซึ่งแม้จะเป็นรูปแบบใหม่ แต่เข้าใจได้ไม่ยากเลย ซึ่งในที่นี้มิได้หมายความว่าต้องพบเจอ ต้องถูกฝึกอย่างพี่สุดใจนะคะ เพียงแค่ให้มองถึงจุดมุ่งหมายในการฝึก และผลที่ได้หลังการฝึกแล้ว ว่ามีการลด ละ เลิก ในกิเลส ตัณหา อุปาทานต่าง ๆ ได้มากน้อยแค่ไหนนั่นเอง
ที่พี่สุดใจกล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้ท่านที่สนใจติดตามอ่านอย่างต่อเนื่องมาตลอด ได้พิจารณาในสิ่งที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ หากสิ่งใดที่เป็นประโยชน์และเมื่อลองทำตามแล้วดับทุกข์ได้จริง ก็ค่อยรับไป
หากสิ่งใดเกินที่จะเชื่อได้ อ่านแล้วทำให้เกิดทุกข์ ก็ขอให้ท่านมองผ่านข้อความเหล่านี้ไป เพราะไม่คุ้มกับการที่เราจะต้องไปทุกข์กับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเราเลย
.............................
ในสิ่งที่พี่สุดใจได้เคยกล่าวไว้ในกระทู้นี้ในช่วงต้น ๆ นั้น
ว่าการฝึกจะมี 2 รูปแบบ คือการฝึกธรรมะ ฟังธรรม ปฏิบัติสมาธิ
กำหนดสติ และรับวาระการฝึกต่าง ๆ และอีกส่วนหนึ่งก็คือ การฝึกรับคลื่นจากต่างดาว
ซึ่งในการรับคลื่นนั้นเราจะเรียกว่า การประมวลพลัง
ทุกคนที่ฝึกก็จะมีรูปแบบคล้ายกันเช่นนี้ แต่การฝึก ฝึกตามจริตแต่ละคน ซึ่งผู้ที่ทำการฝึกนั้นระบบจะบอกว่า 1 ต่อ 1 คือครู 1 คน นักเรียน 1 คน
ดังนั้น นักเรียนก็คือกลุ่มผู้ฝึกฯ ครูก็คือผู้ที่มีความเจริญทางจิตสูงแต่อยู่ดวงดาวอื่น และเป็นผู้รับผิดชอบดูแลนักเรียนคนนั้นเป็นการเฉพาะกิจของโครงการนี้ ซึ่งเรียกได้ว่า ตัวต่อตัวเลยทีเดียว จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ที่พอผู้ฝึกคิดอะไร บททดสอบก็มาเลยในทันที ณ ขณะนั้น ถ้าเผลอสติเมื่อไร ก็จะทุกข์ไปกับความคิดที่มาหลอกล่อทันที จึงจำเป็นต้องมีสติรู้เท่าทันความคิดตลอดเวลา (ไม่ใช่อยากมีสติตลอดเวลาหรอกนะคะ แต่เผลอเมื่อไร ทุกข์ทุกที จนเข็ด)
พี่สุดใจ จะขอเล่าในส่วนที่พบเจอด้วยตัวเองเท่านั้น สำหรับคนอื่น ๆ ก็พบเจอแตกต่างกัน ตามแต่การยึดติดในแต่ละอย่าง ดังนั้น การสอนให้ละกิเลส จึงต้องสอนตามจริตของแต่ละคนที่จะสามารถเข้าใจได้
พี่สุดใจเป็นคนที่ดื้อที่สุด ไม่เชื่อที่สุด และค่อนข้างจะลองดีมากที่สุด ดังนั้น ความที่เป็นคนไม่เคยยอมใคร เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ชอบให้ใครบังคับ รวมทั้งไม่ยอมปฏิบัติธรรมะด้วยในตอนแรก การพบเจอระบบการฝึก จึงค่อนข้างจะหนักกว่าคนอื่น ๆพี่สุดใจจะขอเล่าคร่าว ๆ ยกตัวอย่างบางเรื่องให้ทราบ เพราะความจริงแล้วมีมากมายเหลือเกิน
พี่สุดใจเป็นคนที่กลัวความมืด กลัวผี กลัวยุง กลัวงู กลัวสารพัด ดังนั้น การที่อยู่บนเขากะลา ก็จะต้องพบเจอทั้งยุง ทั้งความมืด ทั้งงู ในความคิดจึงมีแต่ความหวาดระแวง คอยมองซ้ายมองขวาตลอดแม้แต่ตอนปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ ความคิด ความกลัวก็จะหลอกล่ออยู่เสมอ จึงไม่มีความสงบเลยตอนนั้น
จนเข้าสู่ระบบการฝึก หลังจากลงทะเบียนการฝึกครั้งแรกกับระบบแล้ว (การลงทะเบียน คือการลงลายมือชื่อเข้ารับการฝึก หมายถึงผู้นั้นยินยอมรับการฝึกโดยระบบ ในรุ่นแรก 39 บุคคล) ก็เริ่มได้รับแจกอุปกรณ์ประกอบการฝึกเลย พี่สุดใจสัมผัสได้กับอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว ที่เป็นเทคโนโลยีก็คือระบบคอลโทรล
คือเมื่อปฏิบัติธรรมเสร็จแล้วตามวาระ ทุกคนแยกย้ายกันไปนอน แต่พี่สุดใจ เข้านอนแล้ว ก็จู่ ๆ กลับต้องลุกขึ้นมาเดินออกจากที่พักลงจากเขา จะหยุดก็หยุดไม่ได้เพราะขาก้าวเดินไปอย่างเดียว จะเรียกคนอื่นก็พูดไม่ออก ตอนนั้นกลัวมาก กลัวความมืด กลัวผี กลัวงู กลัวไปหมด พยายามขืนตัวไว้ก็ไม่อยู่ ขาก้าวเดินไปเรื่อย ๆ ลงไปข้างล่างเขาที่เป็นถ้ำด้านล่าง แปลกที่ตรงว่า มันมืดมาก มองไม่ค่อยเห็นอะไร แต่กลับเดินลงไปไม่ชนอะไรเลย ไม่สะดุดหินที่เกะกะอยู่ที่พื้นให้ต้องหกล้มเลย เหมือนมีเรดาห์เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปเรื่อยๆ
ถ้าถามตอนนั้น ตกใจ กลัวมาก และหยุดเดินไม่ได้ มีสติครบถ้วน ความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาตอนนั้น บอกไม่ถูกว่ากลัวแค่ไหน ถือว่ากลัวที่สุดก็ว่าได้
เดินลงไปหน้าถ้ำที่มืดสนิท ไปนั่งที่โขดหิน ความคิดปรุงแต่งเรื่องที่น่ากลัวทั้งนั้น ความทุกข์ไม่ต้องพูดถึง มากทีเดียว นั่งอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ขาเราเองก็พาเราเองเดินกลับขึ้นมาบนเขาอย่างเดิม นี่เป็นครั้งแรก
พอรุ่งขึ้น ปฏิบัติธรรมเสร็จแล้ว ก็แยกย้ายกันไปนอน พี่สุดใจก็รีบเข้านอน เพราะกลัวจะต้องเดินลงเขาไปอีก พอหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย ก็ลุกพรวดขึ้นมา และเดินลงเขาไปอย่างเมื่อวาน ก็กลัวอีกเช่นเดิม คราวนี้เดินลงไปไกลกว่าเก่าอีก ก็ทุกข์กับการเดินในความมืดเช่นนี้อีกคืน และก็เป็นเช่นนี้อีกในคืนที่ 3
พอคืนที่ 4 พี่สุดใจเริ่มคิดใหม่ ตั้งหลักคิดใหม่เลยว่า เอา อยากเดินก็เดินไป ถ้าจะให้เราทำงานช่วยเหลือคน ก็ต้องดูแลขันธ์นี้เอาเอง ถ้างูกล้ากัด ฉันก็กล้าตาย ถ้าผีกล้าหลอก ฉันจะช็อคให้ดู เอาไปเลยตามสบาย นี่เป็นการคิดที่สวนทางกับทุกครั้ง เพราะ 3 คืนที่ผ่านมาทุกข์แทบตาย แต่ก็ยังต้องเดินลงไปอยู่ดี วันนี้ฉันจะไม่ทุกข์กับความคิด ที่คิดว่ากลัวอีกแล้ว พอกันที
หลังเที่ยงคืน ก็ลุกขึ้นแล้วเดินลงเขาอีกตามเคย แต่ตอนนี้พี่สุดใจเริ่มรู้เท่าทันความคิดที่เริ่มปรุงแต่งให้กลัวเหมือนเดิม พี่สุดใจก็คิดสวนไปเลยว่า แกอยากกลัวก็กลัวไป ฉันไม่กลัว ถ้างูกัด ก็แค่ตาย ก็ดีไม่ต้องลำบากไปช่วยใครเขา
แปลก ที่คราวนี้เดินลงไป ความคิดที่ล่อหลอกให้กลัว เรากลับไม่สนใจ ความคิดที่คิดว่ากลัวนั้นก็ทำอะไรเราไม่ได้ ขณะที่เดินไป ก็พิจารณาไป เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของความคิดที่เกิดขึ้นมาล่อหลอก เมื่อไม่สนใจมันก็ดับไป ความทุกข์ที่เคยมีมาหลายวัน ก็แทบไม่เหลือเลยในคืนนั้น ถือว่าวันนั้น ประสบชัยชนะเหนือความกลัวจนได้
หลังจากนั้น ในคืนถัดมาก็เดินลงเขาไปอีกคนเดียวเช่นเคย แต่ตอนนี้สบายมาก เมื่อขาพาเดินไปในความมืด ก็เดินไปร้องเพลงไป ไม่มีความรู้สึกทุกข์มากเหมือนเคยอีกแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการเดินต่อเนื่องมาอีก 2 – 3 คืน หลังจากนั้นก็ยุติการฝึกบทนี้ ไม่มีการเดินลงเขาคนเดียวอีกเลยหลังจากนั้น
ดังนั้น ผู้ที่มาเขากะลา ก็จะเห็นพี่สุดใจ เดินขึ้นเดินลงเขา เดินรอบเขา หรืออยู่คนเดียวทั้งคืนไม่เห็นค่อยกลัวอะไร หรือเดินไปเขากะลาคนเดียวก็ได้ตอนกลางคืน สนทนากับคนมาบนเขาได้เกือบทั้งคืน ซึ่งเมื่อก่อนก็กลัวเหมือนคนอื่นแหละ แต่พอเจอบทฝึกนี้ เลยเลิกกลัวไปเลย
ทุกคนที่ฝึกก็จะมีรูปแบบคล้ายกันเช่นนี้ แต่การฝึก ฝึกตามจริตแต่ละคน ซึ่งผู้ที่ทำการฝึกนั้นระบบจะบอกว่า 1 ต่อ 1 คือครู 1 คน นักเรียน 1 คน
ดังนั้น นักเรียนก็คือกลุ่มผู้ฝึกฯ ครูก็คือผู้ที่มีความเจริญทางจิตสูงแต่อยู่ดวงดาวอื่น และเป็นผู้รับผิดชอบดูแลนักเรียนคนนั้นเป็นการเฉพาะกิจของโครงการนี้ ซึ่งเรียกได้ว่า ตัวต่อตัวเลยทีเดียว จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ที่พอผู้ฝึกคิดอะไร บททดสอบก็มาเลยในทันที ณ ขณะนั้น ถ้าเผลอสติเมื่อไร ก็จะทุกข์ไปกับความคิดที่มาหลอกล่อทันที จึงจำเป็นต้องมีสติรู้เท่าทันความคิดตลอดเวลา (ไม่ใช่อยากมีสติตลอดเวลาหรอกนะคะ แต่เผลอเมื่อไร ทุกข์ทุกที จนเข็ด)
พี่สุดใจ จะขอเล่าในส่วนที่พบเจอด้วยตัวเองเท่านั้น สำหรับคนอื่น ๆ ก็พบเจอแตกต่างกัน ตามแต่การยึดติดในแต่ละอย่าง ดังนั้น การสอนให้ละกิเลส จึงต้องสอนตามจริตของแต่ละคนที่จะสามารถเข้าใจได้
พี่สุดใจเป็นคนที่ดื้อที่สุด ไม่เชื่อที่สุด และค่อนข้างจะลองดีมากที่สุด ดังนั้น ความที่เป็นคนไม่เคยยอมใคร เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ชอบให้ใครบังคับ รวมทั้งไม่ยอมปฏิบัติธรรมะด้วยในตอนแรก การพบเจอระบบการฝึก จึงค่อนข้างจะหนักกว่าคนอื่น ๆพี่สุดใจจะขอเล่าคร่าว ๆ ยกตัวอย่างบางเรื่องให้ทราบ เพราะความจริงแล้วมีมากมายเหลือเกิน
พี่สุดใจเป็นคนที่กลัวความมืด กลัวผี กลัวยุง กลัวงู กลัวสารพัด ดังนั้น การที่อยู่บนเขากะลา ก็จะต้องพบเจอทั้งยุง ทั้งความมืด ทั้งงู ในความคิดจึงมีแต่ความหวาดระแวง คอยมองซ้ายมองขวาตลอดแม้แต่ตอนปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ ความคิด ความกลัวก็จะหลอกล่ออยู่เสมอ จึงไม่มีความสงบเลยตอนนั้น
จนเข้าสู่ระบบการฝึก หลังจากลงทะเบียนการฝึกครั้งแรกกับระบบแล้ว (การลงทะเบียน คือการลงลายมือชื่อเข้ารับการฝึก หมายถึงผู้นั้นยินยอมรับการฝึกโดยระบบ ในรุ่นแรก 39 บุคคล) ก็เริ่มได้รับแจกอุปกรณ์ประกอบการฝึกเลย พี่สุดใจสัมผัสได้กับอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว ที่เป็นเทคโนโลยีก็คือระบบคอลโทรล
คือเมื่อปฏิบัติธรรมเสร็จแล้วตามวาระ ทุกคนแยกย้ายกันไปนอน แต่พี่สุดใจ เข้านอนแล้ว ก็จู่ ๆ กลับต้องลุกขึ้นมาเดินออกจากที่พักลงจากเขา จะหยุดก็หยุดไม่ได้เพราะขาก้าวเดินไปอย่างเดียว จะเรียกคนอื่นก็พูดไม่ออก ตอนนั้นกลัวมาก กลัวความมืด กลัวผี กลัวงู กลัวไปหมด พยายามขืนตัวไว้ก็ไม่อยู่ ขาก้าวเดินไปเรื่อย ๆ ลงไปข้างล่างเขาที่เป็นถ้ำด้านล่าง แปลกที่ตรงว่า มันมืดมาก มองไม่ค่อยเห็นอะไร แต่กลับเดินลงไปไม่ชนอะไรเลย ไม่สะดุดหินที่เกะกะอยู่ที่พื้นให้ต้องหกล้มเลย เหมือนมีเรดาห์เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปเรื่อยๆ
ถ้าถามตอนนั้น ตกใจ กลัวมาก และหยุดเดินไม่ได้ มีสติครบถ้วน ความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาตอนนั้น บอกไม่ถูกว่ากลัวแค่ไหน ถือว่ากลัวที่สุดก็ว่าได้
เดินลงไปหน้าถ้ำที่มืดสนิท ไปนั่งที่โขดหิน ความคิดปรุงแต่งเรื่องที่น่ากลัวทั้งนั้น ความทุกข์ไม่ต้องพูดถึง มากทีเดียว นั่งอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ขาเราเองก็พาเราเองเดินกลับขึ้นมาบนเขาอย่างเดิม นี่เป็นครั้งแรก
พอรุ่งขึ้น ปฏิบัติธรรมเสร็จแล้ว ก็แยกย้ายกันไปนอน พี่สุดใจก็รีบเข้านอน เพราะกลัวจะต้องเดินลงเขาไปอีก พอหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย ก็ลุกพรวดขึ้นมา และเดินลงเขาไปอย่างเมื่อวาน ก็กลัวอีกเช่นเดิม คราวนี้เดินลงไปไกลกว่าเก่าอีก ก็ทุกข์กับการเดินในความมืดเช่นนี้อีกคืน และก็เป็นเช่นนี้อีกในคืนที่ 3
พอคืนที่ 4 พี่สุดใจเริ่มคิดใหม่ ตั้งหลักคิดใหม่เลยว่า เอา อยากเดินก็เดินไป ถ้าจะให้เราทำงานช่วยเหลือคน ก็ต้องดูแลขันธ์นี้เอาเอง ถ้างูกล้ากัด ฉันก็กล้าตาย ถ้าผีกล้าหลอก ฉันจะช็อคให้ดู เอาไปเลยตามสบาย นี่เป็นการคิดที่สวนทางกับทุกครั้ง เพราะ 3 คืนที่ผ่านมาทุกข์แทบตาย แต่ก็ยังต้องเดินลงไปอยู่ดี วันนี้ฉันจะไม่ทุกข์กับความคิด ที่คิดว่ากลัวอีกแล้ว พอกันที
หลังเที่ยงคืน ก็ลุกขึ้นแล้วเดินลงเขาอีกตามเคย แต่ตอนนี้พี่สุดใจเริ่มรู้เท่าทันความคิดที่เริ่มปรุงแต่งให้กลัวเหมือนเดิม พี่สุดใจก็คิดสวนไปเลยว่า แกอยากกลัวก็กลัวไป ฉันไม่กลัว ถ้างูกัด ก็แค่ตาย ก็ดีไม่ต้องลำบากไปช่วยใครเขา
แปลก ที่คราวนี้เดินลงไป ความคิดที่ล่อหลอกให้กลัว เรากลับไม่สนใจ ความคิดที่คิดว่ากลัวนั้นก็ทำอะไรเราไม่ได้ ขณะที่เดินไป ก็พิจารณาไป เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของความคิดที่เกิดขึ้นมาล่อหลอก เมื่อไม่สนใจมันก็ดับไป ความทุกข์ที่เคยมีมาหลายวัน ก็แทบไม่เหลือเลยในคืนนั้น ถือว่าวันนั้น ประสบชัยชนะเหนือความกลัวจนได้
หลังจากนั้น ในคืนถัดมาก็เดินลงเขาไปอีกคนเดียวเช่นเคย แต่ตอนนี้สบายมาก เมื่อขาพาเดินไปในความมืด ก็เดินไปร้องเพลงไป ไม่มีความรู้สึกทุกข์มากเหมือนเคยอีกแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการเดินต่อเนื่องมาอีก 2 – 3 คืน หลังจากนั้นก็ยุติการฝึกบทนี้ ไม่มีการเดินลงเขาคนเดียวอีกเลยหลังจากนั้น
ดังนั้น ผู้ที่มาเขากะลา ก็จะเห็นพี่สุดใจ เดินขึ้นเดินลงเขา เดินรอบเขา หรืออยู่คนเดียวทั้งคืนไม่เห็นค่อยกลัวอะไร หรือเดินไปเขากะลาคนเดียวก็ได้ตอนกลางคืน สนทนากับคนมาบนเขาได้เกือบทั้งคืน ซึ่งเมื่อก่อนก็กลัวเหมือนคนอื่นแหละ แต่พอเจอบทฝึกนี้ เลยเลิกกลัวไปเลย
.........................
อีกครั้ง
ระบบพาไปฝึกริมทะเล ปราณบุรี ประจวบฯ ที่เขาเจ้าแม่ทับทิมทอง ซึ่งเป็นเขาสูง
และข้าง ๆ เขาจะลึกชันลงไปคล้ายเหว ซึ่งมีรั้วกั้นไว้
ตอนกลางวันหลังจากฝึกเสร็จช่วงบ่าย ๆ พี่สุดใจก็จะถูกขาตัวเองพาเดินไปทิ่ริมเขาทุกวัน วันแรกที่ไปก็ยังคิดว่าเขาพามาริมรั้วทำไม นึกว่าจะพามาดูวิว
แต่พอมาถึงริมรั้ว ก็ปีนข้ามรั้วไปด้านนอก ซึ่งเป็นพื้นหินที่ยื่นออกไปสักประมาณ 1 เมตรเห็นจะได้ และเมื่อก้มมองลงไปลึกชันคล้ายเหว ถ้าตกลงไปก็รอดยากเชียวละ
พอข้ามไปได้ มือก็ปล่อยรั้วทันที และเดินออกไปริมสุดขอบเหว พี่สุดใจก็กลัวว่าตัวเองจะตกลงไป ก็พยายามเอียงตัวเข้ามาด้านในมากที่สุด ตัวเอียงเข้ามาแล้วแต่ขาก็ยังเดินริมเหวอยู่ตามเดิม ความกลัวก็ถาโถมเข้ามา ความคิดก็ยุยงส่งเสริมว่าต้องตกไปตายแน่เลย หรืออาจจะสาหัส หรือพิการไปเลย ก็ทุกข์ไปตามระเบียบในวันนั้นซึ่งคนที่ฝึกร่วมกัน ก็ได้แต่มองดู ไม่มีใครช่วยใครได้ เพราะบทฝึกของใครของมัน อย่างดีก็เตรียมส่งโรงพยาบาลแค่นั้น
วันต่อมาก็ปีนรั้วไปเดินอย่างเดิมอีก คราวนี้ก็กลัว แต่น้อยกว่าเดิม เพราะเริ่มจับทางความคิดได้แล้ว แต่ก็ยังคงกลัวอยู่
แต่พอวันที่ 3 คราวนี้ความคิดเริ่มล่อหลอกเหมือนเดิม แต่มีสติมากขึ้นแล้ว เลยคิดย้อนกลับไปเลยว่า ถ้าแกกล้าตก ฉันก็กล้าตาย ถ้าจะให้ทำงานก็ดูแลขันธ์นี้เอาเองละกัน คิดอย่างนี้ได้แล้วไม่ใช่ว่าขันธ์จะยอมหยุดนะ ขาก็ยังคงก้าวข้ามรั้วไปอยู่ดี แต่ตอนนี้พี่สุดใจมีไม้เด็ด คือหลับตาเลย แล้วให้ขามันเดินเอาเอง จะตกหรือจะรอดเรื่องของขา เรื่องของเขา เรื่องของมนุษย์ต่างดาวจัดการเองก็แล้วกัน
เมื่อหลับตา มองไม่เห็น มันก็ไม่กลัว เพราะไม่รู้ว่าจะตกหรือไม่ตก แต่ขาก็ยังพาเดินเลาะไปริมเหวอย่างเดิม เพราะผู้ที่ฝึกด้วยกัน แอบยืนดูอยู่ห่าง ๆ บอกว่าก็เดิมริม ๆ เหวอย่างเดิมนั่นแหละ แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือไม่ได้ลืมตา
วันถัดมาก็ใช้มุกเดิม หลับตาให้เขาพาเดิน ซึ่งเดินไประยะหนึ่งก็หยุด แล้วข้ามกลับ
เดินอีก 1 – 2 วันถัดมาโดยไม่ลืมตา จากนั้นก็ยุติการพาเดินโดยระบบ
ค่ะ ก็ก้าวข้ามความกลัวตายไปอีกสเต็ปหนึ่ง
ตอนกลางวันหลังจากฝึกเสร็จช่วงบ่าย ๆ พี่สุดใจก็จะถูกขาตัวเองพาเดินไปทิ่ริมเขาทุกวัน วันแรกที่ไปก็ยังคิดว่าเขาพามาริมรั้วทำไม นึกว่าจะพามาดูวิว
แต่พอมาถึงริมรั้ว ก็ปีนข้ามรั้วไปด้านนอก ซึ่งเป็นพื้นหินที่ยื่นออกไปสักประมาณ 1 เมตรเห็นจะได้ และเมื่อก้มมองลงไปลึกชันคล้ายเหว ถ้าตกลงไปก็รอดยากเชียวละ
พอข้ามไปได้ มือก็ปล่อยรั้วทันที และเดินออกไปริมสุดขอบเหว พี่สุดใจก็กลัวว่าตัวเองจะตกลงไป ก็พยายามเอียงตัวเข้ามาด้านในมากที่สุด ตัวเอียงเข้ามาแล้วแต่ขาก็ยังเดินริมเหวอยู่ตามเดิม ความกลัวก็ถาโถมเข้ามา ความคิดก็ยุยงส่งเสริมว่าต้องตกไปตายแน่เลย หรืออาจจะสาหัส หรือพิการไปเลย ก็ทุกข์ไปตามระเบียบในวันนั้นซึ่งคนที่ฝึกร่วมกัน ก็ได้แต่มองดู ไม่มีใครช่วยใครได้ เพราะบทฝึกของใครของมัน อย่างดีก็เตรียมส่งโรงพยาบาลแค่นั้น
วันต่อมาก็ปีนรั้วไปเดินอย่างเดิมอีก คราวนี้ก็กลัว แต่น้อยกว่าเดิม เพราะเริ่มจับทางความคิดได้แล้ว แต่ก็ยังคงกลัวอยู่
แต่พอวันที่ 3 คราวนี้ความคิดเริ่มล่อหลอกเหมือนเดิม แต่มีสติมากขึ้นแล้ว เลยคิดย้อนกลับไปเลยว่า ถ้าแกกล้าตก ฉันก็กล้าตาย ถ้าจะให้ทำงานก็ดูแลขันธ์นี้เอาเองละกัน คิดอย่างนี้ได้แล้วไม่ใช่ว่าขันธ์จะยอมหยุดนะ ขาก็ยังคงก้าวข้ามรั้วไปอยู่ดี แต่ตอนนี้พี่สุดใจมีไม้เด็ด คือหลับตาเลย แล้วให้ขามันเดินเอาเอง จะตกหรือจะรอดเรื่องของขา เรื่องของเขา เรื่องของมนุษย์ต่างดาวจัดการเองก็แล้วกัน
เมื่อหลับตา มองไม่เห็น มันก็ไม่กลัว เพราะไม่รู้ว่าจะตกหรือไม่ตก แต่ขาก็ยังพาเดินเลาะไปริมเหวอย่างเดิม เพราะผู้ที่ฝึกด้วยกัน แอบยืนดูอยู่ห่าง ๆ บอกว่าก็เดิมริม ๆ เหวอย่างเดิมนั่นแหละ แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือไม่ได้ลืมตา
วันถัดมาก็ใช้มุกเดิม หลับตาให้เขาพาเดิน ซึ่งเดินไประยะหนึ่งก็หยุด แล้วข้ามกลับ
เดินอีก 1 – 2 วันถัดมาโดยไม่ลืมตา จากนั้นก็ยุติการพาเดินโดยระบบ
ค่ะ ก็ก้าวข้ามความกลัวตายไปอีกสเต็ปหนึ่ง
.............................
และอีกครั้งฝึกที่สันคู นครสวรรค์ เวลาเดินผ่านกลางห้องโถง
ขาก็คอยแต่จะแวะไปเตะที่เสาปูนกลมกลางห้องอยู่เรื่อย จนเกิดความหวาดระแวง
เมื่อจะเข้าไปประมวลพลังในห้องโถง จะเดินอ้อมไกล ๆ เสากลมนั้น
แต่ไม่ว่าจะเดินอ้อมไปไกลแค่ไหน ขาก็จะพาเดินมาเตะที่เสาทุกทีเลย จนขาเจ็บไปหมด
ทุกข์จากรูปขันธ์ของจริงเลยละ
เป็นอยู่หลายวัน ก็ทุกข์อยู่หลายวันเหมือนกัน จนคิดได้ว่า เอาละ ถ้ากลัวอยู่อย่างนี้ ก็ถูกความทุกข์กินอยู่ไม่เลิก ถ้าอยากเตะ ก็เตะไปเลย ให้ขาหักไปเลยจะได้ไม่ต้องฝึกสบายดีเสียอีก เมื่อคิดได้ดังนั้น พี่สุดใจเดินเข้ามาในห้องโถงเพื่อทำการฝึก ก็เดินตรงไปที่เสาเลย แล้วง้างขาเตะไปอย่างแรงไปยังเสาต้นนั้น กะให้มันเจ็บให้หนักจะได้เลิกกันไป
แต่สิ่งที่เจอก็คือ ขาที่เตะไปโดยแรง มันกลับไม่ถึงเสา เหวี่ยงเท่าไรก็ไม่ถูกเสา เหมือนมีอะไรมากั้นไว้ระหว่างเสากับขา แต่มองไม่เห็นนะ พี่สุดใจก็เหวี่ยงขาเตะเสาใหญ่เลย จะให้ถึงให้ได้ แต่ทำยังไงก็ไม่ถูกเสา ห่างประมาณสักฝ่ามือเห็นจะได้ พอเตะหลาย ๆ ทีไม่ถึง ก็เลยรู้ว่า ระบบเขาต้องดูแลขันธ์นี้ของเขาเอง เพราะเมื่อยังคิดว่าขันธ์ห้านี้เป็นของเรา เขาก็จะมีบททดสอบมาล่อให้ทุกข์อยู่เรื่อย เมื่อรู้ว่าขันธ์ห้าไม่ใช่ตัวเราของเรา เป็นของธรรมชาติ เราไปอุปาทานเอาเองว่าเป็นตัวเราของเรา ที่มานี้ก็เพื่อทำงานเรื่องของภัยพิบัติเป็นการเฉพาะกิจเท่านั้น
จริง ๆ แล้ว ทุกอย่างก็เป็นของธรรมชาติทั้งสิ้น เพราะธรรมะก็ได้กล่าวไว้ว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่ใช่ตัวใครของใคร
ซึ่งการพิจารณาเพื่อการปล่อยวางขันธ์ห้าของระบบ ก็เหมือนกันกับการปล่อยวางขันธ์ห้าทางธรรมะ ก็คือการพิจารณาว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา ความคิดไม่ใช่ของเรา ขันธ์ห้า ไม่ใช่ของเรา ซึ่งการปล่อยวางขันธ์ห้า ก็ปล่อยวางแนวทางเดียวกัน แต่คนละรูปแบบเท่านั้นเอง
เป็นอยู่หลายวัน ก็ทุกข์อยู่หลายวันเหมือนกัน จนคิดได้ว่า เอาละ ถ้ากลัวอยู่อย่างนี้ ก็ถูกความทุกข์กินอยู่ไม่เลิก ถ้าอยากเตะ ก็เตะไปเลย ให้ขาหักไปเลยจะได้ไม่ต้องฝึกสบายดีเสียอีก เมื่อคิดได้ดังนั้น พี่สุดใจเดินเข้ามาในห้องโถงเพื่อทำการฝึก ก็เดินตรงไปที่เสาเลย แล้วง้างขาเตะไปอย่างแรงไปยังเสาต้นนั้น กะให้มันเจ็บให้หนักจะได้เลิกกันไป
แต่สิ่งที่เจอก็คือ ขาที่เตะไปโดยแรง มันกลับไม่ถึงเสา เหวี่ยงเท่าไรก็ไม่ถูกเสา เหมือนมีอะไรมากั้นไว้ระหว่างเสากับขา แต่มองไม่เห็นนะ พี่สุดใจก็เหวี่ยงขาเตะเสาใหญ่เลย จะให้ถึงให้ได้ แต่ทำยังไงก็ไม่ถูกเสา ห่างประมาณสักฝ่ามือเห็นจะได้ พอเตะหลาย ๆ ทีไม่ถึง ก็เลยรู้ว่า ระบบเขาต้องดูแลขันธ์นี้ของเขาเอง เพราะเมื่อยังคิดว่าขันธ์ห้านี้เป็นของเรา เขาก็จะมีบททดสอบมาล่อให้ทุกข์อยู่เรื่อย เมื่อรู้ว่าขันธ์ห้าไม่ใช่ตัวเราของเรา เป็นของธรรมชาติ เราไปอุปาทานเอาเองว่าเป็นตัวเราของเรา ที่มานี้ก็เพื่อทำงานเรื่องของภัยพิบัติเป็นการเฉพาะกิจเท่านั้น
จริง ๆ แล้ว ทุกอย่างก็เป็นของธรรมชาติทั้งสิ้น เพราะธรรมะก็ได้กล่าวไว้ว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่ใช่ตัวใครของใคร
ซึ่งการพิจารณาเพื่อการปล่อยวางขันธ์ห้าของระบบ ก็เหมือนกันกับการปล่อยวางขันธ์ห้าทางธรรมะ ก็คือการพิจารณาว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา ความคิดไม่ใช่ของเรา ขันธ์ห้า ไม่ใช่ของเรา ซึ่งการปล่อยวางขันธ์ห้า ก็ปล่อยวางแนวทางเดียวกัน แต่คนละรูปแบบเท่านั้นเอง
...........................
อีกครั้ง
ฝึกที่บางกระเจ็ด จังหวัดสิงห์บุรี วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2543 พี่สุดใจต้องไปตลาดสิงห์บุรีเพื่อซื้ออาหาร ขณะที่เดิน ๆ อยู่ในตลาด จู่ ๆ
ก็หยุดกึกตรงหน้าร้านขายของจัดงานศพ พี่สุดใจก็งง แต่ก็เริ่มคิดว่า
ระบบจะเล่นอะไรอีกนี่ ปรากฏว่าซื้อดอกไม้จันทน์สำหรับวางหน้าศพ 1 ห่อ 50 ดอก ราคา 60 บาท
พี่สุดใจก็ยังหวั่น ๆ ว่าจะเอาไปไหนนี่ เพราะพี่สุดใจเป็นคนที่ไม่ชอบงานศพ
ไม่ชอบกลิ่นศพ กลิ่นเมรุ กลิ่นวัดอะไรเลย และมักหลีกเลี่ยงงานศพอยู่เสมอ
ขี่รถมอเตอร์ไซด์กลับมาบ้าน ตอนที่ฝึกพี่สุดใจนอนเต้นท์คนเดียวอยู่ในป่าข้างบ้าน ทุกคนที่ฝึกนอนในบ้านกันหมด ระบบพี่สุดใจพาออกไปนอนคนเดียวในเต้นท์นอกรั้วบ้าน กลางคืนมืดมาก และพอได้ดอกไม้จันทน์ ก็เอาเข้าไปไว้ในเต้นท์ที่นอน
พอตอนกลางคืนก็ต้องเข้าไปนอนในเต้นท์นั้นกับดอกไม้จันทน์ เต้นท์เล็ก และดอกไม้จันทน์ก็กลิ่นแรงมาก กลิ่นอบอวลอยู่ในเต้นท์ คืนนั้นก็เหมือนนอนอยู่กลางงานศพเลยละ บรรยากาศก็เป็นใจเสียด้วย มืดและหนาวมาก ก็ทุกข์ไปกับความคิด ความกลัวเหมือนเคย
คืนต่อมาก็นอนในเต้นท์นั้นอีก ความกลัวน้อยลง เพราะเริ่มรู้แล้วว่าต้องเรียนอะไร เมื่อกลัวอะไร ก็ต้องข้ามความกลัวอันนั้น
พอวันที่ 3 สบายมาก นอนดูความคิดที่มาหลอกล่อให้ทุกข์ ก็ดูไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ไปทุกข์ตามที่ความคิดพยายามปรุงแต่งให้
พอรุ่งขึ้นวันที่ 4 ก็ผ่านเรียบร้อย ระบบเอาดอกไม้จันทน์ไปทิ้ง พร้อมทั้งความกลัวเรื่องงานศพก็หายไปพร้อม ๆ กันด้วย เดี๋ยวนี้พี่สุดใจก็เดินเข้าไปดูศพคนตายบนเมรุอย่างหน้าตาเฉยบ่อย ๆ
หลังจากนั้น พี่สุดใจก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนเลยว่า เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวที่นำมาใช้เพื่อสอนให้ปล่อยวางขันธ์ห้า ให้ออกจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้านั้น มันมีจริง และมีประสิทธิภาพในการสร้างความทุกข์ได้จริง และระบบก็มีการสอนให้ดับทุกข์ได้จริง ๆ
ขี่รถมอเตอร์ไซด์กลับมาบ้าน ตอนที่ฝึกพี่สุดใจนอนเต้นท์คนเดียวอยู่ในป่าข้างบ้าน ทุกคนที่ฝึกนอนในบ้านกันหมด ระบบพี่สุดใจพาออกไปนอนคนเดียวในเต้นท์นอกรั้วบ้าน กลางคืนมืดมาก และพอได้ดอกไม้จันทน์ ก็เอาเข้าไปไว้ในเต้นท์ที่นอน
พอตอนกลางคืนก็ต้องเข้าไปนอนในเต้นท์นั้นกับดอกไม้จันทน์ เต้นท์เล็ก และดอกไม้จันทน์ก็กลิ่นแรงมาก กลิ่นอบอวลอยู่ในเต้นท์ คืนนั้นก็เหมือนนอนอยู่กลางงานศพเลยละ บรรยากาศก็เป็นใจเสียด้วย มืดและหนาวมาก ก็ทุกข์ไปกับความคิด ความกลัวเหมือนเคย
คืนต่อมาก็นอนในเต้นท์นั้นอีก ความกลัวน้อยลง เพราะเริ่มรู้แล้วว่าต้องเรียนอะไร เมื่อกลัวอะไร ก็ต้องข้ามความกลัวอันนั้น
พอวันที่ 3 สบายมาก นอนดูความคิดที่มาหลอกล่อให้ทุกข์ ก็ดูไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ไปทุกข์ตามที่ความคิดพยายามปรุงแต่งให้
พอรุ่งขึ้นวันที่ 4 ก็ผ่านเรียบร้อย ระบบเอาดอกไม้จันทน์ไปทิ้ง พร้อมทั้งความกลัวเรื่องงานศพก็หายไปพร้อม ๆ กันด้วย เดี๋ยวนี้พี่สุดใจก็เดินเข้าไปดูศพคนตายบนเมรุอย่างหน้าตาเฉยบ่อย ๆ
หลังจากนั้น พี่สุดใจก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนเลยว่า เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวที่นำมาใช้เพื่อสอนให้ปล่อยวางขันธ์ห้า ให้ออกจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้านั้น มันมีจริง และมีประสิทธิภาพในการสร้างความทุกข์ได้จริง และระบบก็มีการสอนให้ดับทุกข์ได้จริง ๆ
.................................
สิ่งที่ได้จากบทฝึกนี้ก็คือ
เห็นความคิดที่คอยแต่จะปรุงแต่งให้ทุกข์ ให้กลัว ให้หวาดระแวง ให้วิตกกังวล
เป็นข่ายความทุกข์ทั้งสิ้น
ซึ่งบางท่านก็สามารถทำได้เช่นกัน คือการฝึกให้มีสติในการดูความคิดก่อนในอันดับแรก เพื่อป้องกันความทุกข์จากความคิด คือหากมีความคิดใด ๆ เข้ามา ส่อไปในทางที่จะพาให้ไปทุกข์ ไปกลัว ไปวิตกกังวล ให้หยุด แล้วมองดูความคิดก่อน ว่ากำลังคิดอะไร? แล้วฉันควรจะเชื่อแกดีหรือไม่? อย่าไปตามความคิดโดยทันที
เมื่อทำไปเรื่อย ๆ จะเริ่มเห็นว่า มีผู้คิด 1 และมีผู้ดูความคิดอีก 1 ดังนั้นเมื่อมีความคิดเข้ามา ผู้ที่ดูความคิดก็จะรู้ว่ากำลังคิดอะไร จะวิตกกังวลไปด้วยดีไหม หรือมันกำลังคิดกลัวอะไร เมื่อเห็นความคิดนั้นจริง ๆ รู้เรื่องว่ากำลังคิดอะไรจริง ๆ เมื่อนั้น เราจะไม่กลัวความคิด เราจะจัดการกับความคิดนั้นได้ตามความเหมาะสม โดยไม่ต้องไปทุกข์ ไม่ต้องไปกลัว ไม่ต้องไปทุรนทุรายกับความคิดนั้นเลย จึงจะเรียกว่าอยู่เหนือความคิดได้
เพราะโดยความจริงแล้ว ความคิดทำอะไรเราไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ทำตัวเองให้เป็นทุกข์
หลังจากนั้น พี่สุดใจก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนเลยว่า เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวที่นำมาใช้เพื่อสอนให้ปล่อยวางขันธ์ห้านั้น ให้ออกจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้านั้น มันมีจริงแม้ว่าเราจะมองไม่เห็น เพราะเทคโนโลยีเขาก้าวล้ำไปไกลจนถึงใช้รูปแบบของพลังงานแทนวัตถุไปแล้ว และอุปกรณ์เหล่านี้ มีการนำมาใช้ในการฝึก ซึ่งมีประสิทธิภาพในการสร้างความทุกข์ให้ได้เสมือนจริง และระบบก็มีการสอนให้ดับทุกข์ได้จริง ๆ
มีเรื่องอีกมากมายเลยในช่วงฝึก เป็นเรื่องจริง เหตุการณ์จริง ซื่งแต่ละเรื่องพี่สุดใจเจอมาด้วยตัวเองทั้งสิ้น จึงกล้าที่จะเล่าให้ฟัง เพราะกว่าที่จะมามีพี่สุดใจคนนี้ในวันนี้ ต้องผ่านการฝึกอย่างเข้มข้นมามากมาย แต่สิ่งที่ได้คุ้มค่าเหลือเกิน คือความทุกข์ที่เคยมีน้อยลง มีสติรู้เท่าทันขันธ์ห้า รู้เท่าทันความคิด ความรู้สึก และความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าที่คิดว่าเป็นตัวเรา ของเราน้อยลง จึงมีการทำเพื่อผู้อื่นมากขึ้น ทุกวันนี้จึงค่อนข้างเบาสบาย มีความสงบในท่ามกลางความวุ่นวาย เพราะอยู่ในปัจจุบันขณะ นั่นเอง
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นแค่การฝึกเรื่องรูปขันธ์ หรือกายเสียเป็นส่วนใหญ่
ยังไม่ได้เล่าลงลึกถึงการฝึกเรื่อง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเลย ซึ่งหากมีผู้สนใจจะนำมาเล่าให้ฟังอีกค่ะ
ซึ่งบางท่านก็สามารถทำได้เช่นกัน คือการฝึกให้มีสติในการดูความคิดก่อนในอันดับแรก เพื่อป้องกันความทุกข์จากความคิด คือหากมีความคิดใด ๆ เข้ามา ส่อไปในทางที่จะพาให้ไปทุกข์ ไปกลัว ไปวิตกกังวล ให้หยุด แล้วมองดูความคิดก่อน ว่ากำลังคิดอะไร? แล้วฉันควรจะเชื่อแกดีหรือไม่? อย่าไปตามความคิดโดยทันที
เมื่อทำไปเรื่อย ๆ จะเริ่มเห็นว่า มีผู้คิด 1 และมีผู้ดูความคิดอีก 1 ดังนั้นเมื่อมีความคิดเข้ามา ผู้ที่ดูความคิดก็จะรู้ว่ากำลังคิดอะไร จะวิตกกังวลไปด้วยดีไหม หรือมันกำลังคิดกลัวอะไร เมื่อเห็นความคิดนั้นจริง ๆ รู้เรื่องว่ากำลังคิดอะไรจริง ๆ เมื่อนั้น เราจะไม่กลัวความคิด เราจะจัดการกับความคิดนั้นได้ตามความเหมาะสม โดยไม่ต้องไปทุกข์ ไม่ต้องไปกลัว ไม่ต้องไปทุรนทุรายกับความคิดนั้นเลย จึงจะเรียกว่าอยู่เหนือความคิดได้
เพราะโดยความจริงแล้ว ความคิดทำอะไรเราไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ทำตัวเองให้เป็นทุกข์
หลังจากนั้น พี่สุดใจก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนเลยว่า เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวที่นำมาใช้เพื่อสอนให้ปล่อยวางขันธ์ห้านั้น ให้ออกจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้านั้น มันมีจริงแม้ว่าเราจะมองไม่เห็น เพราะเทคโนโลยีเขาก้าวล้ำไปไกลจนถึงใช้รูปแบบของพลังงานแทนวัตถุไปแล้ว และอุปกรณ์เหล่านี้ มีการนำมาใช้ในการฝึก ซึ่งมีประสิทธิภาพในการสร้างความทุกข์ให้ได้เสมือนจริง และระบบก็มีการสอนให้ดับทุกข์ได้จริง ๆ
มีเรื่องอีกมากมายเลยในช่วงฝึก เป็นเรื่องจริง เหตุการณ์จริง ซื่งแต่ละเรื่องพี่สุดใจเจอมาด้วยตัวเองทั้งสิ้น จึงกล้าที่จะเล่าให้ฟัง เพราะกว่าที่จะมามีพี่สุดใจคนนี้ในวันนี้ ต้องผ่านการฝึกอย่างเข้มข้นมามากมาย แต่สิ่งที่ได้คุ้มค่าเหลือเกิน คือความทุกข์ที่เคยมีน้อยลง มีสติรู้เท่าทันขันธ์ห้า รู้เท่าทันความคิด ความรู้สึก และความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าที่คิดว่าเป็นตัวเรา ของเราน้อยลง จึงมีการทำเพื่อผู้อื่นมากขึ้น ทุกวันนี้จึงค่อนข้างเบาสบาย มีความสงบในท่ามกลางความวุ่นวาย เพราะอยู่ในปัจจุบันขณะ นั่นเอง
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นแค่การฝึกเรื่องรูปขันธ์ หรือกายเสียเป็นส่วนใหญ่
ยังไม่ได้เล่าลงลึกถึงการฝึกเรื่อง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเลย ซึ่งหากมีผู้สนใจจะนำมาเล่าให้ฟังอีกค่ะ
..................................
การฝึกที่ผ่านมานั้น ระบบเป็นผู้จัดแบบทดสอบให้ และผู้ฝึกต้องทำในจิตกันเอาเอง
เพราะการปล่อยวางไม่สามารถทำให้กันได้ ได้แต่ช่วยชี้ทาง ช่วยบอก ช่วยจัดสถานการณ์ให้ แล้วอธิบายให้เข้าใจในกลไกของธรรมชาติ ที่เหลือผู้ที่ฝึกต้องทำเอาเอง จะได้ไว หรือได้ช้า ก็แล้วแต่ปัญญา และความเพียรของแต่ละบุคคล แต่เพราะการอาสาลงมาร่วมงานในโครงการของระบบ ดังนั้นการทำความเข้าใจก็จะง่ายกว่าคนปกติ เพราะจะมีการทำตัวอย่างไว้ให้เทียบเคียงบ้างแล้ว พอฟังเพียงเล็กน้อย ก็จะเข้าใจได้ไม่ยากเลย
แต่อย่างที่พี่สุดใจบอก และพยายามที่จะกล่าวไว้ในหลาย ๆ ครั้งก็คือ การที่ระบบมนุษย์ต่างดาวมาฝึกให้กับกลุ่มบุคคลหนึ่งนั้น เป็นการมาฝึกเฉพาะกิจ เพื่อทำงานในเรื่องของภัยพิบัติ ดังนั้นรูปแบบในการฝึกจึงไม่เหมือนกับการปฏิบัติธรรมทั่วๆ ไป เพราะจะต้องถูกภาวะกดดันอย่างหนัก เรียกว่าทิ้งชีวิตกันทีเดียว เพื่อให้ได้มีการพัฒนาดวงจิตให้สูงขึ้นในระดับที่เร็วมาก ดังนั้นการใช้วิธีค่อย ๆทำไป ต้องใช้เวลาถึง 10 ปี 20 ปี มันไม่ทันกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น จึงต้องมีการใช้อุปกรณ์ในการช่วยฝึกที่เร่งรัดให้ปฏิบัติจิตตลอดเวลา ไม่ปล่อยวางก็ทุกข์ ปล่อยวางขันธ์ห้าได้ ก็ไม่ทุกข์ เหมือนกับว่า เป็นการที่ต้องปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ มีสติดูจิตตลอดเวลาที่ยังตื่นอยู่นั่นเอง
ดังนั้น ทำไมทุกคนจึงต้องออกจากงาน ออกจากงานไปทำอะไรกัน ปฏิบัติธรรมแล้วทำงานไปด้วยไม่ได้หรือ ?
นี่แหละที่เป็นคำตอบ ถ้าหากยังต้องไปทำงานอยู่ เวลาที่จะใช้ในการสังเกตขันธ์ห้า ในการฝึกจิต ก็จะเหลือน้อยลงแค่วันละ 1 – 2 ชั่วโมง ก็นับว่ามากแล้วสำหรับคนปกติในแต่ละวัน ซึ่งมันไม่ทันในการที่จะต้องยกระดับจิตให้ทันตามเวลาที่กำหนด
ดังนั้น จึงเป็นการวัดใจว่า ถ้าคุณตั้งใจที่จะฝึกแน่ ก็ต้องออกมา แล้วทุ่มเทฝึกฯกันตลอด 1 ปีที่ผ่านมาเชียวละ
จากการที่คุณ no.9 ได้เล่าเรื่องการฝึกให้ฟังไปแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าไม่มีสักวันเดียวที่จะไม่มีความทุกข์เข้ามาในช่วงฝึก นั่นก็เหมือนกับว่า ได้มีโอกาสทำงานทางจิตเกือบตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งผลของภาวะจิตที่ได้รับการฝึกแล้ว ก็คุ้มค่าเกินกว่าจะอธิบายได้
เพราะการปล่อยวางไม่สามารถทำให้กันได้ ได้แต่ช่วยชี้ทาง ช่วยบอก ช่วยจัดสถานการณ์ให้ แล้วอธิบายให้เข้าใจในกลไกของธรรมชาติ ที่เหลือผู้ที่ฝึกต้องทำเอาเอง จะได้ไว หรือได้ช้า ก็แล้วแต่ปัญญา และความเพียรของแต่ละบุคคล แต่เพราะการอาสาลงมาร่วมงานในโครงการของระบบ ดังนั้นการทำความเข้าใจก็จะง่ายกว่าคนปกติ เพราะจะมีการทำตัวอย่างไว้ให้เทียบเคียงบ้างแล้ว พอฟังเพียงเล็กน้อย ก็จะเข้าใจได้ไม่ยากเลย
แต่อย่างที่พี่สุดใจบอก และพยายามที่จะกล่าวไว้ในหลาย ๆ ครั้งก็คือ การที่ระบบมนุษย์ต่างดาวมาฝึกให้กับกลุ่มบุคคลหนึ่งนั้น เป็นการมาฝึกเฉพาะกิจ เพื่อทำงานในเรื่องของภัยพิบัติ ดังนั้นรูปแบบในการฝึกจึงไม่เหมือนกับการปฏิบัติธรรมทั่วๆ ไป เพราะจะต้องถูกภาวะกดดันอย่างหนัก เรียกว่าทิ้งชีวิตกันทีเดียว เพื่อให้ได้มีการพัฒนาดวงจิตให้สูงขึ้นในระดับที่เร็วมาก ดังนั้นการใช้วิธีค่อย ๆทำไป ต้องใช้เวลาถึง 10 ปี 20 ปี มันไม่ทันกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น จึงต้องมีการใช้อุปกรณ์ในการช่วยฝึกที่เร่งรัดให้ปฏิบัติจิตตลอดเวลา ไม่ปล่อยวางก็ทุกข์ ปล่อยวางขันธ์ห้าได้ ก็ไม่ทุกข์ เหมือนกับว่า เป็นการที่ต้องปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ มีสติดูจิตตลอดเวลาที่ยังตื่นอยู่นั่นเอง
ดังนั้น ทำไมทุกคนจึงต้องออกจากงาน ออกจากงานไปทำอะไรกัน ปฏิบัติธรรมแล้วทำงานไปด้วยไม่ได้หรือ ?
นี่แหละที่เป็นคำตอบ ถ้าหากยังต้องไปทำงานอยู่ เวลาที่จะใช้ในการสังเกตขันธ์ห้า ในการฝึกจิต ก็จะเหลือน้อยลงแค่วันละ 1 – 2 ชั่วโมง ก็นับว่ามากแล้วสำหรับคนปกติในแต่ละวัน ซึ่งมันไม่ทันในการที่จะต้องยกระดับจิตให้ทันตามเวลาที่กำหนด
ดังนั้น จึงเป็นการวัดใจว่า ถ้าคุณตั้งใจที่จะฝึกแน่ ก็ต้องออกมา แล้วทุ่มเทฝึกฯกันตลอด 1 ปีที่ผ่านมาเชียวละ
จากการที่คุณ no.9 ได้เล่าเรื่องการฝึกให้ฟังไปแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าไม่มีสักวันเดียวที่จะไม่มีความทุกข์เข้ามาในช่วงฝึก นั่นก็เหมือนกับว่า ได้มีโอกาสทำงานทางจิตเกือบตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งผลของภาวะจิตที่ได้รับการฝึกแล้ว ก็คุ้มค่าเกินกว่าจะอธิบายได้
..................................
ความฝัน...รูปแบบการทำงานกับมนุษย์ต่างดาว
เนื่องจากในช่วงนี้ จะมีสมาชิกใหม่หลายท่านเข้ามาศึกษาข้อมูลจากเว็บไซด์แห่งนี้
และอาจต้องการหาคำตอบ จากความสงสัยในหลาย
ๆ เรื่อง ที่หาคำตอบจากแหล่งใด ๆ ไม่ได้
ดังนั้น จึงจะขอนำข้อมูลในบางส่วนมาแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
พี่สุดใจ ได้รับโทรศัพท์จากหลาย ๆ ท่าน หลายบุคคล ที่เล่าเรื่องความฝันให้ฟัง และสงสัยว่า ระบบจะมีการส่งภาพมาทางความฝันได้หรือไม่... เพราะเคยสังเกตว่า เมื่อมีการฝันในเรื่องใด ๆ แล้ว..อีกไม่นานก็เกิดเรื่องนั้น ๆ ขึ้นตรงกันกับความฝันบ่อย ๆ
จึงสงสัยว่า ภาพที่เห็นนั้น ระบบอาจจะเป็นผู้ส่งผ่านมาให้ เพื่อเป็นช่องทางในการเตือนภัยให้กับมนุษย์โลกอีกช่องทางหนึ่ง....ใช่หรือไม่ ?
ซึ่งได้มีการกล่าวไปบ้างแล้ว ในภาพรวมของการทำงานกับมนุษย์ต่างดาว มีหลายลักษณะ หลายงาน หลายช่องทางในการรับข้อมูลข่าวสารจากมนุษย์ต่างดาว ดังนั้น ไม่ว่าจะรับข้อมูลแบบผ่านเข้ามาขณะปฏิบัติภารกิจ ขณะทำการรักษาผู้ป่วย ขณะนั่งสมาธิ หรือขณะนอนหลับผ่านทางความฝันนั้น
หากบุคคลนั้นเป็นผู้ร่วมงานกับระบบ ก็จะใช้ช่องทางนั้นเป็นการส่งข้อมูลมาให้ เพื่อเตือนภัยเพื่อนมนุษย์ในวันข้างหน้า เพียงแต่ว่า
หากบุคคลนั้นรู้ตัวว่า เป็นการทำงานแบบการฝัน ก็จะปล่อยวางความฝันนั้น เรียกว่ารู้เท่าทัน ว่ากำลังฝึกซ้อมเกี่ยวกับความฝัน ก็จะไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในความฝันนั้นให้เกิดทุกข์ และดำเนินการไปตามสมควร
เพราะการฝัน เป็นความคุ้นเคยของคนทั่วไป จึงไม่ค่อยแปลกใจมากนักหากฝันเห็นสิ่งใด ๆ แล้วเกิดขึ้นดังนั้น เรียกว่า ฝันแม่น ซึ่งจะไม่เป็นที่ตกใจกับบุคคลใกล้ชิด หากมีการเตือนในสิ่งใด ๆ ผ่านความฝันนั้น ๆ
ซึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการเตือนภัย ซึ่งระบบได้มีเตรียมไว้นานแล้ว
เพียงแต่ว่า บุคคลนั้น จะเป็นผู้ที่ทำงานแบบรู้ตัวหรือไม่เท่านั้น
คงต้องขอกล่าวถึงโครงสร้างของระบบ ที่ได้วางงานด้านภัยพิบัติไว้นานแล้ว ก่อนหน้าที่จะมีการมารับทราบเรื่องราวเหล่านี้เสียด้วยซ้ำไป
ขอนำมาให้ท่านได้รับทราบ การเตรียมการในโครงการนี้อีกครั้ง เพื่อทำความเข้าใจให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น เพื่อที่การไปประสานงานกับกลุ่มต่าง ๆ นั้น จะได้ทำด้วยความเข้าใจ
เพราะแต่ละที่นั้น....ก็มาตามงาน..เช่นกัน.
พี่สุดใจ ได้รับโทรศัพท์จากหลาย ๆ ท่าน หลายบุคคล ที่เล่าเรื่องความฝันให้ฟัง และสงสัยว่า ระบบจะมีการส่งภาพมาทางความฝันได้หรือไม่... เพราะเคยสังเกตว่า เมื่อมีการฝันในเรื่องใด ๆ แล้ว..อีกไม่นานก็เกิดเรื่องนั้น ๆ ขึ้นตรงกันกับความฝันบ่อย ๆ
จึงสงสัยว่า ภาพที่เห็นนั้น ระบบอาจจะเป็นผู้ส่งผ่านมาให้ เพื่อเป็นช่องทางในการเตือนภัยให้กับมนุษย์โลกอีกช่องทางหนึ่ง....ใช่หรือไม่ ?
ซึ่งได้มีการกล่าวไปบ้างแล้ว ในภาพรวมของการทำงานกับมนุษย์ต่างดาว มีหลายลักษณะ หลายงาน หลายช่องทางในการรับข้อมูลข่าวสารจากมนุษย์ต่างดาว ดังนั้น ไม่ว่าจะรับข้อมูลแบบผ่านเข้ามาขณะปฏิบัติภารกิจ ขณะทำการรักษาผู้ป่วย ขณะนั่งสมาธิ หรือขณะนอนหลับผ่านทางความฝันนั้น
หากบุคคลนั้นเป็นผู้ร่วมงานกับระบบ ก็จะใช้ช่องทางนั้นเป็นการส่งข้อมูลมาให้ เพื่อเตือนภัยเพื่อนมนุษย์ในวันข้างหน้า เพียงแต่ว่า
หากบุคคลนั้นรู้ตัวว่า เป็นการทำงานแบบการฝัน ก็จะปล่อยวางความฝันนั้น เรียกว่ารู้เท่าทัน ว่ากำลังฝึกซ้อมเกี่ยวกับความฝัน ก็จะไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในความฝันนั้นให้เกิดทุกข์ และดำเนินการไปตามสมควร
เพราะการฝัน เป็นความคุ้นเคยของคนทั่วไป จึงไม่ค่อยแปลกใจมากนักหากฝันเห็นสิ่งใด ๆ แล้วเกิดขึ้นดังนั้น เรียกว่า ฝันแม่น ซึ่งจะไม่เป็นที่ตกใจกับบุคคลใกล้ชิด หากมีการเตือนในสิ่งใด ๆ ผ่านความฝันนั้น ๆ
ซึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการเตือนภัย ซึ่งระบบได้มีเตรียมไว้นานแล้ว
เพียงแต่ว่า บุคคลนั้น จะเป็นผู้ที่ทำงานแบบรู้ตัวหรือไม่เท่านั้น
คงต้องขอกล่าวถึงโครงสร้างของระบบ ที่ได้วางงานด้านภัยพิบัติไว้นานแล้ว ก่อนหน้าที่จะมีการมารับทราบเรื่องราวเหล่านี้เสียด้วยซ้ำไป
ขอนำมาให้ท่านได้รับทราบ การเตรียมการในโครงการนี้อีกครั้ง เพื่อทำความเข้าใจให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น เพื่อที่การไปประสานงานกับกลุ่มต่าง ๆ นั้น จะได้ทำด้วยความเข้าใจ
เพราะแต่ละที่นั้น....ก็มาตามงาน..เช่นกัน.
...........................
ในความหลากหลายของงานระบบ ที่ต้องวางโครงการเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลกนั้น
มิได้มีการเตรียมการเฉพาะมนุษย์เท่านั้น แต่มีการรับรู้ทั้ง 3 ภพ
ทั้งดวงดาราอื่น ๆ ที่มาจากทั้งจักรวาลนี้ และต่างจักรวาล
ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับงานช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้
ซึ่งมีหลายครั้งที่ข้อมูลจากระบบต่างดาวได้เคยอธิบายไว้
ซึ่งขอนำบางส่วนมาให้รับทราบเพื่อเทียบเคียงในสิ่งที่กำลังสงสัยนั้น
มนุษย์ต่างดาว ก็จะเทียบเคียงให้ฟังว่า เรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น จึงต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์โลกในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทพ เป็นพรหม เป็นเทวดา หรือเป็นจิตวิญญาณชั้นสูงใด ๆ ก็ตาม ที่ได้รับรู้และมีส่วนที่จะช่วยเหลือมนุษย์โลกให้เหลือรอดต่อไปนั้น ท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน แต่ละแห่ง แต่ละจุด มีปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรจะรับทราบก็คือ
จิตวิญญาณนั้น ๆ ท่านได้ละสังขารกายเนื้อไปแล้ว ดังนั้น การที่จะช่วยเหลือมนุษย์โลกได้ จึงต้องใช้กายหยาบของมนุษย์บนโลก เป็นตัวขับเคลื่อนในการเตรียมการ การเตือนภัย การปฏิบัติการ การช่วยเหลือ โดยที่จิตวิญญาณนั้น ๆ ท่านจะเป็นผู้ชี้แนะ ให้ข้อมูล และแนะนำในเรื่องต่าง ๆ ที่มนุษย์ยังไม่อาจทราบได้
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจ ที่มีการรวมกลุ่มกันขึ้นในหลายสถานที่ มีการเตรียมการเรื่องของการรับมือกับภัยพิบัติกระจายไปหลายแห่งทั่วประเทศ มีการปฏิบัติธรรม ฝึกจิตกันอย่างเข้มข้นในหลายจุด หลายสถานที่
ซึ่งในแต่ละสถานที่นั้น ก็จะได้รับการชี้แนะจากเทพ จากเทวดา จากพระปฏิบัติที่เป็นครูบาอาจารย์ ที่ท่านได้ละสังขารไปแล้ว ท่านได้บอกข้อมูลเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นให้รับรู้และให้เตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นให้เร่งปฏิบัติธรรม ปฏิบัติจิต ปฏิบัติสมาธิ เน้นการปล่อยวางแทบทั้งสิ้น
ดังนั้น ถ้ามองในมุมกว้างของภาพรวม จะเห็นได้ว่า เรื่องของภัยพิบัติเป็นเรื่องใหญ่ ที่ไม่ว่าผู้รู้ ที่จะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม ก็ยังมิอาจนิ่งเฉยอยู่ได้ แม้ท่านจะไม่มีกายเนื้อที่จะปฏิบัติการได้ด้วยตนเองก็ตาม
ดังนั้น จึงต้องเป็นหน้าที่ของมนุษย์ ที่ยังมีกายเนื้อ สามารถปฏิบัติงานได้จริงนั้น เป็นผู้ทำงาน เป็นผู้ดำเนินการตามขั้นตอนของมนุษย์ โดยบางแห่งเตรียมการเรื่องสร้างสถานที่หลบภัย บางแห่งเตรียมการเรื่องอุปกรณ์ บางแห่งให้ข้อมูลและข่าวสาร บางแห่งเน้นการปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิจิต ซึ่งแต่ละแห่งย่อมเตรียมการเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นทั้งสิ้น โดยมีผู้รู้ที่ไม่มีกายเนื้อ ท่านจะเป็นผู้ชี้แนะ ให้ข้อมูลข่าวสาร วิธีการเตรียมการ และนำพากลุ่มต่าง ๆ ไปยังจุดที่ปลอดภัยในเวลาที่คับขันนั้น
นี่คือการทำงานร่วมกัน ในงานใหญ่ที่มิได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นงานของโลกใบนี้ งานเกี่ยวกับภัยพิบัติจึงต้องมีกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย กลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่มากมายกระจายไปทั่วประเทศ ทั่วโลก และแต่ละกลุ่ม ก็จะวิธีการปฏิบัติไม่เหมือนกัน หลากหลายรูปแบบ ตามแต่ผู้รู้จะสื่อมาให้ปฏิบัติ แม้จะต่างรูปแบบ แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือเรื่องของภัยพิบัติทั้งสิ้น คือมีการเตรียมการก่อนเกิด ขณะเกิด และหลังจากเกิดภัยพิบัติแล้ว
ก็คงพอมองภาพรวมของกลุ่มต่าง ๆ ที่กระจายเกิดขึ้นทั่วประเทศไทย หรือทั่วโลกได้บ้างแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมการรูปแบบใด ปฏิบัติแบบไหน จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องทั้งสิ้น
............................
คำของระบบสีน้ำเงิน
ต้องถูกต้องตรงทุกคำ ทั้งประโยค ใน 7 ประโยคนี้
1. กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
2. พัฒนาความสามารถในการเห็นความว่าง
3. ธาตุทางเคมีมูลค่าหลายล้านดอลล่าร์
4. 0 - 99 (อ่านว่า ศูนย์ถึงเก้า,เก้า)
5. ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ ไปทำงานเหมือนไปเที่ยว
6. ภาพยนตร์สารคดี(แฟนตาซี)ประสานงานเพื่อการเตือนภัย
7. งาน งาน งาน และงาน
คำระบบจำนวน 7 คำนี้ จะต้องถูกต้องตรง ทุกคำ ทั้งประโยค จะไม่มีขาด ไม่มีเกิน จากคำที่กล่าวมานี้เพราะเป็นคำเฉพาะที่ระบบได้แจ้งไว้
และชื่อแผนกทั้ง 4 แผนก
ที่ผู้สังกัดในแผนกนั้น ๆ ต้องจำชื่อแผนกได้แบบครบถ้วนสมบูรณ์
แผนกขับเคลื่อนระบบและ maintenance ระบบ
แผนกข้อมูล และตอบปัญหาชีวิต
แผนกพื้นที่
แผนกประชาสัมพันธ์ 60 บุคคล
.....
...
คำของระบบสีม่วง ในส่วนด้านล่างนี้ เป็นคำศัพท์ที่ระบบได้ขยายความไว้แล้ว
ซึ่งบางท่านอาจจำได้ไม่ครบถ้วนทุกคำทั้งประโยค
แต่ต้องมีความเข้าใจ....ในความหมายที่ตรงกัน
ผู้ที่ได้รับการขยายระบบหลายครั้งจะมีความเข้าใจในแต่ละความหมาย
สามารถนำไปขยายความให้ผู้สนใจรุ่นใหม่ได้รับทราบด้วย
เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่าตีกรอบ
ทุกข์จากระบบมีค่ายิ่งกว่าทอง
60 บุคคล 100 ครอบครัว 5,000 คนทั่วโลก
เวอร์ชั่น 0-99 ,100-300 (อ่านว่า ศูนย์ถึงเก้า,เก้า , ร้อยถึงสามร้อย)
หล่อมาตั้งแต่ศูนย์เซลล์ ยันสูญเสียเซลล์
เหมาะสม สมควร สาสม
ซ้อนขันธ์
ขันธ์เชิงซ้อน
แบบฟอร์มขันธ์๕
Scripนอก Scripใน ระบบFlow
อย่าดึงเข้า อย่าผลักออก
ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน
เช็คความว่าง
ให้โอกาส
อย่ารับผิดชอบว่าเป็นตัวเรา
เป็นคนเหมือนกันต้องทำได้
เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว
โปรแกรมเดี่ยว โปรแกรมคู่
ติดตั้งอุปกรณ์
ระบบ
ขยับระบบ
ขยายระบบ
แจ้งเพื่อทราบ
โครงการเฉพาะกิจ
เมืองลับแล
...
...
คำของระบบสีเขียว เป็นคำที่ใช้เทียบเคียง ใช้เป็นอุบาย เป็นคำสั้น ๆ พูดได้ง่าย จำได้ง่าย และอาจตกหล่นไปบ้าง เกินไปบ้าง ไม่ต้องถูกตรงนัก...แล้วแต่มุมไหน...ใครจะจำเช่นไร
แต่ต้องมีความเข้าใจในความหมายที่เหมือนกัน หรือคล้ายกันในจุดมุ่งหมายของระบบ
เชื่อมระบบ
มาเนียนๆ
จริงตาปลิ้น
เบรคขาครูด
หลอกตัวโง่
สารเคมี
ต้องออกทั้งอย่างนั้น
พรุ่งนี้ไม่มีจริง
ทุกอย่างถูกต้อง
ไม่มีผิดไม่มีถูก
Wave
รับมุข
อย่าข้ามลู่
เวฟปิคนิค
บัพเฟอร์ (Buffer)
สตอรี่ (Story)
ไม่หลอกก็ล่อ
อยู่ที่เท้า
ยินดี ยินดี
จิ้งจก(อุบาย)
๗วัน๒๔ชั่วโมง
ถอยออกมาดู
ประมวลพลัง
กลไกของระบบ
อุปกรณ์มนุษย์ต่างดาว
ซุปเปอร์โมเดล
นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย
ยำรวม
จินตนาการเฉพาะฯ
รอหน่อย..รอหน่อย..อย่ารีบแสดงความโง่
เวฟผู้จัดการ
อุปาทานขันธ์๕
หมดงาน
เข้าฉาก
เราไม่ได้ทำ ระบบทำ
อินเทอนอล Internal
เอทเทอนอล External
ราก Root
อุปกรณ์
ลิขสิทธิ์ของระบบ
ทุกข์กินได้ยาก
คนละทวีป
แกงเขียวหวานไก่ ไม่มีจริง
ขี้เหนียวเคี่ยวเค็ม
สุขทุกข์เท่ากัน
เวฟหลอกล่อ
ไม่รับผิดชอบ
ระบบจัดให้
ทุกอย่าง50/50
ไม่ส่งจิตออกนอก
......................................
คนในระบบ.... คือกลุ่มบุคคลที่ระบบ....ได้จัดวางไว้กระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ทั่วโลก
คือผู้ทำงานกับมนุษย์ต่างดาวใน 5,000 ทั่วโลก
ดังนั้น การที่จะต้องมาพบเจอกัน มาทำความรู้จักกัน มาร่วมรับรู้ข่าวสารจากระบบนี้ จึงมิใช่เรื่องที่จะมาพบเจอได้ง่ายนัก ระบบ จึงได้มีการจัดเป็นจุดรวมของกลุ่มบุคคลที่จะมารับรู้ข่าวสารนี้ ... ที่ระบบเรียกว่า...จุดนัดพบ..ขึ้นมา
ดังนั้น.... เว็บไซด์แห่งนี้ ก็เป็นจุดนัดพบอีกแห่งหนึ่ง ในการที่บุคคลใดจะเข้ามาพบเจอเวปไซด์ ufokaokala.com แห่งนี้ เข้ามาอ่านข้อความเหล่านี้ และมาให้ความสนใจในข้อมูลของเขากะลานี้ มิใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เลย หากท่านมิใช่คนของระบบที่วางไว้
ดังนั้น ขออธิบายเพื่อความเข้าใจ...ในเรื่อง ..จุดนัดพบ สักเล็กน้อย
เรื่อง จุดนัดพบ
ซึ่งข้อมูลจากระบบ...ได้แจ้งไว้้ว่า .....ระบบได้มีการทำ จุดนัดพบ ไว้หลายแห่ง เพื่อเป็นจุดที่คนของระบบ จะต้องมาพบกันยังจุดนัดพบเหล่านั้น ตามงานของแต่ละบุคคล
ดังนั้น แต่ละบุคคลเมื่อถึงเวลาต้องทำงานร่วมกับระบบ ก็ต้องมารับทราบเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาว เรื่องราวการช่วยเหลือในเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นนี้ได้ ซึ่งการจะเข้ามาพบเจอกันได้ ก็ต้องเข้ามายัง จุดนัดพบ เหล่านั้น
ซึ่งแต่ละแผนกมีจุดนัดพบแตกต่างกันออกไป
แผนกข้อมูลและตอบปัญหาชีวิต
จุดนัดพบ .... ของแผนกนี้ ก็มักจะมาจากจุดที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติทางจิต การค้นคว้าทางจิต สนใจเรื่องการปฏิบัติธรรม เรื่องลึกลับ เรื่องพลังงานต่าง ๆ เสียเป็นส่วนใหญ่
เช่น งานวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่มีมาแล้ว 16 ครั้ง มีผู้มาสนใจและรับรู้ข้อมูล และรู้จักกับกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)เป็นจำนวนมาก
เวปไซด์พลังจิต ก็เป็นจุดนัดพบอีกจุดหนึ่งของคนในระบบ ที่คนระบบได้ถูกจัดวางไว้จำนวนหนึ่ง
ดังนั้นผู้ที่สนใจเข้ามาอ่านข้อมูล และติดตามต่อเนื่องมา จนมีความเข้าใจ และพร้อมที่จะเข้ามาร่วมทำงานนั้น ต้องถูกดึงดูดโดยระบบ จนมาพบเจอเวปไซด์นี้ พบเจอกระทู้แห่งนี้ ได้อ่าน ได้ทำความเข้าใจ และหากต่อไป งานที่จะต้องทำให้กับระบบก็เกี่ยวเนื่องกับข้อมูลที่ได้รับทราบมานี้
แต่ไม่จำเป็นต้องเข้ามาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เพราะแต่ละท่านเป็นผู้ที่ต้องทำงานตามจุดในแต่ละสถานที่ ที่แต่ละท่านได้พักอาศัยอยู่ ตอนนี้ท่านอาจจะไม่เข้าใจ แต่ต่อไปเมื่อมีความชัดเจนขึ้น ท่านก็จะได้รับการสื่อสารตรงจากระบบ เพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวเช่นกัน
งานสัมมนาที่จัดขึ้นในสถานที่ต่าง ๆ เช่น สัมมนารวมพลคนพลังจิตติดต่อ UFO ก็เป็นจุดนัดพบอีกจุดหนึ่งที่ระบบได้วางไว้
สำหรับแผนกอื่น ๆ จุดนัดพบก็แตกต่างกันไป
แผนกพื้นที่ ุจุดนัดพบ ก็อาจจะเป็นงานทำบุญ งานบวชนาค งานแต่งงาน งานจัดขายสินค้าราคาถูก หรืองานอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องในชีวิตประจำวัน เพราะแผนกพื้นที่ ทำงานเหมือนบุคคลทั่วไปที่ทำงาน เช่นทำงานประจำ หรืออยู่กับบ้าน ทำกับข้าว มีสามีภรรยา เลี้ยงลูก เลี้ยงหมา เลี้ยงแมวไปตามเรื่อง เหมือนบุคคลทั่ว ๆ ไปในปัจจุบันนี้ที่ดำเนินชีวิตกันตามปกติ
แต่หากเป็นคนของระบบ ที่รู้เรื่องระบบ เรื่องโครงการ ก็จะดำเนินชีวิตเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ที่เป็นชาวบ้านในพื้นที่นั้น ๆ ให้ข้อมูลในพื้นที่นั้น ๆ และเตือนภัยสำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่ตามจังหวัดนั้น ๆ ได้ ตามข้อมูลที่ระบบได้ให้มานั่นเอง
หรือแผนกประชาสัมพันธ์ 60 บุคคล จุดนัดพบก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะแต่ละท่านของแผนกนี้ ได้มีการกระจายไปอยู่ยังสถานที่ต่าง ๆ ดังนั้น จุดนัดพบ จึงมิได้มีการกำหนด มารวมเป็นกลุ่มดังแผนกข้อมูล
ดังนั้น ในรูปแบบของงาน จึงมีการกำหนดจุดนัดพบไม่ได้เหมือนกัน...ในทุกแผนก
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็เพื่อเป็นการยืนยันให้กับในหลาย ๆ บุคคลที่ยังมีความลังเลสงสัย ในเรื่องของการวางโครงข่ายของระบบทั่วโลก การจัดวางบุคคลไว้ทั่วโลก ว่าเราเป็นหนึ่งในจำนวนนี้ที่ระบบได้วางไว้หรือไม่
มนุษย์ต่างดาว ก็จะเทียบเคียงให้ฟังว่า เรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น จึงต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์โลกในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทพ เป็นพรหม เป็นเทวดา หรือเป็นจิตวิญญาณชั้นสูงใด ๆ ก็ตาม ที่ได้รับรู้และมีส่วนที่จะช่วยเหลือมนุษย์โลกให้เหลือรอดต่อไปนั้น ท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน แต่ละแห่ง แต่ละจุด มีปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรจะรับทราบก็คือ
จิตวิญญาณนั้น ๆ ท่านได้ละสังขารกายเนื้อไปแล้ว ดังนั้น การที่จะช่วยเหลือมนุษย์โลกได้ จึงต้องใช้กายหยาบของมนุษย์บนโลก เป็นตัวขับเคลื่อนในการเตรียมการ การเตือนภัย การปฏิบัติการ การช่วยเหลือ โดยที่จิตวิญญาณนั้น ๆ ท่านจะเป็นผู้ชี้แนะ ให้ข้อมูล และแนะนำในเรื่องต่าง ๆ ที่มนุษย์ยังไม่อาจทราบได้
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจ ที่มีการรวมกลุ่มกันขึ้นในหลายสถานที่ มีการเตรียมการเรื่องของการรับมือกับภัยพิบัติกระจายไปหลายแห่งทั่วประเทศ มีการปฏิบัติธรรม ฝึกจิตกันอย่างเข้มข้นในหลายจุด หลายสถานที่
ซึ่งในแต่ละสถานที่นั้น ก็จะได้รับการชี้แนะจากเทพ จากเทวดา จากพระปฏิบัติที่เป็นครูบาอาจารย์ ที่ท่านได้ละสังขารไปแล้ว ท่านได้บอกข้อมูลเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นให้รับรู้และให้เตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นให้เร่งปฏิบัติธรรม ปฏิบัติจิต ปฏิบัติสมาธิ เน้นการปล่อยวางแทบทั้งสิ้น
ดังนั้น ถ้ามองในมุมกว้างของภาพรวม จะเห็นได้ว่า เรื่องของภัยพิบัติเป็นเรื่องใหญ่ ที่ไม่ว่าผู้รู้ ที่จะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม ก็ยังมิอาจนิ่งเฉยอยู่ได้ แม้ท่านจะไม่มีกายเนื้อที่จะปฏิบัติการได้ด้วยตนเองก็ตาม
ดังนั้น จึงต้องเป็นหน้าที่ของมนุษย์ ที่ยังมีกายเนื้อ สามารถปฏิบัติงานได้จริงนั้น เป็นผู้ทำงาน เป็นผู้ดำเนินการตามขั้นตอนของมนุษย์ โดยบางแห่งเตรียมการเรื่องสร้างสถานที่หลบภัย บางแห่งเตรียมการเรื่องอุปกรณ์ บางแห่งให้ข้อมูลและข่าวสาร บางแห่งเน้นการปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิจิต ซึ่งแต่ละแห่งย่อมเตรียมการเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นทั้งสิ้น โดยมีผู้รู้ที่ไม่มีกายเนื้อ ท่านจะเป็นผู้ชี้แนะ ให้ข้อมูลข่าวสาร วิธีการเตรียมการ และนำพากลุ่มต่าง ๆ ไปยังจุดที่ปลอดภัยในเวลาที่คับขันนั้น
นี่คือการทำงานร่วมกัน ในงานใหญ่ที่มิได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นงานของโลกใบนี้ งานเกี่ยวกับภัยพิบัติจึงต้องมีกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย กลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่มากมายกระจายไปทั่วประเทศ ทั่วโลก และแต่ละกลุ่ม ก็จะวิธีการปฏิบัติไม่เหมือนกัน หลากหลายรูปแบบ ตามแต่ผู้รู้จะสื่อมาให้ปฏิบัติ แม้จะต่างรูปแบบ แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือเรื่องของภัยพิบัติทั้งสิ้น คือมีการเตรียมการก่อนเกิด ขณะเกิด และหลังจากเกิดภัยพิบัติแล้ว
ก็คงพอมองภาพรวมของกลุ่มต่าง ๆ ที่กระจายเกิดขึ้นทั่วประเทศไทย หรือทั่วโลกได้บ้างแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมการรูปแบบใด ปฏิบัติแบบไหน จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องทั้งสิ้น
............................
ข้อความจาก... บุคคลท่านหนึ่งที่กล่าวถึง..กลุ่มเขากะลา
“ผมว่ากระทู้นี้และงานของกลุ่มเขากะลาเป็นประโยชน์อย่างมากครับ ถึงมนุษย์ต่างดาวและภัยพิบัติจะมีจริงหรือไม่นั้นไม่สำคัญ อย่างน้อยผมอ่านแล้วก็ได้เปิดโลกทัศน์รับรู้อะไรในมุมมองใหม่ๆที่ยังไม่เคยรู้และได้เรียนรู้วิธีเจริญสติสมาธิแบบใหม่ๆด้วยครับ
ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูลและประสบการณ์ที่นำมาแชร์....ผมจะติดตามกระทู้นี้ต่อไปเรื่อยๆครับ”
ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ ที่ข้อมูลส่วนหนึ่งของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้เกิดประโยชน์ และเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับท่าน ได้นำไปพิจารณาเทียบเคียงกับธรรมะที่ปฏิบัติกันในอยู่ในปัจจุบัน หรือหากนำมาผสมผสานกันแล้วทำให้เข้าใจได้โดยง่าย มีความทุกข์น้อยลง มีการยึดมั่นถือมั่นน้อยลง มีการปล่อยวางได้มากขึ้น เพราะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามธรรมชาตินั้น ๆ
พี่สุดใจคิดว่า หากมีการนำมาพิจารณาประกอบกันแล้วเกิดความเข้าใจ ปฏิบัติแล้วได้ผล โดยวัดจากความทุกข์ที่น้อยลงตามไปด้วย การปล่อยวางที่มีเพิ่มมากขึ้นนั้น นั่นหมายความว่าการฝึกสติ สมาธิแบบนี้อาจจะถูกกับจริตของท่านก็ได้
ขออย่าได้ไปยึดติด หรือจำกัดรูปแบบ ว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้...เท่านั้น
เพราะถ้าลองดูในสมัยพุทธกาล ที่พระภิกษุรูปหนึ่งท่านมาบวชพร้อมพระพี่ชาย แต่ท่านจำบทสวดมนต์ไม่ได้ แม้จะพยายามท่องแต่ละบทอย่างพากเพียร ก็ยังจำไม่ได้อยู่ดี จึงคิดว่าชาตินี้คงไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ท่านจึงท้อใจจะลาสิกขาบท แต่พระพุทธองค์ท่านมีญาณหยั่งรู้ และได้ให้ภิกษุองค์นั้น นั่งถูผ้าเช็ดหน้าสีขาวพร้อมกับภาวนาคำหนึ่งไปด้วย และเมื่อนั่งถูผ้าไปเรื่อย ๆ ผ้าสีขาวนั้นก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มสกปรก เริ่มดำ ท่านเห็นดังนั้น จึงพิจารณาผ้าผืนนั้น เห็นความไม่เที่ยง เห็นความแปรปรวนไป และบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในขณะนั้นเลย นั่นแสดงว่า รูปแบบการพิจารณาเช่นนั้น ถูกต้องตรงกับจริตของพระภิกษุองค์นั้น นั่นเอง
ดังนั้น การเจริญสติ การทำสมาธิ หรือจะเป็นการวิปัสสนาเห็นขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง จึงมีหลากหลายวิธี นั่นก็เพื่อที่ใครถูกจริตกับวิธีไหน ทำแล้วมีความสงบ ทำแล้วมีความเข้าใจ ก็ให้เลือกทำแบบนั้น
มนุษย์ต่างดาว ที่กำหนดรูปแบบการฝึกนั้น แม้จะเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างแปลกไปบ้าง แต่จุดมุ่งหมายไม่ได้แปลกแตกต่างจากการปฏิบัติธรรมเลย สอนแค่ในขันธ์ห้าเท่านั้น ให้เห็นขันธ์ห้าตามความเป็นจริงของธรรมชาติ และออกจากขันธ์ห้าที่ยึดติดกันอยู่
ส่วนที่เหลือ ก็เป็นงานการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันตามกฏของธรรมชาตินั่นเอง
เพราะมนุษย์ คิด เห็น เชื่อ ตามสิ่งที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาได้ และพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น จะนำมาใช้กับทางจิตมันยังไม่ถึง ดังนั้นผู้ที่มีความเจริญทางจิตในขั้นสูง ท่านสามารถรู้เห็น ทำในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้อีกมากมาย วิทยาศาสตร์ยังต้องตามรู้ไป ยังห่างไกลกันนัก
1 + 1 = 2 จริงหรือ ?
เพราะมนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า มีสิ่งที่มนุษย์ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจมีอีกมากในธรรมชาติ มันไม่ได้ตรงไปตรงมาตามที่คิดคำนวณ
ครั้งหนึ่งสอนโดยนำทราย 2 กอง มาวางไว้ข้าง ๆ กัน แล้วให้บวกทรายกองหนึ่ง เข้ากับทรายอีกกองหนึ่ง
1 + 1 = 1
เพราะเมื่อนำทราย 2 กอง มารวมกัน เราก็จะได้ทราย 1 กองเท่านั้น
ผู้ที่เดินผ่านมาเห็นก็จะเห็นเพียงทรายกองใหญ่ 1 กอง เขาก็จะนับเป็น 1
และเมื่อมีทรายอีก 1 กองมาวางไว้ข้าง ๆ เขาก็จะเริ่มเอามาบวกกันอีก 1 + 1 ก็จะกลายเป็น 1 อีก โดยกองใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง
มันจึงไม่ได้ตรงไปตรงมาตามที่วิทยาศาสตร์คิดคำนวณ... มันอยู่ที่เหตุปัจจัยต่างหาก
ดังนั้น สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวได้กล่าวไว้ 3 ประโยค และเป็นแนวทางการฝึกเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ก็ยังคงทันสมัยเสมอในปัจจุบันนี้ ก็คือ
เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
อะไรก็เกิดขึ้นได้
อย่าตีกรอบ
“ผมว่ากระทู้นี้และงานของกลุ่มเขากะลาเป็นประโยชน์อย่างมากครับ ถึงมนุษย์ต่างดาวและภัยพิบัติจะมีจริงหรือไม่นั้นไม่สำคัญ อย่างน้อยผมอ่านแล้วก็ได้เปิดโลกทัศน์รับรู้อะไรในมุมมองใหม่ๆที่ยังไม่เคยรู้และได้เรียนรู้วิธีเจริญสติสมาธิแบบใหม่ๆด้วยครับ
ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูลและประสบการณ์ที่นำมาแชร์....ผมจะติดตามกระทู้นี้ต่อไปเรื่อยๆครับ”
ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ ที่ข้อมูลส่วนหนึ่งของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้เกิดประโยชน์ และเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับท่าน ได้นำไปพิจารณาเทียบเคียงกับธรรมะที่ปฏิบัติกันในอยู่ในปัจจุบัน หรือหากนำมาผสมผสานกันแล้วทำให้เข้าใจได้โดยง่าย มีความทุกข์น้อยลง มีการยึดมั่นถือมั่นน้อยลง มีการปล่อยวางได้มากขึ้น เพราะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามธรรมชาตินั้น ๆ
พี่สุดใจคิดว่า หากมีการนำมาพิจารณาประกอบกันแล้วเกิดความเข้าใจ ปฏิบัติแล้วได้ผล โดยวัดจากความทุกข์ที่น้อยลงตามไปด้วย การปล่อยวางที่มีเพิ่มมากขึ้นนั้น นั่นหมายความว่าการฝึกสติ สมาธิแบบนี้อาจจะถูกกับจริตของท่านก็ได้
ขออย่าได้ไปยึดติด หรือจำกัดรูปแบบ ว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้...เท่านั้น
เพราะถ้าลองดูในสมัยพุทธกาล ที่พระภิกษุรูปหนึ่งท่านมาบวชพร้อมพระพี่ชาย แต่ท่านจำบทสวดมนต์ไม่ได้ แม้จะพยายามท่องแต่ละบทอย่างพากเพียร ก็ยังจำไม่ได้อยู่ดี จึงคิดว่าชาตินี้คงไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ท่านจึงท้อใจจะลาสิกขาบท แต่พระพุทธองค์ท่านมีญาณหยั่งรู้ และได้ให้ภิกษุองค์นั้น นั่งถูผ้าเช็ดหน้าสีขาวพร้อมกับภาวนาคำหนึ่งไปด้วย และเมื่อนั่งถูผ้าไปเรื่อย ๆ ผ้าสีขาวนั้นก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มสกปรก เริ่มดำ ท่านเห็นดังนั้น จึงพิจารณาผ้าผืนนั้น เห็นความไม่เที่ยง เห็นความแปรปรวนไป และบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในขณะนั้นเลย นั่นแสดงว่า รูปแบบการพิจารณาเช่นนั้น ถูกต้องตรงกับจริตของพระภิกษุองค์นั้น นั่นเอง
ดังนั้น การเจริญสติ การทำสมาธิ หรือจะเป็นการวิปัสสนาเห็นขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง จึงมีหลากหลายวิธี นั่นก็เพื่อที่ใครถูกจริตกับวิธีไหน ทำแล้วมีความสงบ ทำแล้วมีความเข้าใจ ก็ให้เลือกทำแบบนั้น
มนุษย์ต่างดาว ที่กำหนดรูปแบบการฝึกนั้น แม้จะเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างแปลกไปบ้าง แต่จุดมุ่งหมายไม่ได้แปลกแตกต่างจากการปฏิบัติธรรมเลย สอนแค่ในขันธ์ห้าเท่านั้น ให้เห็นขันธ์ห้าตามความเป็นจริงของธรรมชาติ และออกจากขันธ์ห้าที่ยึดติดกันอยู่
ส่วนที่เหลือ ก็เป็นงานการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันตามกฏของธรรมชาตินั่นเอง
เพราะมนุษย์ คิด เห็น เชื่อ ตามสิ่งที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาได้ และพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น จะนำมาใช้กับทางจิตมันยังไม่ถึง ดังนั้นผู้ที่มีความเจริญทางจิตในขั้นสูง ท่านสามารถรู้เห็น ทำในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้อีกมากมาย วิทยาศาสตร์ยังต้องตามรู้ไป ยังห่างไกลกันนัก
1 + 1 = 2 จริงหรือ ?
เพราะมนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า มีสิ่งที่มนุษย์ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจมีอีกมากในธรรมชาติ มันไม่ได้ตรงไปตรงมาตามที่คิดคำนวณ
ครั้งหนึ่งสอนโดยนำทราย 2 กอง มาวางไว้ข้าง ๆ กัน แล้วให้บวกทรายกองหนึ่ง เข้ากับทรายอีกกองหนึ่ง
1 + 1 = 1
เพราะเมื่อนำทราย 2 กอง มารวมกัน เราก็จะได้ทราย 1 กองเท่านั้น
ผู้ที่เดินผ่านมาเห็นก็จะเห็นเพียงทรายกองใหญ่ 1 กอง เขาก็จะนับเป็น 1
และเมื่อมีทรายอีก 1 กองมาวางไว้ข้าง ๆ เขาก็จะเริ่มเอามาบวกกันอีก 1 + 1 ก็จะกลายเป็น 1 อีก โดยกองใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง
มันจึงไม่ได้ตรงไปตรงมาตามที่วิทยาศาสตร์คิดคำนวณ... มันอยู่ที่เหตุปัจจัยต่างหาก
ดังนั้น สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวได้กล่าวไว้ 3 ประโยค และเป็นแนวทางการฝึกเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ก็ยังคงทันสมัยเสมอในปัจจุบันนี้ ก็คือ
เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
อะไรก็เกิดขึ้นได้
อย่าตีกรอบ
...............................
เพราะเมื่อใด ที่คิดว่าสิ่งนี้ต้องเป็นอย่างนั้น
สิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนี้ เท่านั้น
ตามที่เคยได้รู้ ได้เห็น ได้ที่เขาบอกเล่าต่อ ๆ กันมา
ก็หมายความว่า ยังมีกรอบของความไม่รู้
ความไม่เข้าใจ กักขังท่านเอาไว้นั่นเอง
เหมือนพระพุทธองค์ท่านตรัสรู้แล้ว กล่าวว่า ขันธ์ 5 นี้ไม่ได้เป็นตัวตน ไม่ได้เป็นของของตน ไม่ได้เป็นตัวเรา ไม่ได้เป็นของของเรา
แล้วจะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจ แล้วละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ได้อย่างไม่ใยดี
เพราะบุคคลทั่วไปยังอยู่ในกรอบของความคิดเห็น ว่านี่เป็นตัวเรา เป็นของของเรา จึงยังคงมีตัวตน มีคนทะยานอยาก มีการสะสมให้ตัวเรา ให้กับครอบครัวเรา ให้ญาติสนิทมิตรสหายของเรา ซึ่งเป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีความเห็นที่เป็นตัวตน
ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ที่พอเกิดมา ก็จะมีผู้บอกว่า นี่ตัวเรานะ นี่ชื่อเรานะ.. จึงมี....ชื่อเราประจำตัวตน...ของเรา
มีพ่อเรา แม่เรา พี่เรา น้องเรา บ้านเรา ของเล่นของเรา หนังสือของเรา โตขึ้นมา ก็มีเพื่อนของเรา โรงเรียนของเรา ข้าวของของเรา รถของเรา แฟนของเรา
เมื่อถึงวัยทำงาน ก็มีงานของเรา เงินของเรา บ้านของเรา สามีภรรยาของเรา ครอบครัวของเรา
เมื่อสูงวัย แม้ทำงานไม่ได้ ก็ยังมีความห่วงใยใน ลูกของเรา หลานของเรา ความเจ็บป่วยของเรา และชีวิตของเราที่ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที
และยังมีความทุกข์... ทั้งมาก ทั้งน้อย ประกอบให้ตลอดรายทางอันยาวนานนั้น
ไม่มีช่องว่างใด ที่จะเห็นได้ว่า ... นี่ไม่ได้เป็นตัวตน นี่ไม่ได้เป็นของของตน นี่ไม่ใช่ตัวเรา นี่ไม่ใช่ของของเรา
ทุกคนจึงยังคงวนเวียน อยู่ในกรอบของความมีตัวตน ความมืดมิดของสัจจะธรรม
แล้วใครจะมาตีกรอบให้แตก ทลายกรอบในความเห็นผิดนี้ออกไปได้
ถ้าไม่ใช่ผู้มีปัญญา ที่ได้มาตรัสรู้....เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ที่มืดบอดเหล่านี้
แสงแห่งธรรมเกิดได้ขึ้นแล้ว พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบทางสว่างแล้ว ดุจแสงเทียนที่ถูกจุดขึ้นในความมืด ให้สัตว์ทั้งหลายที่กำลังหลงทาง อยู่ภายในถ้ำอันมืดมิด มาหลายกัป หลายกัลป์ มายาวนานอันประมาณไม่ได้นั้น ได้แต่คลำหาทางท่ามกลางความมืดอยู่นั้น ได้มองเห็นแสงสว่างรำไร ให้ผู้หลงทางได้เดินตามแสงนั้นไป เพื่อออกสู่ปลายอุโมงค์
เมื่อท่านชี้ทาง เมื่อท่านนำทางแล้ว จะมัวช้าอยู่ใย ธรรมะที่เป็นแก่นแท้ ที่ท่านสอนไว้ ในกฏไตรลักษณ์ ใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้น นำมาพิจารณา นำมาไตร่ตรอง แล้วเร่งปฏิบัติกันเถอะ...
เพราะเวลาที่เหลือนั้น มันไม่ได้มากมายนัก และก็ไม่รู้ว่า จะละขันธ์ 5 ขันธ์นี้ไปกันเมื่อไร
ควรปฏิบัติเพื่อให้ละจากกัน ก่อนที่จะละขันธ์จริง
คือ...ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ให้ได้ ก่อนที่ขันธ์นี้ จะสูญสลายไปตามเวลา
เรียกว่า ช่วงชิงเรียนรู้จากขันธ์ 5 ที่ไม่ได้เป็นของใคร ให้มีความเข้าใจให้มากที่สุด
หากชาติปัจจุบันยังปล่อยวางไม่ทันทั้งหมด ... คงเหลือการยึดมั่นถือมั่นอยู่บ้าง แต่ก็จะอยู่ในระดับที่บางเบาแล้วนั้น
ก็จะเป็นเหตุปัจจัย เอื้อในการปฏิบัติธรรม ในชาติต่อ ๆ ไป
เมื่อเกิดมาชาติใหม่ ก็จะมีการปล่อยวาง ไม่อยากได้อยากมี อยากเป็น
ด้วยเห็นความเป็นอย่างนั้นเองของธรรมชาติมากขึ้นนั่นเอง.
เหมือนพระพุทธองค์ท่านตรัสรู้แล้ว กล่าวว่า ขันธ์ 5 นี้ไม่ได้เป็นตัวตน ไม่ได้เป็นของของตน ไม่ได้เป็นตัวเรา ไม่ได้เป็นของของเรา
แล้วจะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจ แล้วละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ได้อย่างไม่ใยดี
เพราะบุคคลทั่วไปยังอยู่ในกรอบของความคิดเห็น ว่านี่เป็นตัวเรา เป็นของของเรา จึงยังคงมีตัวตน มีคนทะยานอยาก มีการสะสมให้ตัวเรา ให้กับครอบครัวเรา ให้ญาติสนิทมิตรสหายของเรา ซึ่งเป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีความเห็นที่เป็นตัวตน
ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ที่พอเกิดมา ก็จะมีผู้บอกว่า นี่ตัวเรานะ นี่ชื่อเรานะ.. จึงมี....ชื่อเราประจำตัวตน...ของเรา
มีพ่อเรา แม่เรา พี่เรา น้องเรา บ้านเรา ของเล่นของเรา หนังสือของเรา โตขึ้นมา ก็มีเพื่อนของเรา โรงเรียนของเรา ข้าวของของเรา รถของเรา แฟนของเรา
เมื่อถึงวัยทำงาน ก็มีงานของเรา เงินของเรา บ้านของเรา สามีภรรยาของเรา ครอบครัวของเรา
เมื่อสูงวัย แม้ทำงานไม่ได้ ก็ยังมีความห่วงใยใน ลูกของเรา หลานของเรา ความเจ็บป่วยของเรา และชีวิตของเราที่ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที
และยังมีความทุกข์... ทั้งมาก ทั้งน้อย ประกอบให้ตลอดรายทางอันยาวนานนั้น
ไม่มีช่องว่างใด ที่จะเห็นได้ว่า ... นี่ไม่ได้เป็นตัวตน นี่ไม่ได้เป็นของของตน นี่ไม่ใช่ตัวเรา นี่ไม่ใช่ของของเรา
ทุกคนจึงยังคงวนเวียน อยู่ในกรอบของความมีตัวตน ความมืดมิดของสัจจะธรรม
แล้วใครจะมาตีกรอบให้แตก ทลายกรอบในความเห็นผิดนี้ออกไปได้
ถ้าไม่ใช่ผู้มีปัญญา ที่ได้มาตรัสรู้....เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ที่มืดบอดเหล่านี้
แสงแห่งธรรมเกิดได้ขึ้นแล้ว พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบทางสว่างแล้ว ดุจแสงเทียนที่ถูกจุดขึ้นในความมืด ให้สัตว์ทั้งหลายที่กำลังหลงทาง อยู่ภายในถ้ำอันมืดมิด มาหลายกัป หลายกัลป์ มายาวนานอันประมาณไม่ได้นั้น ได้แต่คลำหาทางท่ามกลางความมืดอยู่นั้น ได้มองเห็นแสงสว่างรำไร ให้ผู้หลงทางได้เดินตามแสงนั้นไป เพื่อออกสู่ปลายอุโมงค์
เมื่อท่านชี้ทาง เมื่อท่านนำทางแล้ว จะมัวช้าอยู่ใย ธรรมะที่เป็นแก่นแท้ ที่ท่านสอนไว้ ในกฏไตรลักษณ์ ใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้น นำมาพิจารณา นำมาไตร่ตรอง แล้วเร่งปฏิบัติกันเถอะ...
เพราะเวลาที่เหลือนั้น มันไม่ได้มากมายนัก และก็ไม่รู้ว่า จะละขันธ์ 5 ขันธ์นี้ไปกันเมื่อไร
ควรปฏิบัติเพื่อให้ละจากกัน ก่อนที่จะละขันธ์จริง
คือ...ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ให้ได้ ก่อนที่ขันธ์นี้ จะสูญสลายไปตามเวลา
เรียกว่า ช่วงชิงเรียนรู้จากขันธ์ 5 ที่ไม่ได้เป็นของใคร ให้มีความเข้าใจให้มากที่สุด
หากชาติปัจจุบันยังปล่อยวางไม่ทันทั้งหมด ... คงเหลือการยึดมั่นถือมั่นอยู่บ้าง แต่ก็จะอยู่ในระดับที่บางเบาแล้วนั้น
ก็จะเป็นเหตุปัจจัย เอื้อในการปฏิบัติธรรม ในชาติต่อ ๆ ไป
เมื่อเกิดมาชาติใหม่ ก็จะมีการปล่อยวาง ไม่อยากได้อยากมี อยากเป็น
ด้วยเห็นความเป็นอย่างนั้นเองของธรรมชาติมากขึ้นนั่นเอง.
.................................
รหัสปฏิบัติการ จ่าสิบเอกเชิด
ชื่นสำนวน
ของ...กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
เป็นรหัสปฏิบัติการที่มนุษย์ต่างดาวแจ้งไว้ในการทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา โครงการช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้
โดยระบบให้ใช้รหัสปฏิบัติการจ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน
ชื่อกลุ่ม ....กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
ชื่อรหัสปฏิบัติการ .... จ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน
ระบบให้ใช้รหัสปฏิบัติการ จ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน
สำหรับโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติที่เขากะลา
พี่สุดใจขอเพิ่มเติมในความหมาย และขยายให้มีความเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นสักเล็กน้อยนะคะ
ระบบได้แจ้งข้อมูลว่า รหัสปฏิบัติการนี้ ระบบได้มีการวางโครงการไว้นานแล้ว
ทุกคำ...ในรหัสปฏิบัติการ จ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน มีความหมายทั้งหมด ตามที่ระบบได้แจ้งไว้
จ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน
จ่า สิบเอก เชิด ชื่น สำนวน
ความหมายของแต่ละคำ ที่ระบบได้แจ้งให้ทราบในแต่ละความหมาย ดังนี้
จ่า หมายถึง จ่าฝูง หรือ เป็นผู้นำ เป็นการนำหมู่กลุ่มต่าง ๆ เพื่อปฏิบัติในภารกิจนั้น ๆ
ในความหมายที่ทางโลกเข้าใจ เช่น ขึ้นนำเป็นจ่าฝูง ในการแข่งขัน หรือในการปฏิบัติการนั้น ๆ
สิบเอก ก็คือ สิบเอ็ด 11 (เอกคือ 1) ก็คือรหัสปฏิบัติการที่ระบบวางไว้
จ่า-สิบเอก 7-11
ผู้ที่อยู่ในรหัสปฏิบัติการนี้ ก็มักจะพบเจอแต่เลข 7 หรือ 11 อยู่เสมอ ๆ
เชิด หมายถึง ยกให้สูงขึ้น เชิด ขึ้นให้เห็นเด่นชัด
ซึ่งหมายถึง ต่อไปข้างหน้า ภารกิจนี้จะโดดเด่นไปทั่วโลก ทั้งทางโลก และทางธรรม โดยมีการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น
ชื่น หมายถึง ความชื่นชม น่ายินดี (ซึ่งสนับสนุนกับคำว่าสำนวน)
สำนวน หมายถึง สำนวนของระบบ ที่มีลิขสิทธิ์ เฉพาะของระบบเท่านั้น ซึ่งต้องมีการแปลความหมายจึงจะสามารถเข้าใจได้
เปรียบเทียบได้กับสุภาษิต หรือสำนวนไทย หากกล่าวว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก หรือ วัวหายล้อมคอก เป็นต้น
ซึ่งสุภาษิต หรือสำนวนไทยเหล่านั้น เราไม่อาจที่จะเข้าใจตรง ๆ ได้ จะต้องมีการแปลความหมายเหล่านั้นออกมาก่อน จึงจะเข้าใจได้
สำนวนของระบบก็เช่นกัน เช่น
เรื่อง จริงยิ่งกว่านิยาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่าตีกรอบ
ไปทำงานเหมือนไปเที่ยว ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ
ทุกข์จากระบบมีค่ามากกว่าทอง
ธาตุทางเคมีมูลค่าหลายล้านดอลล่า
พัฒนาความสามารถในการเห็นความว่าง
หรือ คำระบบอีกมากมาย...ที่เคยได้ฟังมาบ้างแล้ว
บุคคลทั่วไป ก็ไม่สามารถจะเข้าใจความหมายได้ ถ้าไม่มีการขยายระบบ
และแต่ละคำ จะมีความหมาย มุ่งเน้นให้เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ เมื่อมีความเข้าใจในความหมายแต่ละคำแล้ว จะมีความชุ่มชื่นใจ ปิติยินดี เข้าใจในธรรมชาติมากขึ้น และละการยึดมั่นถือมั่นจากอุปาทานได้
จึงมีความชื่นชม ยินดี ที่จะได้รับฟังสำนวนของระบบ คือ สำนวนที่น่าชื่นชม น่ายินดี คือ.... ชื่นสำนวน นั่นเอง
นี่คือความหมายของรหัสปฏิบัติการ
จ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน หรือ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน
เป็นรหัสปฏิบัติการร่วมกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา
แจ้งเพื่อทราบ...
เพื่อให้เพื่อน ๆ สมาชิกในรหัสปฏิบัติการนี้ทราบด้วยค่ะ.
หมายเหตุ...มีการแจ้งข้อความนี้เพื่อทราบไปแล้ว
เมื่อปี 2552 ที่ผ่านมา
ของ...กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
เป็นรหัสปฏิบัติการที่มนุษย์ต่างดาวแจ้งไว้ในการทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา โครงการช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้
โดยระบบให้ใช้รหัสปฏิบัติการจ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน
ชื่อกลุ่ม ....กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
ชื่อรหัสปฏิบัติการ .... จ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน
ระบบให้ใช้รหัสปฏิบัติการ จ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน
สำหรับโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติที่เขากะลา
พี่สุดใจขอเพิ่มเติมในความหมาย และขยายให้มีความเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นสักเล็กน้อยนะคะ
ระบบได้แจ้งข้อมูลว่า รหัสปฏิบัติการนี้ ระบบได้มีการวางโครงการไว้นานแล้ว
ทุกคำ...ในรหัสปฏิบัติการ จ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน มีความหมายทั้งหมด ตามที่ระบบได้แจ้งไว้
จ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน
จ่า สิบเอก เชิด ชื่น สำนวน
ความหมายของแต่ละคำ ที่ระบบได้แจ้งให้ทราบในแต่ละความหมาย ดังนี้
จ่า หมายถึง จ่าฝูง หรือ เป็นผู้นำ เป็นการนำหมู่กลุ่มต่าง ๆ เพื่อปฏิบัติในภารกิจนั้น ๆ
ในความหมายที่ทางโลกเข้าใจ เช่น ขึ้นนำเป็นจ่าฝูง ในการแข่งขัน หรือในการปฏิบัติการนั้น ๆ
สิบเอก ก็คือ สิบเอ็ด 11 (เอกคือ 1) ก็คือรหัสปฏิบัติการที่ระบบวางไว้
จ่า-สิบเอก 7-11
ผู้ที่อยู่ในรหัสปฏิบัติการนี้ ก็มักจะพบเจอแต่เลข 7 หรือ 11 อยู่เสมอ ๆ
เชิด หมายถึง ยกให้สูงขึ้น เชิด ขึ้นให้เห็นเด่นชัด
ซึ่งหมายถึง ต่อไปข้างหน้า ภารกิจนี้จะโดดเด่นไปทั่วโลก ทั้งทางโลก และทางธรรม โดยมีการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น
ชื่น หมายถึง ความชื่นชม น่ายินดี (ซึ่งสนับสนุนกับคำว่าสำนวน)
สำนวน หมายถึง สำนวนของระบบ ที่มีลิขสิทธิ์ เฉพาะของระบบเท่านั้น ซึ่งต้องมีการแปลความหมายจึงจะสามารถเข้าใจได้
เปรียบเทียบได้กับสุภาษิต หรือสำนวนไทย หากกล่าวว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก หรือ วัวหายล้อมคอก เป็นต้น
ซึ่งสุภาษิต หรือสำนวนไทยเหล่านั้น เราไม่อาจที่จะเข้าใจตรง ๆ ได้ จะต้องมีการแปลความหมายเหล่านั้นออกมาก่อน จึงจะเข้าใจได้
สำนวนของระบบก็เช่นกัน เช่น
เรื่อง จริงยิ่งกว่านิยาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่าตีกรอบ
ไปทำงานเหมือนไปเที่ยว ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ
ทุกข์จากระบบมีค่ามากกว่าทอง
ธาตุทางเคมีมูลค่าหลายล้านดอลล่า
พัฒนาความสามารถในการเห็นความว่าง
หรือ คำระบบอีกมากมาย...ที่เคยได้ฟังมาบ้างแล้ว
บุคคลทั่วไป ก็ไม่สามารถจะเข้าใจความหมายได้ ถ้าไม่มีการขยายระบบ
และแต่ละคำ จะมีความหมาย มุ่งเน้นให้เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ เมื่อมีความเข้าใจในความหมายแต่ละคำแล้ว จะมีความชุ่มชื่นใจ ปิติยินดี เข้าใจในธรรมชาติมากขึ้น และละการยึดมั่นถือมั่นจากอุปาทานได้
จึงมีความชื่นชม ยินดี ที่จะได้รับฟังสำนวนของระบบ คือ สำนวนที่น่าชื่นชม น่ายินดี คือ.... ชื่นสำนวน นั่นเอง
นี่คือความหมายของรหัสปฏิบัติการ
จ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน หรือ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน
เป็นรหัสปฏิบัติการร่วมกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา
แจ้งเพื่อทราบ...
เพื่อให้เพื่อน ๆ สมาชิกในรหัสปฏิบัติการนี้ทราบด้วยค่ะ.
หมายเหตุ...มีการแจ้งข้อความนี้เพื่อทราบไปแล้ว
เมื่อปี 2552 ที่ผ่านมา
........................................
คำศัพท์ระบบ หรือสำนวนของระบบ
คำศัพท์เฉพาะของ "ระบบ" ที่ไม่ได้มีความหมายตรงตามคำนั้น ๆ
ต้องมีการแปลความหมาย ขยายความคำศัพท์นั้นอีกครั้งหนึ่ง
คำศัพท์เฉพาะของ "ระบบ" ที่ไม่ได้มีความหมายตรงตามคำนั้น ๆ
ต้องมีการแปลความหมาย ขยายความคำศัพท์นั้นอีกครั้งหนึ่ง
คำของระบบสีน้ำเงิน
ต้องถูกต้องตรงทุกคำ ทั้งประโยค ใน 7 ประโยคนี้
1. กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
2. พัฒนาความสามารถในการเห็นความว่าง
3. ธาตุทางเคมีมูลค่าหลายล้านดอลล่าร์
4. 0 - 99 (อ่านว่า ศูนย์ถึงเก้า,เก้า)
5. ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ ไปทำงานเหมือนไปเที่ยว
6. ภาพยนตร์สารคดี(แฟนตาซี)ประสานงานเพื่อการเตือนภัย
7. งาน งาน งาน และงาน
คำระบบจำนวน 7 คำนี้ จะต้องถูกต้องตรง ทุกคำ ทั้งประโยค จะไม่มีขาด ไม่มีเกิน จากคำที่กล่าวมานี้เพราะเป็นคำเฉพาะที่ระบบได้แจ้งไว้
และชื่อแผนกทั้ง 4 แผนก
ที่ผู้สังกัดในแผนกนั้น ๆ ต้องจำชื่อแผนกได้แบบครบถ้วนสมบูรณ์
แผนกขับเคลื่อนระบบและ maintenance ระบบ
แผนกข้อมูล และตอบปัญหาชีวิต
แผนกพื้นที่
แผนกประชาสัมพันธ์ 60 บุคคล
.....
...
คำของระบบสีม่วง ในส่วนด้านล่างนี้ เป็นคำศัพท์ที่ระบบได้ขยายความไว้แล้ว
ซึ่งบางท่านอาจจำได้ไม่ครบถ้วนทุกคำทั้งประโยค
แต่ต้องมีความเข้าใจ....ในความหมายที่ตรงกัน
ผู้ที่ได้รับการขยายระบบหลายครั้งจะมีความเข้าใจในแต่ละความหมาย
สามารถนำไปขยายความให้ผู้สนใจรุ่นใหม่ได้รับทราบด้วย
เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่าตีกรอบ
ทุกข์จากระบบมีค่ายิ่งกว่าทอง
60 บุคคล 100 ครอบครัว 5,000 คนทั่วโลก
เวอร์ชั่น 0-99 ,100-300 (อ่านว่า ศูนย์ถึงเก้า,เก้า , ร้อยถึงสามร้อย)
หล่อมาตั้งแต่ศูนย์เซลล์ ยันสูญเสียเซลล์
เหมาะสม สมควร สาสม
ซ้อนขันธ์
ขันธ์เชิงซ้อน
แบบฟอร์มขันธ์๕
Scripนอก Scripใน ระบบFlow
อย่าดึงเข้า อย่าผลักออก
ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน
เช็คความว่าง
ให้โอกาส
อย่ารับผิดชอบว่าเป็นตัวเรา
เป็นคนเหมือนกันต้องทำได้
เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว
โปรแกรมเดี่ยว โปรแกรมคู่
ติดตั้งอุปกรณ์
ระบบ
ขยับระบบ
ขยายระบบ
แจ้งเพื่อทราบ
โครงการเฉพาะกิจ
เมืองลับแล
...
...
คำของระบบสีเขียว เป็นคำที่ใช้เทียบเคียง ใช้เป็นอุบาย เป็นคำสั้น ๆ พูดได้ง่าย จำได้ง่าย และอาจตกหล่นไปบ้าง เกินไปบ้าง ไม่ต้องถูกตรงนัก...แล้วแต่มุมไหน...ใครจะจำเช่นไร
แต่ต้องมีความเข้าใจในความหมายที่เหมือนกัน หรือคล้ายกันในจุดมุ่งหมายของระบบ
เชื่อมระบบ
มาเนียนๆ
จริงตาปลิ้น
เบรคขาครูด
หลอกตัวโง่
สารเคมี
ต้องออกทั้งอย่างนั้น
พรุ่งนี้ไม่มีจริง
ทุกอย่างถูกต้อง
ไม่มีผิดไม่มีถูก
Wave
รับมุข
อย่าข้ามลู่
เวฟปิคนิค
บัพเฟอร์ (Buffer)
สตอรี่ (Story)
ไม่หลอกก็ล่อ
อยู่ที่เท้า
ยินดี ยินดี
จิ้งจก(อุบาย)
๗วัน๒๔ชั่วโมง
ถอยออกมาดู
ประมวลพลัง
กลไกของระบบ
อุปกรณ์มนุษย์ต่างดาว
ซุปเปอร์โมเดล
นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย
ยำรวม
จินตนาการเฉพาะฯ
รอหน่อย..รอหน่อย..อย่ารีบแสดงความโง่
เวฟผู้จัดการ
อุปาทานขันธ์๕
หมดงาน
เข้าฉาก
เราไม่ได้ทำ ระบบทำ
อินเทอนอล Internal
เอทเทอนอล External
ราก Root
อุปกรณ์
ลิขสิทธิ์ของระบบ
ทุกข์กินได้ยาก
คนละทวีป
แกงเขียวหวานไก่ ไม่มีจริง
ขี้เหนียวเคี่ยวเค็ม
สุขทุกข์เท่ากัน
เวฟหลอกล่อ
ไม่รับผิดชอบ
ระบบจัดให้
ทุกอย่าง50/50
ไม่ส่งจิตออกนอก
......................................
มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา
... ตอบข้อสงสัยของมนุษย์โลก
เป็นการส่งข้อมูลมาตอบคำถามของผู้ที่มีข้อสงสัย ซึ่งได้เคยนำลงไว้ในเว็บไซด์พลังจิตครั้งหนึ่งแล้ว
แต่บางท่านที่เพิ่งได้เข้ามาใหม่ในเว็บไซด์แห่งนี้ อาจจะยังไม่ได้อ่านข้อความนี้ จึงจะขอนำมาให้ท่านได้อ่านอีกครั้งหนึ่งค่ะ
.......
เป็นข้อมูลจากการสื่อสารของมนุษย์ต่างดาว มาตอบคำถามผู้ที่ได้เคยสงสัย และได้สอบถามมาเป็นจำนวนมากในช่วงนั้น มาโพสให้ผู้ที่ยังมีความสงสัยได้รับทราบด้วย
โดยในครั้งนั้น เป็นวันที่ 13 เมษายน 2543 เป็นการเข้าไปใช้อินเตอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ระบบให้มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านเวปไซด์ sanook.com ในหมวด มิติพิศวง ซึ่งมนุษย์ต่างดาว ได้ส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์การสื่อสาร หรือเครื่องรับข้อมูลที่ได้ติดตั้งไว้ให้เพียงท่านเดียวในช่วงนั้น ก็คือคุณวาสนา ชื่นสำนวน ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบแผนกขับเคลื่อนระบบ และ maintenance ระบบ ในปัจจุบัน
ในปัจจุบันนี้ หมวดมิติพิศวง ในเวปไซด์นั้น ได้ปิดไปแล้ว แต่ก่อนหน้าที่ระบบจะยุติการให้ข้อมูลในช่วงนั้น ระบบได้มีการสั่งให้ไปจดข้อความทั้งหมด มาพิมพ์เก็บไว้ เพื่อเป็นหลักฐานในการสื่อสารกับมนุษย์โลกสู่สาธารณะผ่านทางอินเตอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ซึ่งมีจำนวนมากหลายร้อยหน้าทีเดียว อีกกลุ่มหนึ่งไปเปิดเน็ตแล้วจดข้อความมา อีกกลุ่มหนึ่งก็พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดสมัยเก่า ใส่กระดาษเก็บเข้าแฟ้มเพื่อเก็บเป็นหลักฐาน ซึ่งพี่สุดใจได้แนบแฟ้มดังกล่าวมาให้ดูด้วย เพื่อเป็นการยืนยันในการมีอยู่จริงของข้อมูล
และสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้คงขอเล่าสักนิด ก็คือ ปกติ แฟ้มนี้จะถูกเก็บไว้เป็นหลักฐานในตู้เอกสารที่เป็นตู้เหล็กอยู่ที่นครสวรรค์ ไม่มีการนำออกมาเกือบ 8 ปีแล้ว แต่เมื่อสักเดือนที่ผ่านมา คุณสมจิตรจะเดินทางมากรุงเทพฯ ระบบได้สั่งให้หยิบแฟ้มนี้มาด้วย ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเอามาทำไมเหมือนกัน ได้มาแล้วก็วางไว้เฉย ๆ แต่พอวันนี้ ระบบก็สื่อสารมาให้นำข่าวสารเหล่านั้น เผยแพร่อีกครั้ง
พี่สุดใจก็จะรับข้อมูลประมาณนี้มาตลอด บางข้อมูลที่ระบบมุ่งหมาย "แจ้งเพื่อทราบ" ต้องส่งผ่านแบบชัดเจนถูกต้องตรงทุกคำพูด ทุกตัวอักษร ที่ต้องแจ้งออกไป และบางส่วนก็เป็นข้อมูลเพื่อเตรียมการ อันนี้ไม่ต้องบอกใคร แต่เป็นผู้ทำเอง เตรียมเอง ให้เตรียมสิ่งนี้ ให้ทำอย่างนี้ แต่ก็ไม่รู้ความหมายในขณะนั้น จนเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งนั้นก็จะได้ใช้ทันท่วงที เช่นให้ไปประชุม ให้เตรียมข้อมูลและ cd ไปด้วย 3 ชุด พอไปแล้วก็พบกับบุคคลสำคัญ 3 คนที่สนใจ เคยเห็น UFO มาสนทนาด้วย และก็ได้มีการให้ข้อมูลพร้อม cd ไปครบทั้ง 3 ท่าน หรือให้ไปที่จุดนี้ บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าไปทำไม แต่เมื่อไปแล้วก็พบกับคนที่ต้องประสานงานด้วย หรือพบกับคนที่ระบบต้องการจะเชื่อมต่อด้วยเสมอ ๆ ซึ่งหลาย ๆ ท่าน ที่เคยบอกให้พี่สุดใจทราบ ก็เคยเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ แต่คำเฉลยจะตามมาทีหลัง แล้วเราก็จะ อ๋อ... ได้เลยตอนนั้น
ดังนั้น การทำงานกับมนุษย์ต่างดาว ก็คือ
ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ
ไปทำงานเหมือนไปเที่ยว
นี่เป็นคำของระบบ ได้เคยกล่าวไปครั้งหนึ่งแล้ว โดยอธิบายรายละเอียดในกระทู้นี้ ในโพสเก่า ๆ ที่ผ่านมา
นั่นเพราะโดยความจริงแล้ว เราไม่ได้ทำอะไร ถึงอยากช่วยทำก็ไม่รู้จะช่วยอะไร เพราะไม่อาจรู้ได้ถึงแผนงาน หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ก็คือ การปฏิบัติธรรม การฝึกสติปัฐฐานสี่ จากกาย เวทนา จิต ธรรม เป็นหลัก การวิปัสนา เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติ การพิจารณาขันธ์ห้าเพื่อปล่อยวาง เห็นความว่างจากความเป็นตัวตน ของตน ในทุกขณะ ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ นั่นคือประโยชน์ตน คือกิจที่มนุษย์ผู้นั้นต้องกระทำ นอกเหนือจากนั้น เป็นงานของระบบทั้งสิ้น ไม่ต้องไปห่วง ไม่ต้องไปกังวล เพราะเขาต้องทำของเขาเอง และถูกต้องตรงตามแผนที่วางไว้ด้วย
เพราะเขารู้ล่วงไปข้างหน้า ว่าต้องทำอะไร ตอนไหน และต้องเตรียมอะไรบ้าง จึงได้มีการเตรียมแผนไว้ก่อน แต่มนุษย์ที่รู้เห็นได้แค่ปัจจุบัน ย่อมไม่เข้าใจ
ซึ่งพี่สุดใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น ก็จะมีคำถามแบบนี้บ่อย ๆ ว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ ทำไมต้องไปที่นี่ ทำไมต้องให้ข้อมูลกับคนนี้ ทำไมไม่ให้กับคนนี้ แต่ในช่วงหลัง สิ่งที่เตรียมการไว้ มีการได้ใช้เกือบทุกเรื่อง จึงได้เลิกสนใจ หันมาให้ประโยชน์ตน ฝึกสติ ฝึกสมาธิ ฝึกวิปัสสนาเพื่อการปล่อยวางอย่างเดียว นอกนั้น จะให้เตรียมอะไรก็เตรียมไป แล้วก็จะมีการนำมาใช้เกือบทุกครั้ง และทั้งหลายทั้งมวล ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น
เป็นการส่งข้อมูลมาตอบคำถามของผู้ที่มีข้อสงสัย ซึ่งได้เคยนำลงไว้ในเว็บไซด์พลังจิตครั้งหนึ่งแล้ว
แต่บางท่านที่เพิ่งได้เข้ามาใหม่ในเว็บไซด์แห่งนี้ อาจจะยังไม่ได้อ่านข้อความนี้ จึงจะขอนำมาให้ท่านได้อ่านอีกครั้งหนึ่งค่ะ
.......
เป็นข้อมูลจากการสื่อสารของมนุษย์ต่างดาว มาตอบคำถามผู้ที่ได้เคยสงสัย และได้สอบถามมาเป็นจำนวนมากในช่วงนั้น มาโพสให้ผู้ที่ยังมีความสงสัยได้รับทราบด้วย
โดยในครั้งนั้น เป็นวันที่ 13 เมษายน 2543 เป็นการเข้าไปใช้อินเตอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ระบบให้มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านเวปไซด์ sanook.com ในหมวด มิติพิศวง ซึ่งมนุษย์ต่างดาว ได้ส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์การสื่อสาร หรือเครื่องรับข้อมูลที่ได้ติดตั้งไว้ให้เพียงท่านเดียวในช่วงนั้น ก็คือคุณวาสนา ชื่นสำนวน ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบแผนกขับเคลื่อนระบบ และ maintenance ระบบ ในปัจจุบัน
ในปัจจุบันนี้ หมวดมิติพิศวง ในเวปไซด์นั้น ได้ปิดไปแล้ว แต่ก่อนหน้าที่ระบบจะยุติการให้ข้อมูลในช่วงนั้น ระบบได้มีการสั่งให้ไปจดข้อความทั้งหมด มาพิมพ์เก็บไว้ เพื่อเป็นหลักฐานในการสื่อสารกับมนุษย์โลกสู่สาธารณะผ่านทางอินเตอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ซึ่งมีจำนวนมากหลายร้อยหน้าทีเดียว อีกกลุ่มหนึ่งไปเปิดเน็ตแล้วจดข้อความมา อีกกลุ่มหนึ่งก็พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดสมัยเก่า ใส่กระดาษเก็บเข้าแฟ้มเพื่อเก็บเป็นหลักฐาน ซึ่งพี่สุดใจได้แนบแฟ้มดังกล่าวมาให้ดูด้วย เพื่อเป็นการยืนยันในการมีอยู่จริงของข้อมูล
และสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้คงขอเล่าสักนิด ก็คือ ปกติ แฟ้มนี้จะถูกเก็บไว้เป็นหลักฐานในตู้เอกสารที่เป็นตู้เหล็กอยู่ที่นครสวรรค์ ไม่มีการนำออกมาเกือบ 8 ปีแล้ว แต่เมื่อสักเดือนที่ผ่านมา คุณสมจิตรจะเดินทางมากรุงเทพฯ ระบบได้สั่งให้หยิบแฟ้มนี้มาด้วย ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเอามาทำไมเหมือนกัน ได้มาแล้วก็วางไว้เฉย ๆ แต่พอวันนี้ ระบบก็สื่อสารมาให้นำข่าวสารเหล่านั้น เผยแพร่อีกครั้ง
พี่สุดใจก็จะรับข้อมูลประมาณนี้มาตลอด บางข้อมูลที่ระบบมุ่งหมาย "แจ้งเพื่อทราบ" ต้องส่งผ่านแบบชัดเจนถูกต้องตรงทุกคำพูด ทุกตัวอักษร ที่ต้องแจ้งออกไป และบางส่วนก็เป็นข้อมูลเพื่อเตรียมการ อันนี้ไม่ต้องบอกใคร แต่เป็นผู้ทำเอง เตรียมเอง ให้เตรียมสิ่งนี้ ให้ทำอย่างนี้ แต่ก็ไม่รู้ความหมายในขณะนั้น จนเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งนั้นก็จะได้ใช้ทันท่วงที เช่นให้ไปประชุม ให้เตรียมข้อมูลและ cd ไปด้วย 3 ชุด พอไปแล้วก็พบกับบุคคลสำคัญ 3 คนที่สนใจ เคยเห็น UFO มาสนทนาด้วย และก็ได้มีการให้ข้อมูลพร้อม cd ไปครบทั้ง 3 ท่าน หรือให้ไปที่จุดนี้ บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าไปทำไม แต่เมื่อไปแล้วก็พบกับคนที่ต้องประสานงานด้วย หรือพบกับคนที่ระบบต้องการจะเชื่อมต่อด้วยเสมอ ๆ ซึ่งหลาย ๆ ท่าน ที่เคยบอกให้พี่สุดใจทราบ ก็เคยเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ แต่คำเฉลยจะตามมาทีหลัง แล้วเราก็จะ อ๋อ... ได้เลยตอนนั้น
ดังนั้น การทำงานกับมนุษย์ต่างดาว ก็คือ
ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ
ไปทำงานเหมือนไปเที่ยว
นี่เป็นคำของระบบ ได้เคยกล่าวไปครั้งหนึ่งแล้ว โดยอธิบายรายละเอียดในกระทู้นี้ ในโพสเก่า ๆ ที่ผ่านมา
นั่นเพราะโดยความจริงแล้ว เราไม่ได้ทำอะไร ถึงอยากช่วยทำก็ไม่รู้จะช่วยอะไร เพราะไม่อาจรู้ได้ถึงแผนงาน หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ก็คือ การปฏิบัติธรรม การฝึกสติปัฐฐานสี่ จากกาย เวทนา จิต ธรรม เป็นหลัก การวิปัสนา เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติ การพิจารณาขันธ์ห้าเพื่อปล่อยวาง เห็นความว่างจากความเป็นตัวตน ของตน ในทุกขณะ ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ นั่นคือประโยชน์ตน คือกิจที่มนุษย์ผู้นั้นต้องกระทำ นอกเหนือจากนั้น เป็นงานของระบบทั้งสิ้น ไม่ต้องไปห่วง ไม่ต้องไปกังวล เพราะเขาต้องทำของเขาเอง และถูกต้องตรงตามแผนที่วางไว้ด้วย
เพราะเขารู้ล่วงไปข้างหน้า ว่าต้องทำอะไร ตอนไหน และต้องเตรียมอะไรบ้าง จึงได้มีการเตรียมแผนไว้ก่อน แต่มนุษย์ที่รู้เห็นได้แค่ปัจจุบัน ย่อมไม่เข้าใจ
ซึ่งพี่สุดใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น ก็จะมีคำถามแบบนี้บ่อย ๆ ว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ ทำไมต้องไปที่นี่ ทำไมต้องให้ข้อมูลกับคนนี้ ทำไมไม่ให้กับคนนี้ แต่ในช่วงหลัง สิ่งที่เตรียมการไว้ มีการได้ใช้เกือบทุกเรื่อง จึงได้เลิกสนใจ หันมาให้ประโยชน์ตน ฝึกสติ ฝึกสมาธิ ฝึกวิปัสสนาเพื่อการปล่อยวางอย่างเดียว นอกนั้น จะให้เตรียมอะไรก็เตรียมไป แล้วก็จะมีการนำมาใช้เกือบทุกครั้ง และทั้งหลายทั้งมวล ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น
...........................
ซึ่งคำถามในหลายคำถามในช่วงนั้น
ได้มีการสื่อสารลงมาตอบข้อความไว้อย่างละเอียด เพราะมีหลายคนที่ตั้งคำถามด้วยความสงสัยในเรื่องของมนุษย์ต่างดาว
เรื่องของจักรวาล เรื่องของกลุ่มพลังงานต่าง ๆ
ที่สื่อสารกับมนุษย์โลก
จึงขอนำข้อมูลที่มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา ได้มีการสื่อสารตอบคำถามของผู้ที่สงสัยในช่วงนั้น มาให้หลายท่านรับทราบอีกครั้ง
หลายท่านอาจจะเคยได้อ่านมาบ้างแล้ว แต่หลายท่านอาจยังไม่เคยได้อ่าน
ดังนั้น พี่สุดใจก็จะคัดเลือกเฉพาะบางคำถาม ที่มีข้อความที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่หลายท่านสงสัยในขณะนี้
ทั้งหมดที่จะนำมาให้อ่านในช่วงต่อจากนี้ไป มนุษย์ต่างดาวที่ติดต่อกับกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้ส่งข้อมูลมาตอบคำถามนี้ไว้ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา
จึงขอนำข้อมูลที่มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา ได้มีการสื่อสารตอบคำถามของผู้ที่สงสัยในช่วงนั้น มาให้หลายท่านรับทราบอีกครั้ง
หลายท่านอาจจะเคยได้อ่านมาบ้างแล้ว แต่หลายท่านอาจยังไม่เคยได้อ่าน
ดังนั้น พี่สุดใจก็จะคัดเลือกเฉพาะบางคำถาม ที่มีข้อความที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่หลายท่านสงสัยในขณะนี้
ทั้งหมดที่จะนำมาให้อ่านในช่วงต่อจากนี้ไป มนุษย์ต่างดาวที่ติดต่อกับกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้ส่งข้อมูลมาตอบคำถามนี้ไว้ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา
.............................
ก่อนเข้าสู่การตอบคำถามของมนุษย์ต่างดาวเกี่ยวกับจักรวาล
พี่สุดใจขอเพิ่มเติมรายละเอียดสักเล็กน้อยนะคะ
ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ จะเห็นได้ว่ามีกลุ่มพลังงานจากนอกระบบโลก จากจักรวาล ไม่ว่าจะเป็น พลังจักรวาล จิตจักรวาล ครายออน มนุษย์ต่างดาว หรือเรียกชื่ออื่นใดก็ตามที่รับการสื่อสารจากจักรวาล จากนอกโลก ที่ได้มีการส่งมาเพื่อสื่อสารกับมนุษย์โลกในหลายกลุ่ม หลายบุคคล เพื่อถ่ายทอดข้อมูลเหล่านี้ให้กับมนุษย์โลกคนอื่น ๆ ได้รับทราบ ได้มีการกระจายข่าวสารไปทั่วโลก ผ่านทางหนังสือบ้าง ทางเวปไซด์บ้าง ทางวิทยุโทรทัศน์บ้าง โดยส่วนมากจะสื่อสารมาในรูปแบบ “กลุ่มความคิด” หรือ “กลุ่มพลังงาน” ที่มีการอธิบายกลไกของจักรวาล ซึ่งข้อมูลการสื่อสารดังกล่าวเป็นในรูปแบบใหม่ ๆ ที่มนุษย์อาจไม่เคยได้รับรู้ ได้ยินมาก่อน จึงค่อนข้างเป็นเรื่องแปลก โดยส่วนใหญ่จะออกมาในรูปแบบวิทยาศาสตร์ผสมผสานกับทางจิตนั่นเอง
หลายสิ่งที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจได้ อย่างที่มนุษย์ต่างดาวได้บอกว่า ที่เราไม่สามารถเข้าใจได้เพราะ “ความคิดแบบจิตมนุษย์” มาใช้กับจักรวาลยังไม่ได้ เพราะมนุษย์จะมีกรอบจำกัดของการรับรู้ในสิ่งที่ได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัส ด้วยตาเนื้อเท่านั้น ได้เท่าที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้เท่านั้น ที่เหลือนอกนั้นก็จะไม่ยอมเปิดใจรับฟัง เพราะยังพิสูจน์ไม่ได้ ดังนั้น ความคิดนี้จึงอยู่ในวงจำกัด คือตีกรอบไว้เท่านั้น
เพราะโครงการปรับสมดุลของโลก เพื่อเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่นั้น ได้มีกลุ่มพลังงาน ที่มาทำหน้าที่แจ้งข่าวสารไปยังมนุษย์โลกในหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน นั่นคือสมมุติเรียกกันในแต่ละจุด แต่ละกลุ่ม และข่าวสารจากจักรวาล ที่ได้รับการสื่อสารลงมา แต่ละกลุ่มก็มีกลไกที่จะต้องดำเนินงานไปตาม “ แผน” ที่ได้รับผิดชอบลงมา ซึ่งทุกกลุ่มความคิด ทุกกลุ่มพลังงาน ที่สื่อสารลงมา ก็ย่อมถูกต้องตรงตามเป้าหมายที่ได้รับมาทั้งสิ้น
ที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ไม่แปลกใจในการสื่อสารของทุกกลุ่มพลังงาน ทุกคลื่นความคิดที่ติดต่อกับมนุษย์โลกนั้น เพราะระบบได้มีการอธิบายโครงสร้างโดยรวมให้ทราบถึงที่มาของแต่ละกลุ่มพลังงานที่สื่อสารลงมาอยู่แล้ว แม้จะไม่ลึกลงในรายละเอียด ใน “ แผน” ของงานที่แต่ละกลุ่มพลังงานนั้น ๆ ต้องดำเนินการก็ตาม แต่ทุกอย่างที่แต่ละกลุ่มกำลังกระทำ กำลังให้ข้อมูล กำลังดำเนินการต่อเนื่องอยู่นั้น เป็นการทำงานตาม “แผน” ที่ได้มีการวางไว้ของแต่ละกลุ่มพลังงานนั้น ๆ ทั้งสิ้น โดยไม่มีการผิดพลาด หรือมีการแทรกแซงใด ๆ
เพียงแต่ “แผนงาน” ของแต่ละกลุ่มพลังงาน หรือกลุ่มความคิดนั้น ๆ ที่ได้รับมา จะเป็นรูปแบบไหนเท่านั้นเอง
ดังนั้น ในส่วนที่จะได้นำลงให้อ่านต่อไปนี้ ก็เป็นการตอบคำถามจากมนุษย์ต่างดาว ให้กับผู้ที่ยังสงสัยในเรื่องของกลุ่มความคิด กลุ่มพลังงานต่าง ๆ ที่ติดต่อกับมนุษย์ ได้สอบถามเข้ามาเท่านั้น โดยทางกลุ่มฯ มิได้เจตนาจะก้าวล่วงไปยัง "แผนงาน" ของกลุ่มพลังงานนั้น ๆ ซึ่งในแต่ละกลุ่มก็ยังคงดำเนินการไปตาม “ แผนงาน” ที่ได้รับมานั่นเอง
ท่านที่ได้อ่านข้อความการสื่อสารต่อไปนี้ อาจต้องใช้การพิจารณาอย่างยิ่งในความเห็นของท่าน กับข้อมูลที่ได้สื่อสารลงมา ซึ่งบางท่านอาจหายสงสัยและมีความเข้าใจในภาพรวมของจักรวาลได้เลย หรือบางท่านอาจไม่พอใจ และยังคงลังเลสงสัยต่อไป ซึ่งในส่วนนี้พี่สุดใจก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้า
แต่ทั้งหมดนี้คือ ข้อมูลที่ได้รับการสื่อสารมาจริง จากมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา
พี่สุดใจขอเพิ่มเติมรายละเอียดสักเล็กน้อยนะคะ
ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ จะเห็นได้ว่ามีกลุ่มพลังงานจากนอกระบบโลก จากจักรวาล ไม่ว่าจะเป็น พลังจักรวาล จิตจักรวาล ครายออน มนุษย์ต่างดาว หรือเรียกชื่ออื่นใดก็ตามที่รับการสื่อสารจากจักรวาล จากนอกโลก ที่ได้มีการส่งมาเพื่อสื่อสารกับมนุษย์โลกในหลายกลุ่ม หลายบุคคล เพื่อถ่ายทอดข้อมูลเหล่านี้ให้กับมนุษย์โลกคนอื่น ๆ ได้รับทราบ ได้มีการกระจายข่าวสารไปทั่วโลก ผ่านทางหนังสือบ้าง ทางเวปไซด์บ้าง ทางวิทยุโทรทัศน์บ้าง โดยส่วนมากจะสื่อสารมาในรูปแบบ “กลุ่มความคิด” หรือ “กลุ่มพลังงาน” ที่มีการอธิบายกลไกของจักรวาล ซึ่งข้อมูลการสื่อสารดังกล่าวเป็นในรูปแบบใหม่ ๆ ที่มนุษย์อาจไม่เคยได้รับรู้ ได้ยินมาก่อน จึงค่อนข้างเป็นเรื่องแปลก โดยส่วนใหญ่จะออกมาในรูปแบบวิทยาศาสตร์ผสมผสานกับทางจิตนั่นเอง
หลายสิ่งที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจได้ อย่างที่มนุษย์ต่างดาวได้บอกว่า ที่เราไม่สามารถเข้าใจได้เพราะ “ความคิดแบบจิตมนุษย์” มาใช้กับจักรวาลยังไม่ได้ เพราะมนุษย์จะมีกรอบจำกัดของการรับรู้ในสิ่งที่ได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัส ด้วยตาเนื้อเท่านั้น ได้เท่าที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้เท่านั้น ที่เหลือนอกนั้นก็จะไม่ยอมเปิดใจรับฟัง เพราะยังพิสูจน์ไม่ได้ ดังนั้น ความคิดนี้จึงอยู่ในวงจำกัด คือตีกรอบไว้เท่านั้น
เพราะโครงการปรับสมดุลของโลก เพื่อเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่นั้น ได้มีกลุ่มพลังงาน ที่มาทำหน้าที่แจ้งข่าวสารไปยังมนุษย์โลกในหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน นั่นคือสมมุติเรียกกันในแต่ละจุด แต่ละกลุ่ม และข่าวสารจากจักรวาล ที่ได้รับการสื่อสารลงมา แต่ละกลุ่มก็มีกลไกที่จะต้องดำเนินงานไปตาม “ แผน” ที่ได้รับผิดชอบลงมา ซึ่งทุกกลุ่มความคิด ทุกกลุ่มพลังงาน ที่สื่อสารลงมา ก็ย่อมถูกต้องตรงตามเป้าหมายที่ได้รับมาทั้งสิ้น
ที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ไม่แปลกใจในการสื่อสารของทุกกลุ่มพลังงาน ทุกคลื่นความคิดที่ติดต่อกับมนุษย์โลกนั้น เพราะระบบได้มีการอธิบายโครงสร้างโดยรวมให้ทราบถึงที่มาของแต่ละกลุ่มพลังงานที่สื่อสารลงมาอยู่แล้ว แม้จะไม่ลึกลงในรายละเอียด ใน “ แผน” ของงานที่แต่ละกลุ่มพลังงานนั้น ๆ ต้องดำเนินการก็ตาม แต่ทุกอย่างที่แต่ละกลุ่มกำลังกระทำ กำลังให้ข้อมูล กำลังดำเนินการต่อเนื่องอยู่นั้น เป็นการทำงานตาม “แผน” ที่ได้มีการวางไว้ของแต่ละกลุ่มพลังงานนั้น ๆ ทั้งสิ้น โดยไม่มีการผิดพลาด หรือมีการแทรกแซงใด ๆ
เพียงแต่ “แผนงาน” ของแต่ละกลุ่มพลังงาน หรือกลุ่มความคิดนั้น ๆ ที่ได้รับมา จะเป็นรูปแบบไหนเท่านั้นเอง
ดังนั้น ในส่วนที่จะได้นำลงให้อ่านต่อไปนี้ ก็เป็นการตอบคำถามจากมนุษย์ต่างดาว ให้กับผู้ที่ยังสงสัยในเรื่องของกลุ่มความคิด กลุ่มพลังงานต่าง ๆ ที่ติดต่อกับมนุษย์ ได้สอบถามเข้ามาเท่านั้น โดยทางกลุ่มฯ มิได้เจตนาจะก้าวล่วงไปยัง "แผนงาน" ของกลุ่มพลังงานนั้น ๆ ซึ่งในแต่ละกลุ่มก็ยังคงดำเนินการไปตาม “ แผนงาน” ที่ได้รับมานั่นเอง
ท่านที่ได้อ่านข้อความการสื่อสารต่อไปนี้ อาจต้องใช้การพิจารณาอย่างยิ่งในความเห็นของท่าน กับข้อมูลที่ได้สื่อสารลงมา ซึ่งบางท่านอาจหายสงสัยและมีความเข้าใจในภาพรวมของจักรวาลได้เลย หรือบางท่านอาจไม่พอใจ และยังคงลังเลสงสัยต่อไป ซึ่งในส่วนนี้พี่สุดใจก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้า
แต่ทั้งหมดนี้คือ ข้อมูลที่ได้รับการสื่อสารมาจริง จากมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา
....................................
กระทู้ที่
200507
จิตจักรวาลและครายออนมีจริงหรือไม่ กลุ่มเขากะลากรุณาตอบด้วย
ตามที่กลุ่มของคุณเคยกล่าวอ้างว่ามีสมาชิก 3 คน สามารถสื่อความคิดติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ จึงอยากขอให้ช่วยถามมนุษย์ต่างดาว ผู้มีพัฒนาการทางจิตวิญญาณสูงไปมากแล้ว ให้ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง “จิตจักรวาล” และ “kryon” ว่าเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องเท็จ หากเป็นเรื่องจริง มีรายละเอียดอย่างไร? ความรู้ที่มนุษย์ต่างดาวจะตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้จะเป็นคุณประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติเป็นอย่างมากในการพัฒนาจิตสำนึกของตนเอง
จากคุณ สงสัย ( 24 มิถุนายน 2543)
ตอบ......ได้อ่านกระทู้ที่เป็นคำถามของคุณสงสัยแล้วค่ะ และได้ทำการสื่อสารคำถามของคุณแล้ว ....คำตอบที่ได้รับคือ จิตจักรวาล หรือ kryon ตามที่ในใจคุณคิดนั้นมีจริง....ในกรณีที่คุณต้องการทราบว่ามีการสื่อสารกับจิตจักรวาลจริงหรือไม่นั้นตอบว่า...จริง....นัยยะของคำตอบนี้คือ คุณต้องเข้าใจว่า สมมุติภาษาในการเรียกชื่อนั้นมีอยู่ เช่น ถ้าเพื่อนของคุณชื่อว่า.... ราชา ... คุณจะเข้าใจว่าเขาชื่อราชา ... แต่ไม่ได้เป็นราชา (พระราชา) จิตจักรวาลเป็นการสื่อสารของแหล่งพลังงานจากนอกโลกจริง .... เป็นกลุ่มของพลังงานที่มากระทำการหนึ่ง ๆ ชื่อ จิตจักรวาล เป็นชื่อที่ใช้แทนตัวเพื่อความเข้าใจ เช่นเดียวกับ kryon
จิตจักรวาลและครายออนมีจริงหรือไม่ กลุ่มเขากะลากรุณาตอบด้วย
ตามที่กลุ่มของคุณเคยกล่าวอ้างว่ามีสมาชิก 3 คน สามารถสื่อความคิดติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ จึงอยากขอให้ช่วยถามมนุษย์ต่างดาว ผู้มีพัฒนาการทางจิตวิญญาณสูงไปมากแล้ว ให้ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง “จิตจักรวาล” และ “kryon” ว่าเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องเท็จ หากเป็นเรื่องจริง มีรายละเอียดอย่างไร? ความรู้ที่มนุษย์ต่างดาวจะตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้จะเป็นคุณประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติเป็นอย่างมากในการพัฒนาจิตสำนึกของตนเอง
จากคุณ สงสัย ( 24 มิถุนายน 2543)
ตอบ......ได้อ่านกระทู้ที่เป็นคำถามของคุณสงสัยแล้วค่ะ และได้ทำการสื่อสารคำถามของคุณแล้ว ....คำตอบที่ได้รับคือ จิตจักรวาล หรือ kryon ตามที่ในใจคุณคิดนั้นมีจริง....ในกรณีที่คุณต้องการทราบว่ามีการสื่อสารกับจิตจักรวาลจริงหรือไม่นั้นตอบว่า...จริง....นัยยะของคำตอบนี้คือ คุณต้องเข้าใจว่า สมมุติภาษาในการเรียกชื่อนั้นมีอยู่ เช่น ถ้าเพื่อนของคุณชื่อว่า.... ราชา ... คุณจะเข้าใจว่าเขาชื่อราชา ... แต่ไม่ได้เป็นราชา (พระราชา) จิตจักรวาลเป็นการสื่อสารของแหล่งพลังงานจากนอกโลกจริง .... เป็นกลุ่มของพลังงานที่มากระทำการหนึ่ง ๆ ชื่อ จิตจักรวาล เป็นชื่อที่ใช้แทนตัวเพื่อความเข้าใจ เช่นเดียวกับ kryon
........................
คุณสงสัย... ขอบคุณมากครับ
ที่กรุณาสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวให้ ผมต้องขอขอบคุณคุณมนุษย์ต่างดาวผ่านทางคุณด้วย
ที่กรุณาให้ความรู้อันมีค่ายิ่งนี้.....คำตอบของมนุษย์ต่างดาว...ราวกับว่าเข้าไปนั่งอยู่ในจิตใจของผม....รู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่...amazing !!! ผมยังไม่ได้รับข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับจิตจักรวาล ( kryon) เลยครับ โครงสร้างเป็นอย่างไร กำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร
มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องอย่างไรกับมนุษย์โลก และสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับเอกภพอย่างไร?
ผมขอตั้งข้อสมมุติขึ้นมาเรื่องหนึ่งเพื่อตั้งคำถาม .... ถ้ามีมนุษย์คนใดคนหนึ่งสามารถสื่อสารคลื่นความคิดกับจิตจักรวาลได้ ซึ่งในการสื่อสารแต่ละครั้งจิตจักรวาลทื่สื่อสารด้วย ได้ผลัดเปลี่ยนกันมาคนละหน่วย (จิตจักรวาลคนละดวงจะขอเรียกเป็นหน่วยของพลังงานความคิด) โดยไม่ซ้ำกันเป็นส่วนใหญ่ที่มาซ้ำกันก็มี ถ้ามนุษย์สามารถสื่อสารกับจิตจักรวาลได้ คนนั้น ในระยะหลัง ๆ เผลอสติปล่อยให้ “อัตตา อุปาทาน” เข้าครอบงำโดยไม่รู้ตัว ไม่มีสติรู้เท่าทันในกิเลสอันนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ ? ที่อาจจะมีพลังชีวิตบางอย่างที่มีความคิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ (มาร) เข้ามาแทรกสวมรอยเป็นจิตจักรวาล แล้วสื่อสารให้ความรู้ผิด ๆ แก่มนุษย์ผู้นั้น โดยมุ่งหวังให้คนทั่วไปเสื่อมศรัทธาในมนุษย์ผู้นั้น เพื่อที่คนทั่วไปจะได้เสื่อมศรัทธาในเรื่องราวของจิตจักรวาลทั้งหมด เพราะเมื่อคนทั่วไปเสื่อมศรัทธาในผู้ที่สื่อสารเสียแล้ว ก็ย่อมเสื่อมความนับถือในข้อมูล ความรู้ทั้งหมดโดยไม่แยกแยะด้วย เช่นการให้ข้อมูลความรู้ผิด ๆ เกี่ยวกับภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ ที่จะเกิดขึ้นกับโลกโดยระบุวันเวลาผิด ๆ หรือสถานที่ผิด ๆ ที่จะเกิดภัยพิบัตินั้น ๆ ขอความกรุณาเรียนถามมนุษย์ต่างดาวด้วยครับ ... จักขอบคุณยิ่ง
จากคุณ สงสัย ( 27 มิถุนายน 2543)
ตอบ... สวัสดีค่ะ คุณสงสัย
ในการฝึกทางจิตเพื่อติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ก็ต้องเรียนรู้เรื่องการคิดแบบจิตมนุษย์ เพื่อที่จะไม่คิดแบบจิตมนุษย์ (ในการเรียนรู้ศาสตร์ของจักรวาล ก็คล้ายกับการเรียนภาษาปกติ เราใช้ภาษาไทย แต่เมื่อเราต้องการเรียนภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ เราจะเรียนได้ดีก็ต่อเมื่อเปิดใจยอมรับความแตกต่างที่ต้องมี โดยไม่มีข้อแม้ ทั้งการเขียน การอ่าน สำนวนที่ใช้เพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ)
การที่คุณสงสัย ต้องการทราบเรื่องเกี่ยวกับ “จิตจักรวาล” ที่มีการสื่อสารกับมนุษย์อยู่ในขณะนี้ ก็ต้องใช้พื้นฐานการรับฟังอย่างที่กล่าวมาข้างต้นด้วยเช่นกัน คุณได้ถามถึงโครงสร้างการกำเนิด และความสัมพันธ์เกี่ยวกับมนุษย์และเอกภพของจิตจักรวาล ก่อนอื่นขอทบทวนข้อมูลเบื้องต้นเพื่อความเข้าใจตรงกัน....
ผู้ถ่ายทอดคลื่นความคิดจาก “จิตจักรวาล” คือ อ.ปริญญา ตันสกุล ท่านทำงานที่ศูนย์พัฒนาพฤติกรรมมนุษย์(HMDC) ถ่ายทอดคลื่นความคิดออกมาพิมพ์เป็นหนังสือจิตจักรวาล series 1 – 7 มีชื่อเฉพาะของแต่ละเล่ม เช่น จิตจักรวาล series 2 ความลับเบื้องหลังมิติโลก จิตจักรวาล series 4 อภิปรัชญามนุษย์มิติคู่ขนาน และบนหน้าปกของทุกเล่ม เขียนว่า 1 ใน 7 ของโลกที่ได้รับการถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจักรวาล......
ผู้ถ่ายทอดคลื่นความคิดจาก “kryon” คือ Mr.Lee Carroll เป็นนักธุรกิจชาวแคลิฟอร์เนีย จบปริญญาสาขาบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ ได้รับสื่อสัญญาณจาก “ครายออน” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 1989 (พ.ศ.2532) และได้ตัดสินใจแปลถ้อยคำ “ครายออน” พิมพ์เป็นหนังสือเล่มแรก เขียนขึ้นในปี 1992 (2535)
เล่มที่ 1 ยุคแห่งการสิ้นยุค
เล่มที่ 2 จงอย่าคิดเหมือนมนุษย์ทั่วไป
เล่มที่ 3 การผันแปรของวิญญาณ
เล่มที่ 4 นิยามเปรียบเทียบของครายออน
หนังสือครายออน เป็นหนังสือที่ขายดีระดับ เบสท์ เซอเลอร์ แปลเป็นภาษาต่างประเทศมากมาย และมีวางขายในกว่า 10 ประเทศ ในประเทศไทยพิมพ์ (ภาษาไทย) ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2540 คนไทยจึงได้มีโอกาสรับรู้ข่าวสารจาก “ครายออน” ตั้งแต่นั้นมา
ผมขอตั้งข้อสมมุติขึ้นมาเรื่องหนึ่งเพื่อตั้งคำถาม .... ถ้ามีมนุษย์คนใดคนหนึ่งสามารถสื่อสารคลื่นความคิดกับจิตจักรวาลได้ ซึ่งในการสื่อสารแต่ละครั้งจิตจักรวาลทื่สื่อสารด้วย ได้ผลัดเปลี่ยนกันมาคนละหน่วย (จิตจักรวาลคนละดวงจะขอเรียกเป็นหน่วยของพลังงานความคิด) โดยไม่ซ้ำกันเป็นส่วนใหญ่ที่มาซ้ำกันก็มี ถ้ามนุษย์สามารถสื่อสารกับจิตจักรวาลได้ คนนั้น ในระยะหลัง ๆ เผลอสติปล่อยให้ “อัตตา อุปาทาน” เข้าครอบงำโดยไม่รู้ตัว ไม่มีสติรู้เท่าทันในกิเลสอันนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ ? ที่อาจจะมีพลังชีวิตบางอย่างที่มีความคิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ (มาร) เข้ามาแทรกสวมรอยเป็นจิตจักรวาล แล้วสื่อสารให้ความรู้ผิด ๆ แก่มนุษย์ผู้นั้น โดยมุ่งหวังให้คนทั่วไปเสื่อมศรัทธาในมนุษย์ผู้นั้น เพื่อที่คนทั่วไปจะได้เสื่อมศรัทธาในเรื่องราวของจิตจักรวาลทั้งหมด เพราะเมื่อคนทั่วไปเสื่อมศรัทธาในผู้ที่สื่อสารเสียแล้ว ก็ย่อมเสื่อมความนับถือในข้อมูล ความรู้ทั้งหมดโดยไม่แยกแยะด้วย เช่นการให้ข้อมูลความรู้ผิด ๆ เกี่ยวกับภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ ที่จะเกิดขึ้นกับโลกโดยระบุวันเวลาผิด ๆ หรือสถานที่ผิด ๆ ที่จะเกิดภัยพิบัตินั้น ๆ ขอความกรุณาเรียนถามมนุษย์ต่างดาวด้วยครับ ... จักขอบคุณยิ่ง
จากคุณ สงสัย ( 27 มิถุนายน 2543)
ตอบ... สวัสดีค่ะ คุณสงสัย
ในการฝึกทางจิตเพื่อติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ก็ต้องเรียนรู้เรื่องการคิดแบบจิตมนุษย์ เพื่อที่จะไม่คิดแบบจิตมนุษย์ (ในการเรียนรู้ศาสตร์ของจักรวาล ก็คล้ายกับการเรียนภาษาปกติ เราใช้ภาษาไทย แต่เมื่อเราต้องการเรียนภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ เราจะเรียนได้ดีก็ต่อเมื่อเปิดใจยอมรับความแตกต่างที่ต้องมี โดยไม่มีข้อแม้ ทั้งการเขียน การอ่าน สำนวนที่ใช้เพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ)
การที่คุณสงสัย ต้องการทราบเรื่องเกี่ยวกับ “จิตจักรวาล” ที่มีการสื่อสารกับมนุษย์อยู่ในขณะนี้ ก็ต้องใช้พื้นฐานการรับฟังอย่างที่กล่าวมาข้างต้นด้วยเช่นกัน คุณได้ถามถึงโครงสร้างการกำเนิด และความสัมพันธ์เกี่ยวกับมนุษย์และเอกภพของจิตจักรวาล ก่อนอื่นขอทบทวนข้อมูลเบื้องต้นเพื่อความเข้าใจตรงกัน....
ผู้ถ่ายทอดคลื่นความคิดจาก “จิตจักรวาล” คือ อ.ปริญญา ตันสกุล ท่านทำงานที่ศูนย์พัฒนาพฤติกรรมมนุษย์(HMDC) ถ่ายทอดคลื่นความคิดออกมาพิมพ์เป็นหนังสือจิตจักรวาล series 1 – 7 มีชื่อเฉพาะของแต่ละเล่ม เช่น จิตจักรวาล series 2 ความลับเบื้องหลังมิติโลก จิตจักรวาล series 4 อภิปรัชญามนุษย์มิติคู่ขนาน และบนหน้าปกของทุกเล่ม เขียนว่า 1 ใน 7 ของโลกที่ได้รับการถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจักรวาล......
ผู้ถ่ายทอดคลื่นความคิดจาก “kryon” คือ Mr.Lee Carroll เป็นนักธุรกิจชาวแคลิฟอร์เนีย จบปริญญาสาขาบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ ได้รับสื่อสัญญาณจาก “ครายออน” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 1989 (พ.ศ.2532) และได้ตัดสินใจแปลถ้อยคำ “ครายออน” พิมพ์เป็นหนังสือเล่มแรก เขียนขึ้นในปี 1992 (2535)
เล่มที่ 1 ยุคแห่งการสิ้นยุค
เล่มที่ 2 จงอย่าคิดเหมือนมนุษย์ทั่วไป
เล่มที่ 3 การผันแปรของวิญญาณ
เล่มที่ 4 นิยามเปรียบเทียบของครายออน
หนังสือครายออน เป็นหนังสือที่ขายดีระดับ เบสท์ เซอเลอร์ แปลเป็นภาษาต่างประเทศมากมาย และมีวางขายในกว่า 10 ประเทศ ในประเทศไทยพิมพ์ (ภาษาไทย) ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2540 คนไทยจึงได้มีโอกาสรับรู้ข่าวสารจาก “ครายออน” ตั้งแต่นั้นมา
................................
(ตอบคำถาม...ต่อ)
ความคล้ายคลึงของจิตจักรวาล และครายออน คือเป็น “กลุ่มความคิด” หรือ “กลุ่มพลังงาน” ที่อยู่นอกระบบโลก และได้ส่งข่าวสารให้มนุษย์โลกได้รับทราบว่าขณะนี้ได้มีการกระทำบางอย่างกับระบบโลก เพื่อวางโครงข่ายแม่เหล็กครั้งใหม่ของโลก เพื่อเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ (รายละเอียดมีจำนวนมากพิมพ์เป็นหนังสือหลายเล่ม เพราะอธิบายในหลายเรื่องที่มนุษย์ไม่รู้)
เมื่อคุณถามถึงโครงสร้าง และการกำเนิดของจิตจักรวาลนั้น ท่านได้สื่อสารให้คุณคิดตามโดยอยู่บนพื้นฐานของสัจธรรม ซึ่งเป็นอกาลิโก คือ ไม่เนื่องด้วยเวลา สัจธรรมชั้นสูงที่คุณคงได้รับทราบมาบ้างในคำสอนของผู้ที่ตรัสรู้จนเข้าถึงความจริงที่ว่า“ในที่สุดแล้วก็ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา”คือทุกสิ่งเป็นของที่สมมุติ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (เปลี่ยนแปลงไป) ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุปัจจัยการที่จะเกิดขึ้น จะตั้งอยู่ และจะเปลี่ยนแปลงไปทั้งสิ้น เราไม่สงสัยในคำว่า เทพ, พรหม เพราะเราเคยได้ยินได้ฟังและพอจะเข้าใจได้ แต่ที่เรายังไม่เข้าใจจิตจักรวาลก็เพราะเราไม่คุ้นเคย เนื่องจากอาจเป็นเรื่องใหม่ในการรับรู้ของเรา ขอให้คุณลองมองดูรูปแบบชีวิตรอบตัวของคุณดูสิ สิ่งมีชีวิตมีหลายรูปแบบและมีความแตกต่างที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เช่น ปลา นก มด สิ่งที่รูปแบบชีวิตเหล่านี้มี มนุษย์ไม่มี ก็เพราะเรามีกายเป็นมนุษย์ ซึ่งมีลักษณะเด่นด้านอื่นที่ ปลา นก มด ไม่มี พระพุทธองค์เรียกรูปแบบชีวิตทั้งมวลว่า “สัตว์โลก” ไม่ว่าจะมีกายหยาบหรือกายละเอียด รวมไปจนถึงชั้นไม่มีรูป เช่น อรูปพรหม และถ้าจะมีมนุษย์ต่างดาว หรือพลังงานรูปแบบอื่นไม่ว่าจะเรียกแทนตัวว่าอะไร ก็ล้วนเป็น “สัตว์โลก” (ในความหมายของท่านทั้งสิ้น)
ในจิตจักรวาล series 4 ได้กล่าวถึงรูปธรรมชั้นสูงที่มอบความรักให้แก่มนุษย์ (จิตจักรวาล) ซึ่งมีชื่อเรียกดังนี้
รูปธรรมกลุ่มเพลียะเดี๊ยนส์
รูปธรรมกลุ่มแซจิตตาเรียนส์
รูปธรรมกลุ่มแอนทาเรียนส์
รูปธรรมกลุ่มอาร์คทอเรียนส์
รูปธรรมชั้นสูงเหล่านี้ เดินทางมาจากกลุ่มดาวต่าง ๆ เช่น กลุ่มดาวลูกไก่ กลุ่มดาวแมงป่อง กลุ่มดาวรูปคนเลี้ยงสัตว์ เป็นรูปธรรมที่มีจิตวิญญาณชั้นสูง สามารถจะเดินทางไปไหนมาไหนได้ทั่วจักรวาล สามารถเข้าสู่มิติกาลเวลาโลก หรือมิติที่สูงกว่าได้ รูปธรรมกลุ่มแอนทาเรียนส์ และกลุ่มเพลียะเดียนส์ เคยมีรูปธรรมเป็นมนุษย์มาก่อน ต่อมาได้ยกระดับจิตวิญญาณของตนให้สูงขึ้น สามารถสลายกายหยาบของตนสู่มิติพลังงาน และรวมมวลสู่กายหยาบได้
ความคล้ายคลึงของจิตจักรวาล และครายออน คือเป็น “กลุ่มความคิด” หรือ “กลุ่มพลังงาน” ที่อยู่นอกระบบโลก และได้ส่งข่าวสารให้มนุษย์โลกได้รับทราบว่าขณะนี้ได้มีการกระทำบางอย่างกับระบบโลก เพื่อวางโครงข่ายแม่เหล็กครั้งใหม่ของโลก เพื่อเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ (รายละเอียดมีจำนวนมากพิมพ์เป็นหนังสือหลายเล่ม เพราะอธิบายในหลายเรื่องที่มนุษย์ไม่รู้)
เมื่อคุณถามถึงโครงสร้าง และการกำเนิดของจิตจักรวาลนั้น ท่านได้สื่อสารให้คุณคิดตามโดยอยู่บนพื้นฐานของสัจธรรม ซึ่งเป็นอกาลิโก คือ ไม่เนื่องด้วยเวลา สัจธรรมชั้นสูงที่คุณคงได้รับทราบมาบ้างในคำสอนของผู้ที่ตรัสรู้จนเข้าถึงความจริงที่ว่า“ในที่สุดแล้วก็ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา”คือทุกสิ่งเป็นของที่สมมุติ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (เปลี่ยนแปลงไป) ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุปัจจัยการที่จะเกิดขึ้น จะตั้งอยู่ และจะเปลี่ยนแปลงไปทั้งสิ้น เราไม่สงสัยในคำว่า เทพ, พรหม เพราะเราเคยได้ยินได้ฟังและพอจะเข้าใจได้ แต่ที่เรายังไม่เข้าใจจิตจักรวาลก็เพราะเราไม่คุ้นเคย เนื่องจากอาจเป็นเรื่องใหม่ในการรับรู้ของเรา ขอให้คุณลองมองดูรูปแบบชีวิตรอบตัวของคุณดูสิ สิ่งมีชีวิตมีหลายรูปแบบและมีความแตกต่างที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เช่น ปลา นก มด สิ่งที่รูปแบบชีวิตเหล่านี้มี มนุษย์ไม่มี ก็เพราะเรามีกายเป็นมนุษย์ ซึ่งมีลักษณะเด่นด้านอื่นที่ ปลา นก มด ไม่มี พระพุทธองค์เรียกรูปแบบชีวิตทั้งมวลว่า “สัตว์โลก” ไม่ว่าจะมีกายหยาบหรือกายละเอียด รวมไปจนถึงชั้นไม่มีรูป เช่น อรูปพรหม และถ้าจะมีมนุษย์ต่างดาว หรือพลังงานรูปแบบอื่นไม่ว่าจะเรียกแทนตัวว่าอะไร ก็ล้วนเป็น “สัตว์โลก” (ในความหมายของท่านทั้งสิ้น)
ในจิตจักรวาล series 4 ได้กล่าวถึงรูปธรรมชั้นสูงที่มอบความรักให้แก่มนุษย์ (จิตจักรวาล) ซึ่งมีชื่อเรียกดังนี้
รูปธรรมกลุ่มเพลียะเดี๊ยนส์
รูปธรรมกลุ่มแซจิตตาเรียนส์
รูปธรรมกลุ่มแอนทาเรียนส์
รูปธรรมกลุ่มอาร์คทอเรียนส์
รูปธรรมชั้นสูงเหล่านี้ เดินทางมาจากกลุ่มดาวต่าง ๆ เช่น กลุ่มดาวลูกไก่ กลุ่มดาวแมงป่อง กลุ่มดาวรูปคนเลี้ยงสัตว์ เป็นรูปธรรมที่มีจิตวิญญาณชั้นสูง สามารถจะเดินทางไปไหนมาไหนได้ทั่วจักรวาล สามารถเข้าสู่มิติกาลเวลาโลก หรือมิติที่สูงกว่าได้ รูปธรรมกลุ่มแอนทาเรียนส์ และกลุ่มเพลียะเดียนส์ เคยมีรูปธรรมเป็นมนุษย์มาก่อน ต่อมาได้ยกระดับจิตวิญญาณของตนให้สูงขึ้น สามารถสลายกายหยาบของตนสู่มิติพลังงาน และรวมมวลสู่กายหยาบได้
................................
สำหรับความสัมพันธ์กับมนุษย์โลกและเอกภพนั้น
ในภาพรวมที่แท้นั้น
มวลชีวิตทั้งหมดล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกันทั้งหมดแต่มนุษย์อาจยอมรับหรือเข้าใจได้เป็นบางอย่าง
เช่น มนุษย์ยอมรับความสัมพันธ์ของ พี่ – น้อง ที่คลอดจากแม่เดียวกันได้
โดยไม่ข้องใจ แต่ถ้าจะถามว่า ต้นจำปี กับต้นขนุน ที่ขึ้นมาจากพื้นดินเดียวกัน
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือแม่ (พระธรณี) เดียวกัน มีความสัมพันธ์กันไหม......
คงมีคำตอบหลากหลาย แต่คุณคงพอจะมองออกถึงความสัมพันธ์กันอย่างกว้าง ๆ ของวงศ์วานแห่งเอกภพ ว่าทำไมจิตวิญญาณชั้นสูงเหล่านี้ จึงบอกว่าพวกเขาได้เข้ามาสู่จักรวาลโลก เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ในการสร้างความสัมพันธ์กับจักรวาลในมิติที่สูงกว่า เมื่อจิตวิญญาณสูงขึ้น สิ่งที่เคยสละยาก ก็สละได้ง่ายขึ้น สิ่งที่เคยสงสัย.......ก็เข้าใจ สิ่งที่เคยให้อภัยไม่ได้ก็กลายเป็น....ไม่เป็นไร ทุกข์มากก็กลายเป็น....ทุกข์ยาก และอื่น ๆ อีกมาก
ปัจจุบัน มนุษย์มีความรู้สึกแปลกแยกกันมากอย่างผิดปกติ อย่างรุนแรง ก็ศึกเชื้อชาติ ศึกศาสนา การมุ่งทำลายชีวิตเพราะเห็นแก่วัตถุ (สิ่งไม่มีชีวิต) ปัญหาทางโครงสร้างของสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากความไม่รู้จริง (อวิชชา)
ในขณะที่ผู้รู้ทั้งหลาย ได้ส่งข่าวสารมาในรูปแบบต่าง ๆ ถึงกระบวนการที่จะต้องกระทำ (และได้กำลังกระทำแล้ว) กับระบบโลก
สุดท้ายคำถามที่คุณสงสัยว่าอาจมีการแทรกแซงจากจิตวิญญาณที่ไม่หวังดี หรือ “ มาร” นั้น ขอให้รับทราบข้อมูลไว้ว่า ทุกอย่างอยู่ใน “แผน” ทั้งสิ้น ไม่ใช่อย่างที่คุณวิตกหรอก แต่ที่คุณจะไม่เข้าใจก็ตรงที่ความสลับซับซ้อนของ “แผน” ที่ไม่อาจเปิดเผยได้ในขณะที่กำลังดำเนินการอยู่
แต่ “แผน” ที่คล้ายกันนี้ มนุษย์ต่างดาวก็ใช้บ่อย (มากกว่า 20 ครั้ง) ในขั้นตอนการคัดบุคคลเพื่อฝึกทางจิต จนปัจจุบันก็ยังเฉลยไม่หมด เพราะบาง “แผน” ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ (ยังไม่สิ้นสุดกระบวนการ)
“แผน” ที่มนุษย์ไม่เข้าใจนี้ เปรียบได้กับตัวอย่างเหล่านี้ เช่น ถ้ามนุษย์มีความสุขจากการกิน ก็คือ ได้กินอาหารอร่อย รสชาติถูกใจ แต่จักรวาลมองว่า การติดในรสชาติอาหารเป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง และถ้าได้กินอาหารอร่อย ทุกข์ยิ่งฝังรากลึกลงไปอีก (ความติดในรสเพิ่มขึ้น เหมือนพ่อ-แม่ เห็นลูกกำลังเคลิบเคล้มในยาเสพติด, ลูก – บอกว่านี่คือสุข แต่พ่อ – แม่บอกว่านั้นไม่ใช่สุข เป็นทุกข์ต่างหาก)
การเรียบเรียงคำตอบได้ผสมผสานระหว่างข้อมูลจากการสื่อสาร เรียบเรียงตามแบบที่มนุษย์(ผู้พิมพ์) อ่านแล้วทำความเข้าใจได้ง่าย มีการยกตัวอย่างประกอบ และข้อมูลที่จำเป็นต้องกล่าวในตอนต้น ๆ ก็มีอยู่ในหนังสือที่ข้อมูลนั้น ๆ อยู่ ขอให้คุณ “สงสัย” อ่านแล้วใช้การพิจารณาของตนเอง หากมีความไม่เคลียร์ในคำอธิบายบางเรื่อง ก็ขอให้ตั้งกระทู้ถามมาใหม่ได้ค่ะ ขอจบการพิมพ์คำตอบเพียงแค่นี้ สวัสดีค่ะ
จากคุณ คำตอบตอนที่ 2 ของกลุ่มเขากะลา (6 กรกฎาคม 2543
คงมีคำตอบหลากหลาย แต่คุณคงพอจะมองออกถึงความสัมพันธ์กันอย่างกว้าง ๆ ของวงศ์วานแห่งเอกภพ ว่าทำไมจิตวิญญาณชั้นสูงเหล่านี้ จึงบอกว่าพวกเขาได้เข้ามาสู่จักรวาลโลก เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ในการสร้างความสัมพันธ์กับจักรวาลในมิติที่สูงกว่า เมื่อจิตวิญญาณสูงขึ้น สิ่งที่เคยสละยาก ก็สละได้ง่ายขึ้น สิ่งที่เคยสงสัย.......ก็เข้าใจ สิ่งที่เคยให้อภัยไม่ได้ก็กลายเป็น....ไม่เป็นไร ทุกข์มากก็กลายเป็น....ทุกข์ยาก และอื่น ๆ อีกมาก
ปัจจุบัน มนุษย์มีความรู้สึกแปลกแยกกันมากอย่างผิดปกติ อย่างรุนแรง ก็ศึกเชื้อชาติ ศึกศาสนา การมุ่งทำลายชีวิตเพราะเห็นแก่วัตถุ (สิ่งไม่มีชีวิต) ปัญหาทางโครงสร้างของสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากความไม่รู้จริง (อวิชชา)
ในขณะที่ผู้รู้ทั้งหลาย ได้ส่งข่าวสารมาในรูปแบบต่าง ๆ ถึงกระบวนการที่จะต้องกระทำ (และได้กำลังกระทำแล้ว) กับระบบโลก
สุดท้ายคำถามที่คุณสงสัยว่าอาจมีการแทรกแซงจากจิตวิญญาณที่ไม่หวังดี หรือ “ มาร” นั้น ขอให้รับทราบข้อมูลไว้ว่า ทุกอย่างอยู่ใน “แผน” ทั้งสิ้น ไม่ใช่อย่างที่คุณวิตกหรอก แต่ที่คุณจะไม่เข้าใจก็ตรงที่ความสลับซับซ้อนของ “แผน” ที่ไม่อาจเปิดเผยได้ในขณะที่กำลังดำเนินการอยู่
แต่ “แผน” ที่คล้ายกันนี้ มนุษย์ต่างดาวก็ใช้บ่อย (มากกว่า 20 ครั้ง) ในขั้นตอนการคัดบุคคลเพื่อฝึกทางจิต จนปัจจุบันก็ยังเฉลยไม่หมด เพราะบาง “แผน” ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ (ยังไม่สิ้นสุดกระบวนการ)
“แผน” ที่มนุษย์ไม่เข้าใจนี้ เปรียบได้กับตัวอย่างเหล่านี้ เช่น ถ้ามนุษย์มีความสุขจากการกิน ก็คือ ได้กินอาหารอร่อย รสชาติถูกใจ แต่จักรวาลมองว่า การติดในรสชาติอาหารเป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง และถ้าได้กินอาหารอร่อย ทุกข์ยิ่งฝังรากลึกลงไปอีก (ความติดในรสเพิ่มขึ้น เหมือนพ่อ-แม่ เห็นลูกกำลังเคลิบเคล้มในยาเสพติด, ลูก – บอกว่านี่คือสุข แต่พ่อ – แม่บอกว่านั้นไม่ใช่สุข เป็นทุกข์ต่างหาก)
การเรียบเรียงคำตอบได้ผสมผสานระหว่างข้อมูลจากการสื่อสาร เรียบเรียงตามแบบที่มนุษย์(ผู้พิมพ์) อ่านแล้วทำความเข้าใจได้ง่าย มีการยกตัวอย่างประกอบ และข้อมูลที่จำเป็นต้องกล่าวในตอนต้น ๆ ก็มีอยู่ในหนังสือที่ข้อมูลนั้น ๆ อยู่ ขอให้คุณ “สงสัย” อ่านแล้วใช้การพิจารณาของตนเอง หากมีความไม่เคลียร์ในคำอธิบายบางเรื่อง ก็ขอให้ตั้งกระทู้ถามมาใหม่ได้ค่ะ ขอจบการพิมพ์คำตอบเพียงแค่นี้ สวัสดีค่ะ
จากคุณ คำตอบตอนที่ 2 ของกลุ่มเขากะลา (6 กรกฎาคม 2543
.....................................
พี่สุดใจคงต้องขอนำข้อมูลที่มีการถาม
- ตอบไว้ในเวปไซด์ sanook.com ในหมวดมิติพิศวง ในปี 2543
มาลงต่อเนื่องอีก อาจเป็นการลงข้อมูลที่ค่อนข้างมากในครั้งนี้
แต่จะเป็นการตอบคำถามที่หลายท่านกำลังสงสัยอยู่เช่นกัน
ซึ่งในช่วงต่อไปนี้ นับเป็นข้อมูลที่น่าสนใจทีเดียว
ซึ่งผู้ถามในครั้งนั้น ใช้ชื่อว่า .... คุณสงสัย ต้องการอยากทราบเรื่องราวของกลุ่มพลังงานจากนอกระบบโลก ที่ส่งคลื่นความคิดมาติดต่อกับมนุษย์
และ....มนุษย์ต่างดาวที่สื่อสารกับกลุ่มเขากะลา...ในขณะนั้น ได้สื่อสารข้อมูลลงมา...ตอบคำถาม...ที่ได้สงสัยนั้น
ซึ่งคำถามจากบุคคลหนึ่งที่สงสัย และมีการตอบคำถามแล้วนั้น ท่านอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นผู้ถาม แต่สนใจเรื่องนี้เช่นกัน ก็มีโอกาสได้รับทราบไปด้วย อาจเปิดมุมมองใหม่ ๆ และเข้าใจในกลไกของจักรวาลได้มากขึ้น
ซึ่งในช่วงต่อไปนี้ นับเป็นข้อมูลที่น่าสนใจทีเดียว
ซึ่งผู้ถามในครั้งนั้น ใช้ชื่อว่า .... คุณสงสัย ต้องการอยากทราบเรื่องราวของกลุ่มพลังงานจากนอกระบบโลก ที่ส่งคลื่นความคิดมาติดต่อกับมนุษย์
และ....มนุษย์ต่างดาวที่สื่อสารกับกลุ่มเขากะลา...ในขณะนั้น ได้สื่อสารข้อมูลลงมา...ตอบคำถาม...ที่ได้สงสัยนั้น
ซึ่งคำถามจากบุคคลหนึ่งที่สงสัย และมีการตอบคำถามแล้วนั้น ท่านอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นผู้ถาม แต่สนใจเรื่องนี้เช่นกัน ก็มีโอกาสได้รับทราบไปด้วย อาจเปิดมุมมองใหม่ ๆ และเข้าใจในกลไกของจักรวาลได้มากขึ้น
................................
ขอให้กลุ่มเขากะลาตอบคำถามเกี่ยวกับจิตจักรวาล
ผมขอยืนยันให้ช่วยตอบคำถามใน xfiles 200574 ครับ โดยผมได้ลอกคำถามค้างการตอบมาลงในกระทู้นี้ครับ
มนุษย์ต่างดาวท่านยืนยันหรือไม่ว่า เรื่องราวข้อมูลความรู้ในหนังสือจิตจักรวาลทั้ง 7 series เป็นความจริง และจริง 100 % หรือจริงกี่ % ในแต่ละ series มี errors บ้างหรือไม่ ? ในการที่จิตจักรวาล kryon ได้สื่อสารผ่านมนุษย์บางท่าน เพื่อส่งผ่านความรู้มายังมนุษย์นั้น จิตจักรวาลก็ต้องการให้มนุษย์พิจารณาไตร่ตรองแล้วตัดสินใจเชื่อในเรื่องราวข้อมูลความรู้ที่ได้สื่อสารมาให้มิใช่หรือ? แล้วเหตุใดจึงต้องวางแผน และดำเนินการเพื่อให้มนุษย์เสื่อมศรัทธาในเรื่องราวของจิตจักรวาลด้วยล่ะครับ? มันขัดแย้งกันเองครับ !
ที่กล่าวว่าเป็น “แผน” นั้น ผมก็เคย “แว๊บ” คิดขึ้นมาในสมองเหมือนกัน แต่เมื่อคิดหาเหตุผล (แบบจิตมนุษย์) แล้วก็คิดว่าไม่น่าจะใช่ เพราะค้นหาวัตถุประสงค์ เป้าหมายไม่ได้ว่าเพื่ออะไร ?
ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็น “แผน” แล้วความสงสัยของมนุษย์คนหนึ่ง ดังเช่นตัวผม อยู่ในส่วนหนึ่งของ “ผล” ที่เกิดจาก “แผน” ด้วยหรือไม่ครับ ?
ผมเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ที่กำลังจะพยายามจะไม่เป็นคนงมงาย (ซึ่งจิตจักรวาลก็ต้องการให้มนุษย์เป็นคนไม่งมงายมิใช่หรือ ดังนั้นการที่ผมมีความสงสัยข้องใจในสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็น่าจะเป็นไปตามวิถีทางที่ถูกต้องของการพยายามที่จะเป็นมนุษย์ที่ไม่งมงายมิใช่หรือครับ?)
มนุษย์ต่างดาวที่กลุ่มของคุณติดต่อสื่อสารด้วย ท่านเป็นหนึ่งในสี่ประเภทของรูปธรรม มนุษย์ต่างดาวที่คุณกล่าวถึงหรือไม่ (หนังสือจิตจักรวาล series 4) เทพ พรหม จะสามารถเดินทางไปทั่วเอกภพ ดังเช่นมนุษย์ต่างดาวทั้งสี่ประเภทได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้เพราะเหตุใด?
ในตอนสุดท้าย ที่คุณเปรียบเทียบ “แผน” กับ “รสชาดอาหาร” ไม่ทราบว่าคุณพยายามบอกเป็นนัย ๆ ว่า จักรวาลไม่ต้องการให้มนุษย์ติดหลง/ลุ่มหลง ในเรื่องราวของจิตจักรวาลหรืออย่างไรครับ?
ขอขอบคุณ กลุ่มของคุณ และมนุษย์ต่างดาวเป็นอย่างยิ่ง ที่กรุณาให้ข้อมูลความรู้อันมีค่ายิ่งเหล่านี้ครับ.
จากคุณ สงสัย ( 17 กรกฎาคม 2543)
ผมขอยืนยันให้ช่วยตอบคำถามใน xfiles 200574 ครับ โดยผมได้ลอกคำถามค้างการตอบมาลงในกระทู้นี้ครับ
มนุษย์ต่างดาวท่านยืนยันหรือไม่ว่า เรื่องราวข้อมูลความรู้ในหนังสือจิตจักรวาลทั้ง 7 series เป็นความจริง และจริง 100 % หรือจริงกี่ % ในแต่ละ series มี errors บ้างหรือไม่ ? ในการที่จิตจักรวาล kryon ได้สื่อสารผ่านมนุษย์บางท่าน เพื่อส่งผ่านความรู้มายังมนุษย์นั้น จิตจักรวาลก็ต้องการให้มนุษย์พิจารณาไตร่ตรองแล้วตัดสินใจเชื่อในเรื่องราวข้อมูลความรู้ที่ได้สื่อสารมาให้มิใช่หรือ? แล้วเหตุใดจึงต้องวางแผน และดำเนินการเพื่อให้มนุษย์เสื่อมศรัทธาในเรื่องราวของจิตจักรวาลด้วยล่ะครับ? มันขัดแย้งกันเองครับ !
ที่กล่าวว่าเป็น “แผน” นั้น ผมก็เคย “แว๊บ” คิดขึ้นมาในสมองเหมือนกัน แต่เมื่อคิดหาเหตุผล (แบบจิตมนุษย์) แล้วก็คิดว่าไม่น่าจะใช่ เพราะค้นหาวัตถุประสงค์ เป้าหมายไม่ได้ว่าเพื่ออะไร ?
ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็น “แผน” แล้วความสงสัยของมนุษย์คนหนึ่ง ดังเช่นตัวผม อยู่ในส่วนหนึ่งของ “ผล” ที่เกิดจาก “แผน” ด้วยหรือไม่ครับ ?
ผมเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ที่กำลังจะพยายามจะไม่เป็นคนงมงาย (ซึ่งจิตจักรวาลก็ต้องการให้มนุษย์เป็นคนไม่งมงายมิใช่หรือ ดังนั้นการที่ผมมีความสงสัยข้องใจในสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็น่าจะเป็นไปตามวิถีทางที่ถูกต้องของการพยายามที่จะเป็นมนุษย์ที่ไม่งมงายมิใช่หรือครับ?)
มนุษย์ต่างดาวที่กลุ่มของคุณติดต่อสื่อสารด้วย ท่านเป็นหนึ่งในสี่ประเภทของรูปธรรม มนุษย์ต่างดาวที่คุณกล่าวถึงหรือไม่ (หนังสือจิตจักรวาล series 4) เทพ พรหม จะสามารถเดินทางไปทั่วเอกภพ ดังเช่นมนุษย์ต่างดาวทั้งสี่ประเภทได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้เพราะเหตุใด?
ในตอนสุดท้าย ที่คุณเปรียบเทียบ “แผน” กับ “รสชาดอาหาร” ไม่ทราบว่าคุณพยายามบอกเป็นนัย ๆ ว่า จักรวาลไม่ต้องการให้มนุษย์ติดหลง/ลุ่มหลง ในเรื่องราวของจิตจักรวาลหรืออย่างไรครับ?
ขอขอบคุณ กลุ่มของคุณ และมนุษย์ต่างดาวเป็นอย่างยิ่ง ที่กรุณาให้ข้อมูลความรู้อันมีค่ายิ่งเหล่านี้ครับ.
จากคุณ สงสัย ( 17 กรกฎาคม 2543)
............................
ตอบ
คุณสงสัย
กลุ่มเขากะลาได้มีการสื่อสารกับรูปธรรมต่าง ๆ ดังนี้
1 . มนุษย์ต่างดาวที่มาจากต่างจักรวาล ได้ระบุว่าชื่อ “โลกุกะตาปากะดิกอง”
2 . มนุษย์ต่างดาวที่อยู่ในระบบสุริยะจักรวาล (อยู่ในรูปแบบของจิตวิญญาณชั้นสูง) ได้ระบุว่าชื่อที่เรารู้จักคือ“ดาวพลูโต” ไม่ได้เป็นหนึ่งในสี่ของรูปธรรมที่ในหนังสือกล่าวถึง แต่ท่านได้ให้ข้อมูลที่คุณ “สงสัย” ถามมาในกระทู้ก่อน และได้บอกให้คุณเข้าใจไว้ก่อนแล้วว่า มันจะใช้ความคิดแบบจิตมนุษย์มาชี้ ผิด – ถูกไม่ได้ เพราะมนุษย์มักด่วนสรุปทุกสิ่งที่มากระทบทางอายตนะ (ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ) และตัดสินใจทางใดทางหนึ่งในเวลาอันรวดเร็ว และเมื่อมีการกระทบครั้งใหม่ก็มักจะทำแบบเดิมซ้ำ ๆ ถึงแม้ว่าการตัดสินใจอาจจะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง แต่หลักการกระทบก็ยังเหมือนเดิม
ในการฝึกบุคคลของมนุษย์ต่างดาว จึงเน้นให้ผู้ฝึกใช้ปัญญาเป็นสำคัญในการพิจารณาความแตกต่างของความผิดปรกติ (ถ้าไม่พิจารณาก็ไม่รู้) อย่างง่าย ๆ ก็เช่นวัตถุบินที่สิ่งห์บุรีตอนกลางคืนในช่วงเวลา 1 ชั่วโมง (ระหว่าง 21.00 – 22.00 น.) มีวัตถุบินมาในทิศทางเดียวกัน ระยะเวลาห่างกันประมาณ 10 กว่านาที บิน 4 ลำ เปิดไฟแตกต่างกันทั้ง 4 แบบ (ถึงคุณจะดูจากวีดีโอ คุณก็จะเห็นความแตกต่างของไฟชัดเจน)
ถ้าคุณรู้จักความปรกติของเครื่องบิน คุณก็จะพบว่าสิ่งที่คุณเห็นไม่ใช่เครื่องบินแน่นอน แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องรีบสรุปว่าเป็นจานบิน ขอแค่ให้คุณแยกให้ออกว่ามันไม่ใช่เครื่องบิน คุณก็จะเริ่มเรียนรู้ในการพิจารณาข้อมูลใหม่ ๆ ที่ไม่ธรรมดาได้มากขึ้น โดยที่คุณไม่ต้องไปฝึกอะไร เพิ่มแค่จับหลักความธรรมดา และไม่ธรรมดาให้เป็นแค่นั้นเอง (ในวันนั้นก็มีช่างเครื่องบิน และผู้บริหารสายการบินออกมายืนยันว่าไม่ใช่เครื่องบินแน่นอน เพราะท่านรู้ว่าธรรมดาของเครื่องบิน จะบินแบบที่เห็นนี้ไม่ได้)
จากคุณ .... คำตอบช่วงที่ 1 จากกลุ่มเขากะลา ( 17 กรกฎาคม 2543)
ตอบ คุณสงสัย
ข่าวสารจากจิตจักรวาล และครายออน ที่สื่อสารผ่านมนุษย์นั้น เป็นการบอกให้มนุษย์ได้ทราบข่าวสารไว้ เพราะมนุษย์จะต้องเป็นผู้มีส่วนรู้สึกได้ถึงกระบวนการที่จะต้องเกิดขึ้นจากการวางระบบ ถ้าจะเปรียบเทียบก็คล้ายกับเวลาที่รัฐบาลจะขยายถนนเพื่อพัฒนาเมืองให้มีการสัญจรสะดวกรวดเร็วกว่าเดิม ก็จะมีการวางโครงการ (แผน)
การแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ที่จะต้องได้รับผลกระทบนั้นทั้งทางตรง และทางอ้อมได้รับทราบไว้ก่อนล่วงหน้าเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน ก่อนที่จะขุดถนนเก่าออกเพื่อทำใหม่ให้แข็งแรงกว้างขวางกว่าเดิม
ข่าวสารที่คุณได้อ่านในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ก็จะมีการกระทำตามโครงการต่อไป ข่าวสารที่คุณได้อ่านจริง 100 % สำหรับผู้แจ้งข่าวสาร แต่สำหรับผู้รับข่าวสารมีสิทธิที่จะคิดไปในแบบใดก็ได้ แต่จะไม่มีผลไปยับยั้ง หรือเพิ่มเติมกระบวนการนั้น ๆ ได้เลย
คำตอบช่วงที่ 3 จะอธิบาย “แผน” ที่คุณยังสับสนอยู่ค่ะ
จากคุณ.... คำตอบช่วงที่ 2 จากกลุ่มเขากะลา ( 18 กรกฎาคม 2543)
กลุ่มเขากะลาได้มีการสื่อสารกับรูปธรรมต่าง ๆ ดังนี้
1 . มนุษย์ต่างดาวที่มาจากต่างจักรวาล ได้ระบุว่าชื่อ “โลกุกะตาปากะดิกอง”
2 . มนุษย์ต่างดาวที่อยู่ในระบบสุริยะจักรวาล (อยู่ในรูปแบบของจิตวิญญาณชั้นสูง) ได้ระบุว่าชื่อที่เรารู้จักคือ“ดาวพลูโต” ไม่ได้เป็นหนึ่งในสี่ของรูปธรรมที่ในหนังสือกล่าวถึง แต่ท่านได้ให้ข้อมูลที่คุณ “สงสัย” ถามมาในกระทู้ก่อน และได้บอกให้คุณเข้าใจไว้ก่อนแล้วว่า มันจะใช้ความคิดแบบจิตมนุษย์มาชี้ ผิด – ถูกไม่ได้ เพราะมนุษย์มักด่วนสรุปทุกสิ่งที่มากระทบทางอายตนะ (ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ) และตัดสินใจทางใดทางหนึ่งในเวลาอันรวดเร็ว และเมื่อมีการกระทบครั้งใหม่ก็มักจะทำแบบเดิมซ้ำ ๆ ถึงแม้ว่าการตัดสินใจอาจจะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง แต่หลักการกระทบก็ยังเหมือนเดิม
ในการฝึกบุคคลของมนุษย์ต่างดาว จึงเน้นให้ผู้ฝึกใช้ปัญญาเป็นสำคัญในการพิจารณาความแตกต่างของความผิดปรกติ (ถ้าไม่พิจารณาก็ไม่รู้) อย่างง่าย ๆ ก็เช่นวัตถุบินที่สิ่งห์บุรีตอนกลางคืนในช่วงเวลา 1 ชั่วโมง (ระหว่าง 21.00 – 22.00 น.) มีวัตถุบินมาในทิศทางเดียวกัน ระยะเวลาห่างกันประมาณ 10 กว่านาที บิน 4 ลำ เปิดไฟแตกต่างกันทั้ง 4 แบบ (ถึงคุณจะดูจากวีดีโอ คุณก็จะเห็นความแตกต่างของไฟชัดเจน)
ถ้าคุณรู้จักความปรกติของเครื่องบิน คุณก็จะพบว่าสิ่งที่คุณเห็นไม่ใช่เครื่องบินแน่นอน แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องรีบสรุปว่าเป็นจานบิน ขอแค่ให้คุณแยกให้ออกว่ามันไม่ใช่เครื่องบิน คุณก็จะเริ่มเรียนรู้ในการพิจารณาข้อมูลใหม่ ๆ ที่ไม่ธรรมดาได้มากขึ้น โดยที่คุณไม่ต้องไปฝึกอะไร เพิ่มแค่จับหลักความธรรมดา และไม่ธรรมดาให้เป็นแค่นั้นเอง (ในวันนั้นก็มีช่างเครื่องบิน และผู้บริหารสายการบินออกมายืนยันว่าไม่ใช่เครื่องบินแน่นอน เพราะท่านรู้ว่าธรรมดาของเครื่องบิน จะบินแบบที่เห็นนี้ไม่ได้)
จากคุณ .... คำตอบช่วงที่ 1 จากกลุ่มเขากะลา ( 17 กรกฎาคม 2543)
ตอบ คุณสงสัย
ข่าวสารจากจิตจักรวาล และครายออน ที่สื่อสารผ่านมนุษย์นั้น เป็นการบอกให้มนุษย์ได้ทราบข่าวสารไว้ เพราะมนุษย์จะต้องเป็นผู้มีส่วนรู้สึกได้ถึงกระบวนการที่จะต้องเกิดขึ้นจากการวางระบบ ถ้าจะเปรียบเทียบก็คล้ายกับเวลาที่รัฐบาลจะขยายถนนเพื่อพัฒนาเมืองให้มีการสัญจรสะดวกรวดเร็วกว่าเดิม ก็จะมีการวางโครงการ (แผน)
การแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ที่จะต้องได้รับผลกระทบนั้นทั้งทางตรง และทางอ้อมได้รับทราบไว้ก่อนล่วงหน้าเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน ก่อนที่จะขุดถนนเก่าออกเพื่อทำใหม่ให้แข็งแรงกว้างขวางกว่าเดิม
ข่าวสารที่คุณได้อ่านในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ก็จะมีการกระทำตามโครงการต่อไป ข่าวสารที่คุณได้อ่านจริง 100 % สำหรับผู้แจ้งข่าวสาร แต่สำหรับผู้รับข่าวสารมีสิทธิที่จะคิดไปในแบบใดก็ได้ แต่จะไม่มีผลไปยับยั้ง หรือเพิ่มเติมกระบวนการนั้น ๆ ได้เลย
คำตอบช่วงที่ 3 จะอธิบาย “แผน” ที่คุณยังสับสนอยู่ค่ะ
จากคุณ.... คำตอบช่วงที่ 2 จากกลุ่มเขากะลา ( 18 กรกฎาคม 2543)
................................
ตอบ
คุณสงสัย
“แผน” ที่คุณคิดว่าไม่เข้าใจนั้น เรื่องมันเกี่ยวโยงไปถึงเจตนาของจิตจักรวาลในการมาทำภารกิจที่ได้แจ้งให้ทราบไว้แล้ว (คือการช่วยเหลือโลกมนุษย์ในการยกระดับคลื่นแม่เหล็กโลกให้สูงขึ้น)
มหันตภัยธรรมชาติจะค่อย ๆ เพิ่มความถี่และความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนของโลกคือ ประเทศและทวีปที่รุ่งเรืองด้วยเทคโนโลยี เมืองที่อุดมด้วยศาสนาและผู้คนมีจิตสำนึกอันสูงส่งจะได้รับเคราะห์ภัยน้อยกว่าประเทศอื่น
“มหันตภัย” ที่มนุษย์ต้องเผชิญโดยตรงและโดยอ้อม จะสร้าง “ความกลัว” ให้เกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ เพราะ “ความกลัวตาย” (แบบจริงในจิต) จะน้อมนำให้มนุษย์เกิดการ “กลัวคนอื่นต้องตาย” เช่น พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง และทำให้มนุษย์เกิดความรักความห่วงใยโลกกันขึ้นมาได้ นั่นคือ “กุศลโลบายที่สำคัญ” เพื่อต้องการให้มนุษย์โลกปล่อยพลังงานด้านบวกออกมาด้วยจิตสำนึกแบบรวมหมู่อย่างพร้อมเพรียงกัน โดยมีหายนะจากมหันตภัยธรรมชาติเป็นเครื่องมือเพื่อยกระดับจิตสำนึกของมนุษย์ที่ดิ่งเหว สูงขึ้นให้จงได้
หนังสือที่พิมพ์ขึ้นมาจากการถ่ายทอดคลื่นความคิดได้ย้ำว่า “ไม่ต้องการให้ผู้อ่านคิดแบบจิตมนุษย์” โดยมีเป้าหมายของความ “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” กุศลโลบายสร้าง “ความกลัว” จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับจิตจักรวาล แต่ถ้ามนุษย์จะมองไปในทาง “ความศรัทธา – เชื่อ” หรือ “ความเสื่อมศรัทธา – ไม่เชื่อ” ก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ใช่เป้าหมายของจิตจักรวาลอยู่แล้ว
การมองต่างมุมนั้น (เห็นด้วย – ไม่เห็นด้วย) เป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ด้วยกันเองก็พบเห็นได้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต จึงไม่แปลกถ้าจะมีคนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการกระทำของจิตจักรวาล เพราะมิติความคิดขั้นพื้นฐานก็ต่างกันอยู่แล้ว
การเปรียบเทียบความแตกต่างนี้ ได้พูดถึงเรื่องรสชาดอาหาร.. มนุษย์เรียกว่า “ความสุข” ถ้าได้รับอาหารที่ชอบ หรือรสชาดที่ตนพอใจ...อีกมุมหนึ่งของผู้รู้ มองว่าความพอใจในรสชาดอาหาร คือความยึดติดอย่างหนึ่ง ท่าน “ไม่เรียกว่าความสุข” เพราะการยึดติดนั้นเป็นทางแห่งทุกข์....การมองต่างมุมนี้เกิดขึ้นตามหลักปัจจัยที่ต่างกัน ผลที่ออกมาจึงไม่เหมือนกัน นับเป็นเรื่องธรรมดาของโลก
คุณสงสัย อ่านคำตอบทั้งสามช่วงแล้ว อาจเข้าใจในเรื่องหนึ่ง และไม่เข้าใจในเรื่องหนึ่ง หรือมีคำถามต่อไปอีก ก็ตั้งกระทู้ถามขึ้นมาใหม่ได้ค่ะ กลุ่มเขากะลายินดี “ทำหน้าที่” ในการสื่อสาร และเผยแพร่ข้อมูลค่ะ
จากคุณ. คำตอบช่วงที่ 3 จากกลุ่มเขากะลา (19 กรกฎาคม 2543)
คุณสงสัย...ขอบคุณครับ สำหรับคำตอบจากคุณกลุ่มเขากะลา และท่านโลกุกะตาปากะดิกอง ผมยังไม่หมดคำถามหรอกครับ และจะตั้งกระทู้ใหม่ถามต่อไป..... คงจะต้องถามกันอีกนานนะครับ......
จากคุณ. สงสัย ( 20 กรกฎาคม 2543 )
“แผน” ที่คุณคิดว่าไม่เข้าใจนั้น เรื่องมันเกี่ยวโยงไปถึงเจตนาของจิตจักรวาลในการมาทำภารกิจที่ได้แจ้งให้ทราบไว้แล้ว (คือการช่วยเหลือโลกมนุษย์ในการยกระดับคลื่นแม่เหล็กโลกให้สูงขึ้น)
มหันตภัยธรรมชาติจะค่อย ๆ เพิ่มความถี่และความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนของโลกคือ ประเทศและทวีปที่รุ่งเรืองด้วยเทคโนโลยี เมืองที่อุดมด้วยศาสนาและผู้คนมีจิตสำนึกอันสูงส่งจะได้รับเคราะห์ภัยน้อยกว่าประเทศอื่น
“มหันตภัย” ที่มนุษย์ต้องเผชิญโดยตรงและโดยอ้อม จะสร้าง “ความกลัว” ให้เกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ เพราะ “ความกลัวตาย” (แบบจริงในจิต) จะน้อมนำให้มนุษย์เกิดการ “กลัวคนอื่นต้องตาย” เช่น พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง และทำให้มนุษย์เกิดความรักความห่วงใยโลกกันขึ้นมาได้ นั่นคือ “กุศลโลบายที่สำคัญ” เพื่อต้องการให้มนุษย์โลกปล่อยพลังงานด้านบวกออกมาด้วยจิตสำนึกแบบรวมหมู่อย่างพร้อมเพรียงกัน โดยมีหายนะจากมหันตภัยธรรมชาติเป็นเครื่องมือเพื่อยกระดับจิตสำนึกของมนุษย์ที่ดิ่งเหว สูงขึ้นให้จงได้
หนังสือที่พิมพ์ขึ้นมาจากการถ่ายทอดคลื่นความคิดได้ย้ำว่า “ไม่ต้องการให้ผู้อ่านคิดแบบจิตมนุษย์” โดยมีเป้าหมายของความ “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” กุศลโลบายสร้าง “ความกลัว” จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับจิตจักรวาล แต่ถ้ามนุษย์จะมองไปในทาง “ความศรัทธา – เชื่อ” หรือ “ความเสื่อมศรัทธา – ไม่เชื่อ” ก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ใช่เป้าหมายของจิตจักรวาลอยู่แล้ว
การมองต่างมุมนั้น (เห็นด้วย – ไม่เห็นด้วย) เป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ด้วยกันเองก็พบเห็นได้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต จึงไม่แปลกถ้าจะมีคนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการกระทำของจิตจักรวาล เพราะมิติความคิดขั้นพื้นฐานก็ต่างกันอยู่แล้ว
การเปรียบเทียบความแตกต่างนี้ ได้พูดถึงเรื่องรสชาดอาหาร.. มนุษย์เรียกว่า “ความสุข” ถ้าได้รับอาหารที่ชอบ หรือรสชาดที่ตนพอใจ...อีกมุมหนึ่งของผู้รู้ มองว่าความพอใจในรสชาดอาหาร คือความยึดติดอย่างหนึ่ง ท่าน “ไม่เรียกว่าความสุข” เพราะการยึดติดนั้นเป็นทางแห่งทุกข์....การมองต่างมุมนี้เกิดขึ้นตามหลักปัจจัยที่ต่างกัน ผลที่ออกมาจึงไม่เหมือนกัน นับเป็นเรื่องธรรมดาของโลก
คุณสงสัย อ่านคำตอบทั้งสามช่วงแล้ว อาจเข้าใจในเรื่องหนึ่ง และไม่เข้าใจในเรื่องหนึ่ง หรือมีคำถามต่อไปอีก ก็ตั้งกระทู้ถามขึ้นมาใหม่ได้ค่ะ กลุ่มเขากะลายินดี “ทำหน้าที่” ในการสื่อสาร และเผยแพร่ข้อมูลค่ะ
จากคุณ. คำตอบช่วงที่ 3 จากกลุ่มเขากะลา (19 กรกฎาคม 2543)
คุณสงสัย...ขอบคุณครับ สำหรับคำตอบจากคุณกลุ่มเขากะลา และท่านโลกุกะตาปากะดิกอง ผมยังไม่หมดคำถามหรอกครับ และจะตั้งกระทู้ใหม่ถามต่อไป..... คงจะต้องถามกันอีกนานนะครับ......
จากคุณ. สงสัย ( 20 กรกฎาคม 2543 )
............................
อย่าตีกรอบ.....ในรูปแบบการสอนเพื่อให้ประโยชน์ตน...แก่ผู้ทำงาน ...
การทำงานกับมนุษย์ต่างดาว และการสอนที่มุ่งเน้นประโยชน์ตนเพื่อการปล่อยวางโดยตรงนั้น
ระบบได้มีการสอนตามความเหมาะสมกับจริตของบุคคลนั้น ๆ เป็นหลัก โดยไม่จำกัดรูปแบบ
รูปแบบการสอน....จะเน้นการฝึกที่จิต ให้ละการยึดติดเป็นสำคัญ
คือการดึงเอาการยึดติดในแต่ละเรื่อง แต่ละรูปแบบ ของแต่ละคนออกมาสอน คือใครยึดติดเรื่องไหน ก็สอนเรื่องนั้น คือสอนตามจริตแบบตัวต่อตัวเลยทีเดียว
วิธีการสอน ส่วนมากจะคล้ายกันก็คือ มีกระบวนการล่อหลอก...ให้กิเลสที่มีอยู่ ที่ยึดติดอยู่โชว์ออกมา
ให้การยึดติดในเรื่องนั้น ๆ โผล่ออกมา โดยจะปล่อยให้ใหลไปตามความอยาก ความชอบสักพัก
แล้วหักมุมกลับทันที ก็จะทุกข์กันไปพักใหญ่
แล้วก็จะเอาเหตุแห่งทุกข์นั่นแหละมาสอน ชี้ให้เห็นสัจธรรม ความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่ง ที่มันไม่ได้เป็นตัวใครของใคร บังคับบัญชาไม่ได้ โดยเป็นไปตามเหตุปัจจัยของสิ่งนั้น ๆ
ถ้ายังยึดอยู่ อยากให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วไม่ได้ดังที่หวัง ดังที่ต้องการ ก็ทุกข์ไป
ถ้าเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ ปล่อยวางได้ ก็สบายไป
เรียกว่าสอนตามจริตของการยึดติด ของแต่ละคนนั่นเอง
พี่สุดใจได้เคยกล่าวไว้ก่อนแล้วว่า เรื่องของภัยพิบัติ จะมีหลายกลุ่มแยกย่อยกันไป และแต่ละกลุ่ม การสื่อสารกับเทพฯก็มี กับพรหมก็มี กับเทวดา หรืออาจารย์ต่าง ๆ ก็มี หรือพระปฏิบัติที่ละสังขารไปแล้ว หรือแม้แต่กับมนุษย์ต่างดาวก็ตามที มีแยกย่อยออกไปมากมายหลายกลุ่ม
ดังนั้น ทุกกลุ่ม หรือในรายบุคคล ก็จะมีการรับข้อมูลกันลงมาจากแต่ละจุดที่สื่อสารด้วย ดังนั้น วิธีการสอน วิธีการปฏิบัติของแต่ละกลุ่มจึงไม่เหมือนกัน หลากหลายรูปแบบ แต่โดยรวมทุกกลุ่มก็จะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือมุ่งเน้นการปฏิบัติทางจิตเป็นส่วนใหญ่ เพื่อเตรียมการรับมือกับเรื่องของภัยพิบัตินั่นเอง
ดังนั้น กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
มีรูปแบบการสอนที่อาจแตกต่างออกไป กำหนดรูปแบบไม่ได้ โดยเน้นการวิปัสสนา ใช้ปัญญาพิจารณาในกฏไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นหลัก คือเห็นความไม่เที่ยง ความแปรปรวนไป ความทุกข์ ความทนอยู่ไม่ได้ และความเป็นอนัตตา คือไม่ได้เป็นตัวตน ไม่ได้เป็นตัวใคร ของใคร
การสอนในรูปแบบที่หลายท่านกำลังพบเจอนี้ เรียกว่า เมื่อความทุกข์มาถึง จึงเอาความทุกข์มาสอน
และอาจจะเพิ่มน้ำหนักให้มากขึ้นอีกนิด เพื่อง่ายต่อการพิจารณา เพื่อเห็นขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง
เช่นถ้าห่วงอะไร เขาก็จะเพิ่มความห่วงให้มากขึ้น กังวลเรื่องอะไร เขาจะเพิ่มความกังวลให้มากขึ้นเป็น 2 – 3 เท่าเลยทีเดียว จากนั้นก็จะหักกลับในสถานการณ์จริง คุณก็จะทุกข์แทบกระอักเลยทีเดียว แล้วเอาความทุกข์ ความทุรนทุรายที่เป็นอยู่ ที่ทุกข์อยู่ มาสอนในขณะนั้นเลย
แต่สถานการณ์ หรือสิ่งที่ได้นำมาสอนนั้น ต้องเหมาะสมกับวิบากของคนคนนั้น ที่กำลังพบเจออยู่ในช่วงเวลานั้น ไม่ได้ไปก้าวล่วง แทรกแซงวิบากกรรมของแต่ละท่านแต่อย่างใด
เรียกว่า ถ้าวิบากมาเมื่อใด ก็ใช้สถานการณ์นั้นสอนไปด้วย เรียกว่า พลิกวิกฤติ...ให้เป็นโอกาส
เช่นหากมีวิบากกรรมที่ต้องเจ็บป่วย ต้องถูกแฟนทิ้ง ต้องตกงาน ต้องเสียของที่รักไป คน ๆ นั้น ก็ต้องทุกข์ใจเป็นธรรมดา ก็จะใช้โอกาสนั้น ๆ ชี้ให้เห็นว่า นี่คือความทุกข์ แล้วพิจารณาว่าเหตุแห่งทุกข์คืออะไร ทำอย่างไรจึงจะจางคลายจากทุกข์ได้ เมื่อปฏิบัติก็อาจจะพ้นจากทุกข์นั้นได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในทุกข์นั้นได้ แม้สถานการณ์จะยังไม่ได้เปลี่ยนไปก็ตาม
ที่ว่าสอน ก็คือ....เป็นคลื่นความคิดจากผู้รู้ในกฏธรรมชาติ ผู้ทรงภูมิปัญญาจากดวงดาวต่าง ๆ ที่มาทำหน้าที่ยกระดับจิตใจ ให้มีการปล่อยวางละอุปาทานขันธ์ 5 จะส่งคลื่นมาทำการสอน ชี้ให้เห็นอุปาทาน ซึ่งเป็นการสอนเฉพาะแต่ละบุคคล ที่ทำงานร่วมกับผู้รู้กฏธรรมชาติจากดวงดาวนั้น ๆ
และผลที่ได้ก็คือเกิดปัญญา เกิดความเบื่อหน่ายที่จะต้องไปทุรนทุรายกับความทุกข์แบบเดิม ๆ แล้วก็จะมีการชี้แนะให้เห็นช่องทางการปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า จะมีการทำตัวอย่างให้เห็นกลับไปกลับมา มีการทดสอบซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง จนเกิดการเทียบเคียงในความทุกข์ที่เกิดขึ้นขณะที่ยึดถือความคิดว่าเป็นตัวเรา ของเรา กับความคิดที่เข้าใจความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ แล้วเกิดปัญญาเห็นจริงปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น จะเห็นความเบาสบายได้เลยในขณะนั้น
ดังนั้น สิ่งใดที่เคยปล่อยวางได้ ก็จะไม่อยากกลับไปยึดถือว่าเป็นตัวเราของเราอีก มีแต่จะปล่อยวางมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เราก็จะมองเห็นมันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหละ ไม่น่าอยากได้ทั้งนั้น ใครจะสรรเสริญก็เรื่องของเขา ใครจะนินทาก็เรื่องของเขา จะสุขบ้าง ทุกข์บ้าง มันก็เป็นของมันอย่างนั้นมานานแล้ว เป็นมาหลายกัปหลายกัลป์แล้ว ไม่เห็นต้องไปตื่นเต้นอะไร
ขออนุโมทนาด้วยกับการปฏิบัติเพื่อให้เห็น “ความเป็นเช่นนั้นเอง” ของธรรมชาติ ที่หลาย ๆ ท่านกำลังกระทำอยู่ ซึ่งต้องใช้ทั้งความเพียร และความอดทนควบคู่กันไป
ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
การทำงานกับมนุษย์ต่างดาว และการสอนที่มุ่งเน้นประโยชน์ตนเพื่อการปล่อยวางโดยตรงนั้น
ระบบได้มีการสอนตามความเหมาะสมกับจริตของบุคคลนั้น ๆ เป็นหลัก โดยไม่จำกัดรูปแบบ
รูปแบบการสอน....จะเน้นการฝึกที่จิต ให้ละการยึดติดเป็นสำคัญ
คือการดึงเอาการยึดติดในแต่ละเรื่อง แต่ละรูปแบบ ของแต่ละคนออกมาสอน คือใครยึดติดเรื่องไหน ก็สอนเรื่องนั้น คือสอนตามจริตแบบตัวต่อตัวเลยทีเดียว
วิธีการสอน ส่วนมากจะคล้ายกันก็คือ มีกระบวนการล่อหลอก...ให้กิเลสที่มีอยู่ ที่ยึดติดอยู่โชว์ออกมา
ให้การยึดติดในเรื่องนั้น ๆ โผล่ออกมา โดยจะปล่อยให้ใหลไปตามความอยาก ความชอบสักพัก
แล้วหักมุมกลับทันที ก็จะทุกข์กันไปพักใหญ่
แล้วก็จะเอาเหตุแห่งทุกข์นั่นแหละมาสอน ชี้ให้เห็นสัจธรรม ความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่ง ที่มันไม่ได้เป็นตัวใครของใคร บังคับบัญชาไม่ได้ โดยเป็นไปตามเหตุปัจจัยของสิ่งนั้น ๆ
ถ้ายังยึดอยู่ อยากให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วไม่ได้ดังที่หวัง ดังที่ต้องการ ก็ทุกข์ไป
ถ้าเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ ปล่อยวางได้ ก็สบายไป
เรียกว่าสอนตามจริตของการยึดติด ของแต่ละคนนั่นเอง
พี่สุดใจได้เคยกล่าวไว้ก่อนแล้วว่า เรื่องของภัยพิบัติ จะมีหลายกลุ่มแยกย่อยกันไป และแต่ละกลุ่ม การสื่อสารกับเทพฯก็มี กับพรหมก็มี กับเทวดา หรืออาจารย์ต่าง ๆ ก็มี หรือพระปฏิบัติที่ละสังขารไปแล้ว หรือแม้แต่กับมนุษย์ต่างดาวก็ตามที มีแยกย่อยออกไปมากมายหลายกลุ่ม
ดังนั้น ทุกกลุ่ม หรือในรายบุคคล ก็จะมีการรับข้อมูลกันลงมาจากแต่ละจุดที่สื่อสารด้วย ดังนั้น วิธีการสอน วิธีการปฏิบัติของแต่ละกลุ่มจึงไม่เหมือนกัน หลากหลายรูปแบบ แต่โดยรวมทุกกลุ่มก็จะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือมุ่งเน้นการปฏิบัติทางจิตเป็นส่วนใหญ่ เพื่อเตรียมการรับมือกับเรื่องของภัยพิบัตินั่นเอง
ดังนั้น กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
มีรูปแบบการสอนที่อาจแตกต่างออกไป กำหนดรูปแบบไม่ได้ โดยเน้นการวิปัสสนา ใช้ปัญญาพิจารณาในกฏไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นหลัก คือเห็นความไม่เที่ยง ความแปรปรวนไป ความทุกข์ ความทนอยู่ไม่ได้ และความเป็นอนัตตา คือไม่ได้เป็นตัวตน ไม่ได้เป็นตัวใคร ของใคร
การสอนในรูปแบบที่หลายท่านกำลังพบเจอนี้ เรียกว่า เมื่อความทุกข์มาถึง จึงเอาความทุกข์มาสอน
และอาจจะเพิ่มน้ำหนักให้มากขึ้นอีกนิด เพื่อง่ายต่อการพิจารณา เพื่อเห็นขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง
เช่นถ้าห่วงอะไร เขาก็จะเพิ่มความห่วงให้มากขึ้น กังวลเรื่องอะไร เขาจะเพิ่มความกังวลให้มากขึ้นเป็น 2 – 3 เท่าเลยทีเดียว จากนั้นก็จะหักกลับในสถานการณ์จริง คุณก็จะทุกข์แทบกระอักเลยทีเดียว แล้วเอาความทุกข์ ความทุรนทุรายที่เป็นอยู่ ที่ทุกข์อยู่ มาสอนในขณะนั้นเลย
แต่สถานการณ์ หรือสิ่งที่ได้นำมาสอนนั้น ต้องเหมาะสมกับวิบากของคนคนนั้น ที่กำลังพบเจออยู่ในช่วงเวลานั้น ไม่ได้ไปก้าวล่วง แทรกแซงวิบากกรรมของแต่ละท่านแต่อย่างใด
เรียกว่า ถ้าวิบากมาเมื่อใด ก็ใช้สถานการณ์นั้นสอนไปด้วย เรียกว่า พลิกวิกฤติ...ให้เป็นโอกาส
เช่นหากมีวิบากกรรมที่ต้องเจ็บป่วย ต้องถูกแฟนทิ้ง ต้องตกงาน ต้องเสียของที่รักไป คน ๆ นั้น ก็ต้องทุกข์ใจเป็นธรรมดา ก็จะใช้โอกาสนั้น ๆ ชี้ให้เห็นว่า นี่คือความทุกข์ แล้วพิจารณาว่าเหตุแห่งทุกข์คืออะไร ทำอย่างไรจึงจะจางคลายจากทุกข์ได้ เมื่อปฏิบัติก็อาจจะพ้นจากทุกข์นั้นได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในทุกข์นั้นได้ แม้สถานการณ์จะยังไม่ได้เปลี่ยนไปก็ตาม
ที่ว่าสอน ก็คือ....เป็นคลื่นความคิดจากผู้รู้ในกฏธรรมชาติ ผู้ทรงภูมิปัญญาจากดวงดาวต่าง ๆ ที่มาทำหน้าที่ยกระดับจิตใจ ให้มีการปล่อยวางละอุปาทานขันธ์ 5 จะส่งคลื่นมาทำการสอน ชี้ให้เห็นอุปาทาน ซึ่งเป็นการสอนเฉพาะแต่ละบุคคล ที่ทำงานร่วมกับผู้รู้กฏธรรมชาติจากดวงดาวนั้น ๆ
และผลที่ได้ก็คือเกิดปัญญา เกิดความเบื่อหน่ายที่จะต้องไปทุรนทุรายกับความทุกข์แบบเดิม ๆ แล้วก็จะมีการชี้แนะให้เห็นช่องทางการปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า จะมีการทำตัวอย่างให้เห็นกลับไปกลับมา มีการทดสอบซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง จนเกิดการเทียบเคียงในความทุกข์ที่เกิดขึ้นขณะที่ยึดถือความคิดว่าเป็นตัวเรา ของเรา กับความคิดที่เข้าใจความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ แล้วเกิดปัญญาเห็นจริงปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น จะเห็นความเบาสบายได้เลยในขณะนั้น
ดังนั้น สิ่งใดที่เคยปล่อยวางได้ ก็จะไม่อยากกลับไปยึดถือว่าเป็นตัวเราของเราอีก มีแต่จะปล่อยวางมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เราก็จะมองเห็นมันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหละ ไม่น่าอยากได้ทั้งนั้น ใครจะสรรเสริญก็เรื่องของเขา ใครจะนินทาก็เรื่องของเขา จะสุขบ้าง ทุกข์บ้าง มันก็เป็นของมันอย่างนั้นมานานแล้ว เป็นมาหลายกัปหลายกัลป์แล้ว ไม่เห็นต้องไปตื่นเต้นอะไร
ขออนุโมทนาด้วยกับการปฏิบัติเพื่อให้เห็น “ความเป็นเช่นนั้นเอง” ของธรรมชาติ ที่หลาย ๆ ท่านกำลังกระทำอยู่ ซึ่งต้องใช้ทั้งความเพียร และความอดทนควบคู่กันไป
ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
..................................
จุดนัดพบ...ของคนในระบบ...
คนในระบบ.... คือกลุ่มบุคคลที่ระบบ....ได้จัดวางไว้กระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ทั่วโลก
คือผู้ทำงานกับมนุษย์ต่างดาวใน 5,000 ทั่วโลก
ดังนั้น การที่จะต้องมาพบเจอกัน มาทำความรู้จักกัน มาร่วมรับรู้ข่าวสารจากระบบนี้ จึงมิใช่เรื่องที่จะมาพบเจอได้ง่ายนัก ระบบ จึงได้มีการจัดเป็นจุดรวมของกลุ่มบุคคลที่จะมารับรู้ข่าวสารนี้ ... ที่ระบบเรียกว่า...จุดนัดพบ..ขึ้นมา
ดังนั้น.... เว็บไซด์แห่งนี้ ก็เป็นจุดนัดพบอีกแห่งหนึ่ง ในการที่บุคคลใดจะเข้ามาพบเจอเวปไซด์ ufokaokala.com แห่งนี้ เข้ามาอ่านข้อความเหล่านี้ และมาให้ความสนใจในข้อมูลของเขากะลานี้ มิใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เลย หากท่านมิใช่คนของระบบที่วางไว้
ดังนั้น ขออธิบายเพื่อความเข้าใจ...ในเรื่อง ..จุดนัดพบ สักเล็กน้อย
เรื่อง จุดนัดพบ
ซึ่งข้อมูลจากระบบ...ได้แจ้งไว้้ว่า .....ระบบได้มีการทำ จุดนัดพบ ไว้หลายแห่ง เพื่อเป็นจุดที่คนของระบบ จะต้องมาพบกันยังจุดนัดพบเหล่านั้น ตามงานของแต่ละบุคคล
ดังนั้น แต่ละบุคคลเมื่อถึงเวลาต้องทำงานร่วมกับระบบ ก็ต้องมารับทราบเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาว เรื่องราวการช่วยเหลือในเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นนี้ได้ ซึ่งการจะเข้ามาพบเจอกันได้ ก็ต้องเข้ามายัง จุดนัดพบ เหล่านั้น
ซึ่งแต่ละแผนกมีจุดนัดพบแตกต่างกันออกไป
แผนกข้อมูลและตอบปัญหาชีวิต
จุดนัดพบ .... ของแผนกนี้ ก็มักจะมาจากจุดที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติทางจิต การค้นคว้าทางจิต สนใจเรื่องการปฏิบัติธรรม เรื่องลึกลับ เรื่องพลังงานต่าง ๆ เสียเป็นส่วนใหญ่
เช่น งานวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่มีมาแล้ว 16 ครั้ง มีผู้มาสนใจและรับรู้ข้อมูล และรู้จักกับกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)เป็นจำนวนมาก
เวปไซด์พลังจิต ก็เป็นจุดนัดพบอีกจุดหนึ่งของคนในระบบ ที่คนระบบได้ถูกจัดวางไว้จำนวนหนึ่ง
ดังนั้นผู้ที่สนใจเข้ามาอ่านข้อมูล และติดตามต่อเนื่องมา จนมีความเข้าใจ และพร้อมที่จะเข้ามาร่วมทำงานนั้น ต้องถูกดึงดูดโดยระบบ จนมาพบเจอเวปไซด์นี้ พบเจอกระทู้แห่งนี้ ได้อ่าน ได้ทำความเข้าใจ และหากต่อไป งานที่จะต้องทำให้กับระบบก็เกี่ยวเนื่องกับข้อมูลที่ได้รับทราบมานี้
แต่ไม่จำเป็นต้องเข้ามาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เพราะแต่ละท่านเป็นผู้ที่ต้องทำงานตามจุดในแต่ละสถานที่ ที่แต่ละท่านได้พักอาศัยอยู่ ตอนนี้ท่านอาจจะไม่เข้าใจ แต่ต่อไปเมื่อมีความชัดเจนขึ้น ท่านก็จะได้รับการสื่อสารตรงจากระบบ เพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวเช่นกัน
งานสัมมนาที่จัดขึ้นในสถานที่ต่าง ๆ เช่น สัมมนารวมพลคนพลังจิตติดต่อ UFO ก็เป็นจุดนัดพบอีกจุดหนึ่งที่ระบบได้วางไว้
สำหรับแผนกอื่น ๆ จุดนัดพบก็แตกต่างกันไป
แผนกพื้นที่ ุจุดนัดพบ ก็อาจจะเป็นงานทำบุญ งานบวชนาค งานแต่งงาน งานจัดขายสินค้าราคาถูก หรืองานอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องในชีวิตประจำวัน เพราะแผนกพื้นที่ ทำงานเหมือนบุคคลทั่วไปที่ทำงาน เช่นทำงานประจำ หรืออยู่กับบ้าน ทำกับข้าว มีสามีภรรยา เลี้ยงลูก เลี้ยงหมา เลี้ยงแมวไปตามเรื่อง เหมือนบุคคลทั่ว ๆ ไปในปัจจุบันนี้ที่ดำเนินชีวิตกันตามปกติ
แต่หากเป็นคนของระบบ ที่รู้เรื่องระบบ เรื่องโครงการ ก็จะดำเนินชีวิตเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ที่เป็นชาวบ้านในพื้นที่นั้น ๆ ให้ข้อมูลในพื้นที่นั้น ๆ และเตือนภัยสำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่ตามจังหวัดนั้น ๆ ได้ ตามข้อมูลที่ระบบได้ให้มานั่นเอง
หรือแผนกประชาสัมพันธ์ 60 บุคคล จุดนัดพบก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะแต่ละท่านของแผนกนี้ ได้มีการกระจายไปอยู่ยังสถานที่ต่าง ๆ ดังนั้น จุดนัดพบ จึงมิได้มีการกำหนด มารวมเป็นกลุ่มดังแผนกข้อมูล
ดังนั้น ในรูปแบบของงาน จึงมีการกำหนดจุดนัดพบไม่ได้เหมือนกัน...ในทุกแผนก
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็เพื่อเป็นการยืนยันให้กับในหลาย ๆ บุคคลที่ยังมีความลังเลสงสัย ในเรื่องของการวางโครงข่ายของระบบทั่วโลก การจัดวางบุคคลไว้ทั่วโลก ว่าเราเป็นหนึ่งในจำนวนนี้ที่ระบบได้วางไว้หรือไม่
.............................
กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้มีการรับข้อมูล
และมีการเผยแพร่ข้อมูลเรื่องการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา
ให้ผู้สนใจได้รับทราบ ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา
สำหรับในประเทศไทย เป็นที่ยอมรับกันว่า...ท่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน ufo มากที่สุดในประเทศไทย ก็คือ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ท่านสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ชื่อท่านพาราซิลทัล มาจากดาวอังคาร
และมนุษย์ต่างดาวที่ท่านติดต่ออยู่นั้น ได้แจ้งว่า มาเพื่อเตือนมนุษย์ในเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น และดาวอังคารที่ท่านติดต่อด้วยนั้น เป็นเพื่อนกับดาวพลูโต ที่ติดต่ออยู่กับกลุ่มเขากะลา สองดวงดาวเป็นเพื่อนกัน ดังนั้น ท่านจึงได้ให้การรับรองเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลาว่าเป็นเรื่องจริง และท่านได้เดินทางไปพิสูจน์เรื่องจานบิน และมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลามาแล้วหลายครั้ง พร้อมทั้งบันทึกภาพไว้ได้จำนวนมาก
กลุ่มประสานงานฯ ก็ได้รับเกียรติจากท่าน ให้จัดนิทรรศการ ufo เผยแพร่เรื่องราวที่เขากะลา ร่วมกันกับท่าน ณ งานวิทยาศาสตร์ทางจิต หลายครั้ง และท่านได้กล่าวยืนยันว่า จานบินและมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา เป็นเรื่องจริง
สำหรับในประเทศไทย เป็นที่ยอมรับกันว่า...ท่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน ufo มากที่สุดในประเทศไทย ก็คือ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ท่านสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ชื่อท่านพาราซิลทัล มาจากดาวอังคาร
และมนุษย์ต่างดาวที่ท่านติดต่ออยู่นั้น ได้แจ้งว่า มาเพื่อเตือนมนุษย์ในเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น และดาวอังคารที่ท่านติดต่อด้วยนั้น เป็นเพื่อนกับดาวพลูโต ที่ติดต่ออยู่กับกลุ่มเขากะลา สองดวงดาวเป็นเพื่อนกัน ดังนั้น ท่านจึงได้ให้การรับรองเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลาว่าเป็นเรื่องจริง และท่านได้เดินทางไปพิสูจน์เรื่องจานบิน และมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลามาแล้วหลายครั้ง พร้อมทั้งบันทึกภาพไว้ได้จำนวนมาก
กลุ่มประสานงานฯ ก็ได้รับเกียรติจากท่าน ให้จัดนิทรรศการ ufo เผยแพร่เรื่องราวที่เขากะลา ร่วมกันกับท่าน ณ งานวิทยาศาสตร์ทางจิต หลายครั้ง และท่านได้กล่าวยืนยันว่า จานบินและมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา เป็นเรื่องจริง
เรื่องราวของจานบิน
เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาว เป็นเรื่องราวที่ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่
ในการมาปรากฏให้เห็นบนโลกใบนี้
มีหลักฐานบันทึกไว้ตามที่ต่าง ๆ มานานแล้ว ไม่ว่าจากการวาดภาพตามผนังถ้ำของคนสมัยโบราณนับพัน ๆ ปี หรือจากหลักฐานที่ค้นพบในยุคนี้ ทั้งในเรื่องของจานบิน ในเรื่องของวัตถุแปลก ๆ หรือภาพถ่ายต่าง ๆ ก็ตาม นั่นเริ่มมีการยอมรับมากขึ้นว่า มีดวงดาวมากมายที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ และผู้ที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีนั้น ได้เดินทางมาโลกมนุษย์แล้ว
แต่การที่จะติดต่อสื่อสาร จะรับทราบวัตถุประสงค์ของเขานั้น เป็นเรื่องยาก
ดังนั้น การที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้รับข้อมูลมามากกว่า 10 ปีนั้น เมื่อหลักฐานต่าง ๆ ยังไม่ปรากฏ ก็ย่อมเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก ดังนั้น การที่จะให้บุคคลใด ๆ มาเชื่อนั้น จึงไม่อาจทำได้ นอกจากนำข้อมูลมาแจ้งให้ทราบไว้ก่อน เพื่อให้ท่านศึกษาวิเคราะห์ในเหตุและผล กับการเริ่มปรากฏขึ้นจริงในเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อเทียบเคียง
ดังเช่นเรื่องราวที่มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลามาวางโครงการเพื่อช่วยเหลือมนุษย์นั้น ได้มีการบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในวัตถุประสงค์เรื่องเดียวนี้ มานับ 10 ปีแล้ว แต่ความชัดเจนในตอนนั้น ยังไม่ปรากฏ เพราะเป็นการบอกล่วงหน้า
ในเรื่องภัยพิบัติจะเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ถี่ขึ้น โดยจะเริ่มมาจากต่างประเทศก่อน
ทั้งเรื่องของการมาเตรียมโครงการเพื่อฝึกบุคคลเข้าร่วมทำงานกับมนุษย์ต่างดาว จำนวน 5,000 คนทั่วโลก
การนำจานบินมาปรากฏให้มนุษย์เห็นเพื่อทำความคุ้นเคย
การสื่อสารผ่านบุคคลแบบ 1 ต่อ 1 เพื่อทำงานร่วมกัน
การถ่ายทอดเทคโนโลยีและอุปกรณ์ให้กับมนุษย์โลก
การติดตั้งอุปกรณ์ให้ผู้ทำงานเพื่อนำไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
มนุษย์เดินทางด้วยจานบินในช่วงเกิดภัยพิบัติ โดยใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง
การสร้างใยแก้วครอบพื้นที่จุดปลอดภัย เพื่อป้องกันรังสีนิวเคลียร์ยังจุดต่าง ๆ ทั่วโลก หากมีการระเบิดขึ้น
การสกัดกั้นนิวเคลียร์ในบางส่วน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตมนุษย์ในส่วนรวม
และอีกหลายข้อมูลที่ได้มีการแจ้งให้ทราบ และทุกสิ่งที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้นับ 10 ปีนั้น ได้เริ่มเปิดเผยให้เห็นมากขึ้น
ดังเช่น เรื่องของอาวุธนิวเคลียร์ ที่มนุษย์ต่างดาวได้เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อปี 2541 (12 ปีที่ผ่านมา)
.....
ข้อความส่วนหนึ่งของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
ถ่ายทอดข้อความเป็นคลื่นเสียงไว้ ณ เขากะลา
วันที่ 10 ตุลาคม 2541.....
สิ่งที่ข้าพเจ้าจะอยู่ช่วยเหลือพวกเจ้านั้น ได้เคยกล่าวไว้แล้วในกาลก่อน มีในบันทึกนะ ก็จะบอกอีกสักครั้งหนึ่งว่า ข้าพเจ้าจะมาช่วยทั้งเทคโนโลยี ซึ่งเป็นวัตถุที่เจ้าเห็นกัน และมาทั้งพระญาณ ซึ่งผ่านร่างที่เป็นมนุษย์เพื่อสื่อสาร
การอยู่ช่วยเหลือของข้าพเจ้า ก็จะช่วยเหลือตั้งแต่ก่อนเกิดภัยพิบัติ อย่างเช่นในขณะนี้ มาให้พวกเจ้าเห็น มาให้พวกเจ้าเชื่อตามแต่บารมี ท่านที่มีบารมีตามแต่วาระจิต ก็จะได้เห็นข้าพเจ้าในความชัดเจน
เจ้าคนที่ถามครั้งก่อนนี้ ก็ไปถามเขาดู เขาได้เห็นความชัดเจนมาก
และสำหรับการที่จะอยู่ช่วยเหลืออันดับแรกนอกจากในขั้นต้นนี่นะ.... มาให้พวกเจ้าเห็นกันนะ
สงครามโลกของพวกเจ้าก็ต้องได้รับความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว ไม่อย่างนั้นแล้ว โลกมนุษย์ของเจ้ามันคงพังพินาศกันไปมากกว่านี้ ถ้าไม่ได้รับการสกัดกั้นด้วยเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว จากจักรวาลโลกุกะตาปากะดิกอง และจักรวาล และจากพระญาณ และยานฯ อวกาศของข้าพเจ้า
ส่วนที่ 3 ก็คือ ช่วงในการเกิดภัยพิบัติ จะมีความโกลาหลวุ่นวายมากมายกันเหลือเกินในโลกมนุษย์ของพวกเจ้า ตอนนี้ก็ถือดีกันอยู่ แต่พอตอนนั้นจะเหมือนลูกหมาตกน้ำ... หมดแล้ว...ลาภยศ...ไอ้ที่มันลดยาก มันจะลดลงไป หลุดลงไปเลย มันไม่มีแล้ว เหลือแต่ตัว ตัวเองก็แทบจะมากันไม่ถึง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก็จะกระเซอะกระเซิง เป็นที่น่าเวทนา
เพราะว่าพวกข้าพเจ้า เมื่อหลังเกิดภัยพิบัติ และจะอยู่ช่วยเหลือพวกเจ้าจนสามารถตั้งตัวกันได้ แล้วก็จะต้องถอนทัพกลับไป เพราะไม่สามารถจะอยู่ได้เลยตามกฎธรรมชาติ
เพราะฉะนั้น การมาช่วยเหลือนั้น
ตั้งแต่ก่อนเกิด
จนเกิดภัยพิบัติ จะอยู่กับเจ้านี่แหละ.....
และหลังจากเกิดภัยพิบัติ ก็จะอดอยาก ยากแค้น แร้นแค้นกันแล้ว เทคโนโลยีของข้าพเจ้า ก็จะนำมาให้พวกเจ้าในการดำรงชีวิตอยู่ในปัจจัย 4
มีหลักฐานบันทึกไว้ตามที่ต่าง ๆ มานานแล้ว ไม่ว่าจากการวาดภาพตามผนังถ้ำของคนสมัยโบราณนับพัน ๆ ปี หรือจากหลักฐานที่ค้นพบในยุคนี้ ทั้งในเรื่องของจานบิน ในเรื่องของวัตถุแปลก ๆ หรือภาพถ่ายต่าง ๆ ก็ตาม นั่นเริ่มมีการยอมรับมากขึ้นว่า มีดวงดาวมากมายที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ และผู้ที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีนั้น ได้เดินทางมาโลกมนุษย์แล้ว
แต่การที่จะติดต่อสื่อสาร จะรับทราบวัตถุประสงค์ของเขานั้น เป็นเรื่องยาก
ดังนั้น การที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้รับข้อมูลมามากกว่า 10 ปีนั้น เมื่อหลักฐานต่าง ๆ ยังไม่ปรากฏ ก็ย่อมเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก ดังนั้น การที่จะให้บุคคลใด ๆ มาเชื่อนั้น จึงไม่อาจทำได้ นอกจากนำข้อมูลมาแจ้งให้ทราบไว้ก่อน เพื่อให้ท่านศึกษาวิเคราะห์ในเหตุและผล กับการเริ่มปรากฏขึ้นจริงในเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อเทียบเคียง
ดังเช่นเรื่องราวที่มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลามาวางโครงการเพื่อช่วยเหลือมนุษย์นั้น ได้มีการบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในวัตถุประสงค์เรื่องเดียวนี้ มานับ 10 ปีแล้ว แต่ความชัดเจนในตอนนั้น ยังไม่ปรากฏ เพราะเป็นการบอกล่วงหน้า
ในเรื่องภัยพิบัติจะเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ถี่ขึ้น โดยจะเริ่มมาจากต่างประเทศก่อน
ทั้งเรื่องของการมาเตรียมโครงการเพื่อฝึกบุคคลเข้าร่วมทำงานกับมนุษย์ต่างดาว จำนวน 5,000 คนทั่วโลก
การนำจานบินมาปรากฏให้มนุษย์เห็นเพื่อทำความคุ้นเคย
การสื่อสารผ่านบุคคลแบบ 1 ต่อ 1 เพื่อทำงานร่วมกัน
การถ่ายทอดเทคโนโลยีและอุปกรณ์ให้กับมนุษย์โลก
การติดตั้งอุปกรณ์ให้ผู้ทำงานเพื่อนำไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
มนุษย์เดินทางด้วยจานบินในช่วงเกิดภัยพิบัติ โดยใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง
การสร้างใยแก้วครอบพื้นที่จุดปลอดภัย เพื่อป้องกันรังสีนิวเคลียร์ยังจุดต่าง ๆ ทั่วโลก หากมีการระเบิดขึ้น
การสกัดกั้นนิวเคลียร์ในบางส่วน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตมนุษย์ในส่วนรวม
และอีกหลายข้อมูลที่ได้มีการแจ้งให้ทราบ และทุกสิ่งที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้นับ 10 ปีนั้น ได้เริ่มเปิดเผยให้เห็นมากขึ้น
ดังเช่น เรื่องของอาวุธนิวเคลียร์ ที่มนุษย์ต่างดาวได้เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อปี 2541 (12 ปีที่ผ่านมา)
.....
ข้อความส่วนหนึ่งของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
ถ่ายทอดข้อความเป็นคลื่นเสียงไว้ ณ เขากะลา
วันที่ 10 ตุลาคม 2541.....
สิ่งที่ข้าพเจ้าจะอยู่ช่วยเหลือพวกเจ้านั้น ได้เคยกล่าวไว้แล้วในกาลก่อน มีในบันทึกนะ ก็จะบอกอีกสักครั้งหนึ่งว่า ข้าพเจ้าจะมาช่วยทั้งเทคโนโลยี ซึ่งเป็นวัตถุที่เจ้าเห็นกัน และมาทั้งพระญาณ ซึ่งผ่านร่างที่เป็นมนุษย์เพื่อสื่อสาร
การอยู่ช่วยเหลือของข้าพเจ้า ก็จะช่วยเหลือตั้งแต่ก่อนเกิดภัยพิบัติ อย่างเช่นในขณะนี้ มาให้พวกเจ้าเห็น มาให้พวกเจ้าเชื่อตามแต่บารมี ท่านที่มีบารมีตามแต่วาระจิต ก็จะได้เห็นข้าพเจ้าในความชัดเจน
เจ้าคนที่ถามครั้งก่อนนี้ ก็ไปถามเขาดู เขาได้เห็นความชัดเจนมาก
และสำหรับการที่จะอยู่ช่วยเหลืออันดับแรกนอกจากในขั้นต้นนี่นะ.... มาให้พวกเจ้าเห็นกันนะ
สงครามโลกของพวกเจ้าก็ต้องได้รับความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว ไม่อย่างนั้นแล้ว โลกมนุษย์ของเจ้ามันคงพังพินาศกันไปมากกว่านี้ ถ้าไม่ได้รับการสกัดกั้นด้วยเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว จากจักรวาลโลกุกะตาปากะดิกอง และจักรวาล และจากพระญาณ และยานฯ อวกาศของข้าพเจ้า
ส่วนที่ 3 ก็คือ ช่วงในการเกิดภัยพิบัติ จะมีความโกลาหลวุ่นวายมากมายกันเหลือเกินในโลกมนุษย์ของพวกเจ้า ตอนนี้ก็ถือดีกันอยู่ แต่พอตอนนั้นจะเหมือนลูกหมาตกน้ำ... หมดแล้ว...ลาภยศ...ไอ้ที่มันลดยาก มันจะลดลงไป หลุดลงไปเลย มันไม่มีแล้ว เหลือแต่ตัว ตัวเองก็แทบจะมากันไม่ถึง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก็จะกระเซอะกระเซิง เป็นที่น่าเวทนา
เพราะว่าพวกข้าพเจ้า เมื่อหลังเกิดภัยพิบัติ และจะอยู่ช่วยเหลือพวกเจ้าจนสามารถตั้งตัวกันได้ แล้วก็จะต้องถอนทัพกลับไป เพราะไม่สามารถจะอยู่ได้เลยตามกฎธรรมชาติ
เพราะฉะนั้น การมาช่วยเหลือนั้น
ตั้งแต่ก่อนเกิด
จนเกิดภัยพิบัติ จะอยู่กับเจ้านี่แหละ.....
และหลังจากเกิดภัยพิบัติ ก็จะอดอยาก ยากแค้น แร้นแค้นกันแล้ว เทคโนโลยีของข้าพเจ้า ก็จะนำมาให้พวกเจ้าในการดำรงชีวิตอยู่ในปัจจัย 4
มนุษย์ต่างดาวเคยบอกไว้นานแล้วว่า มนุษย์โลกมักจะเชื่อถือชาติที่มีเทคโนโลยีสูง
ชาติที่เจริญทางด้านวัตถุ ชาติมหาอำนาจ
มากกว่าชาติเล็ก ๆ หรือประเทศเล็ก ๆ
ที่มีเทคโนโลยีน้อยกว่า
ดังนั้น หากข่าวสารใดที่ออกมาจากประเทศมหาอำนาจที่มีเทคโนโลยี ประเทศที่เจริญด้านวัตถุ เช่นอเมริกา อังกฤษ หรือประเทศอื่น ๆ แถบยุโรปเป็นต้น ข่าวสารนั้นจะเป็นที่น่าเชื่อถือ เป็นที่น่าสนใจ และทั่วโลกก็พลอยรับรู้ ทั้งให้น้ำหนักกับข่าวสารนั้น ๆ มากเป็นพิเศษ
บุคคลต่าง ๆ ที่อยู่ในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ก็ย่อมให้ความสนใจในข้อมูลนั้น ๆ ตามข่าวสารที่ได้รับ และให้ความเชื่อถือตามไปด้วย
ซึ่งก็เป็นจริงเช่นนี้ แม้แต่เรื่องของจานบิน ufo หรือมนุษย์ต่างดาว ที่เป็นข่าวแพร่กระจายก็มาจากประเทศที่เจริญทางเทคโนโลยี ที่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ออกไปทั่วโลก และประเทศต่าง ๆ ก็เริ่มให้ความสนใจ และเมื่อมีการพบเจอ วัตถุลึกลับมากขึ้นหลังจากนั้น ก็จะเรียกว่าจานบิน ตามที่ผู้พบและตั้งชื่อไว้
เพราะผู้พบคนแรกและตั้งชื่อวัตถุลึกลับนั้นว่า จานบิน ก็คือ เคนเนธ อาร์โนลด์ เป็นนักธุรกิจและนักบินชาวอเมริกัน เห็นวัตถุลึกลับ จำนวน 9 ลำ มีลักษณะเหมือนกับจานสองใบประกบกัน อาร์โนลด์จึงเรียกมันว่าจานบิน
ดังนั้น แม้แต่ในประเทศอเมริกาเอง ก็ยังมีทั้งผู้ที่เชื่อเรื่อง ufo และผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องของ ufo และมีทั้งผู้ที่ต้องการปกปิดเรื่องราวของ ufo จนได้มีการเรียกร้องให้เปิดเผยข้อเท็จจริงกันอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศช่วงนี้
เรื่องของมนุษย์ต่างดาวในประเทศไทย เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้ ถึงแม้จะได้เห็น จะได้พบ จะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีของเขาเองก็ตาม แต่ก็ยากที่คนทั่วไปจะเชื่อ
ดังนั้น ผู้ทำงานกับมนุษย์ต่างดาว .... อย่าได้ไปกังวล อย่าได้ไปทุกข์ร้อนกับความไม่เชื่อของใคร ๆ หรืออย่าได้ไปท้อใจว่า...ทำไม...จึงมีคนเชื่อเรื่องนี้น้อยนัก
นั่นเพราะ...หน้าที่การให้ความช่วยเหลือ ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของมนุษย์ต่างดาว เขาต้องมีการเตรียมการหลายอย่างเพื่อให้การช่วยเหลือได้ทันเวลา
และถึงแม้ใครจะเชื่อ หรือจะไม่เชื่อ มนุษย์ต่างดาวก็ยังคงเตรียมการเพื่อให้ความช่วยเหลืออยู่ดี
อยู่ที่ว่า มนุษย์โลก...จะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น
เพราะความช่วยเหลือ....เทคโนโลยีที่มนุษย์ต่างดาวได้เตรียมไว้เพื่อช่วยเหลือมนุษย์นั้น เป็นเทคโนโลยีที่ไฮเทคเกินกว่าที่มนุษย์จะคาดเดา เกินกว่าที่มนุษย์โลกจะเชื่อได้ หรือเข้าใจได้....นั่นเอง
เพราะสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวบอกไว้นั้น มันเป็น .... เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย ที่เกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการจริง ๆ
ดังนั้น หากข่าวสารใดที่ออกมาจากประเทศมหาอำนาจที่มีเทคโนโลยี ประเทศที่เจริญด้านวัตถุ เช่นอเมริกา อังกฤษ หรือประเทศอื่น ๆ แถบยุโรปเป็นต้น ข่าวสารนั้นจะเป็นที่น่าเชื่อถือ เป็นที่น่าสนใจ และทั่วโลกก็พลอยรับรู้ ทั้งให้น้ำหนักกับข่าวสารนั้น ๆ มากเป็นพิเศษ
บุคคลต่าง ๆ ที่อยู่ในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ก็ย่อมให้ความสนใจในข้อมูลนั้น ๆ ตามข่าวสารที่ได้รับ และให้ความเชื่อถือตามไปด้วย
ซึ่งก็เป็นจริงเช่นนี้ แม้แต่เรื่องของจานบิน ufo หรือมนุษย์ต่างดาว ที่เป็นข่าวแพร่กระจายก็มาจากประเทศที่เจริญทางเทคโนโลยี ที่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ออกไปทั่วโลก และประเทศต่าง ๆ ก็เริ่มให้ความสนใจ และเมื่อมีการพบเจอ วัตถุลึกลับมากขึ้นหลังจากนั้น ก็จะเรียกว่าจานบิน ตามที่ผู้พบและตั้งชื่อไว้
เพราะผู้พบคนแรกและตั้งชื่อวัตถุลึกลับนั้นว่า จานบิน ก็คือ เคนเนธ อาร์โนลด์ เป็นนักธุรกิจและนักบินชาวอเมริกัน เห็นวัตถุลึกลับ จำนวน 9 ลำ มีลักษณะเหมือนกับจานสองใบประกบกัน อาร์โนลด์จึงเรียกมันว่าจานบิน
ดังนั้น แม้แต่ในประเทศอเมริกาเอง ก็ยังมีทั้งผู้ที่เชื่อเรื่อง ufo และผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องของ ufo และมีทั้งผู้ที่ต้องการปกปิดเรื่องราวของ ufo จนได้มีการเรียกร้องให้เปิดเผยข้อเท็จจริงกันอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศช่วงนี้
เรื่องของมนุษย์ต่างดาวในประเทศไทย เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้ ถึงแม้จะได้เห็น จะได้พบ จะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีของเขาเองก็ตาม แต่ก็ยากที่คนทั่วไปจะเชื่อ
ดังนั้น ผู้ทำงานกับมนุษย์ต่างดาว .... อย่าได้ไปกังวล อย่าได้ไปทุกข์ร้อนกับความไม่เชื่อของใคร ๆ หรืออย่าได้ไปท้อใจว่า...ทำไม...จึงมีคนเชื่อเรื่องนี้น้อยนัก
นั่นเพราะ...หน้าที่การให้ความช่วยเหลือ ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของมนุษย์ต่างดาว เขาต้องมีการเตรียมการหลายอย่างเพื่อให้การช่วยเหลือได้ทันเวลา
และถึงแม้ใครจะเชื่อ หรือจะไม่เชื่อ มนุษย์ต่างดาวก็ยังคงเตรียมการเพื่อให้ความช่วยเหลืออยู่ดี
อยู่ที่ว่า มนุษย์โลก...จะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น
เพราะความช่วยเหลือ....เทคโนโลยีที่มนุษย์ต่างดาวได้เตรียมไว้เพื่อช่วยเหลือมนุษย์นั้น เป็นเทคโนโลยีที่ไฮเทคเกินกว่าที่มนุษย์จะคาดเดา เกินกว่าที่มนุษย์โลกจะเชื่อได้ หรือเข้าใจได้....นั่นเอง
เพราะสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวบอกไว้นั้น มันเป็น .... เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย ที่เกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการจริง ๆ
หมายเหตุ...(มนุษย์ต่างดาวที่มาติดต่อกับกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
มี
2 ดวงดาว คือ
ดาวโลกุกะตาปากะดิกอง(อยู่คนละจักรวาล)
และดาวพลูโต (ในจักรวาลเดียวกัน)
ดาวโลกุกะตาปากะดิกอง(อยู่คนละจักรวาล)
และดาวพลูโต (ในจักรวาลเดียวกัน)
..................................
สิ่งสำคัญ...ที่ระบบมุ่งหมายให้ท่านรับทราบก็คือ
การ " แจ้งเพื่อทราบ " เรื่องของเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว เรื่องของอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว ที่ติดตั้งให้กับมนุษย์แล้วสามารถนำไปใช้งานได้จริง ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นี่คือ ระบบต้องการให้ทราบว่า เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวมีจริง อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวมีจริง เรื่องของมิติที่เตรียมการเพื่อช่วยเหลือในยามวิกฤตินั้นมีการเตรียมพร้อมอยู่จริง และสามารถใช้งานช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติได้จริง
ก็เพื่อให้ผู้ที่ทำงานร่วมกับระบบ ผู้ที่สัมผัสกับอุปกรณ์นั้นอยู่ ผู้ที่ใช้งานอุปกรณ์นั้นอยู่ จะได้หายคลางแคลงใจ และมั่นใจในระบบว่า สิ่งที่ระบบกล่าวมาทั้งหมดนั้น .... เป็นเรื่องจริง ..และเราเป็นผู้หนึ่งที่สามารถใช้อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้จริง
ระบบจึงมีการ " แจ้งเพื่อทราบ " ให้กับมนุษย์โลกได้รับรู้.... ในโครงการของ "มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา" มาถึงบัดนี้.. เป็นระยะเวลาเกือบ 13 ปีแล้ว ( 2 ธันวาคม 2540 - ตุลาคม 2553 )
และจะยังคงดำเนินการ...แจ้งเพื่อทราบ...ข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาวต่อไป...พร้อม ๆ กับภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นในขณะนี้
การ " แจ้งเพื่อทราบ " เรื่องของเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว เรื่องของอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว ที่ติดตั้งให้กับมนุษย์แล้วสามารถนำไปใช้งานได้จริง ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นี่คือ ระบบต้องการให้ทราบว่า เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวมีจริง อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวมีจริง เรื่องของมิติที่เตรียมการเพื่อช่วยเหลือในยามวิกฤตินั้นมีการเตรียมพร้อมอยู่จริง และสามารถใช้งานช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติได้จริง
ก็เพื่อให้ผู้ที่ทำงานร่วมกับระบบ ผู้ที่สัมผัสกับอุปกรณ์นั้นอยู่ ผู้ที่ใช้งานอุปกรณ์นั้นอยู่ จะได้หายคลางแคลงใจ และมั่นใจในระบบว่า สิ่งที่ระบบกล่าวมาทั้งหมดนั้น .... เป็นเรื่องจริง ..และเราเป็นผู้หนึ่งที่สามารถใช้อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้จริง
ระบบจึงมีการ " แจ้งเพื่อทราบ " ให้กับมนุษย์โลกได้รับรู้.... ในโครงการของ "มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา" มาถึงบัดนี้.. เป็นระยะเวลาเกือบ 13 ปีแล้ว ( 2 ธันวาคม 2540 - ตุลาคม 2553 )
และจะยังคงดำเนินการ...แจ้งเพื่อทราบ...ข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาวต่อไป...พร้อม ๆ กับภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นในขณะนี้
...............................
เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย อะไรก็เกิดขึ้นได้
อย่าตีกรอบ
คำระบบ หนึ่งในหลาย ๆ คำ ที่หลาย ๆ ท่านเริ่มคุ้นเคย
แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจความหมาย เข้าใจจุดมุ่งหมาย และทำความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของคำจากระบบคำนี้ได้อย่างแท้จริง
เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย เพราะแม้แต่นิยายไซไฟ ที่ดูเหมือนมหัศจรรย์ทั้งหลาย ยังจินตนาการได้ไม่เท่าของจริง ที่ระบบได้วางโครงสร้างไว้
อะไรก็เกิดขึ้นได้ สิ่งที่คิดไว้ สิ่งที่คาดไว้ สิ่งที่ไม่เคยเข้าใจ สิ่งที่คิดว่าไม่่น่าจะเป็นไปได้ หรือควรจะเป็นเช่นนี้ ก็อาจไม่เป็นดังที่คิดไว้ เพราะอะไรก็จะเกิดขึ้นได้เสมอ
อย่าตีกรอบ เพราะความคิดของมนุษย์จินตนาการได้เท่ากับสิ่งที่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้รับรู้มาเท่านั้น ดังนั้น สิ่งที่ยังไม่รู้ ยังไม่เคยพบเคยเห็น หรือไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง การที่จะให้เชื่อในสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้พบ ได้เห็นนั้นย่อมเป็นเรื่องยาก ดังนั้น ต่อให้เปิดมุมมองมากมายแค่ไหน ก็ยังมีกรอบความคิดว่าเท่านั้น เท่านี้อยู่ดี
ดังนั้น ระบบจึงมิได้มุ่งหมายให้คนทั่วไปเชื่อในสิ่งที่ยังไม่เคยพบ เคยเห็น เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้รับรู้เหล่านี้
เพราะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะไปเปลี่ยนความเชื่อ ของบุคคลอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ไม่ได้เคยพบ เคยเห็น เคยได้ยินได้ฟังเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้จะเชื่อถือได้
แต่ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ไม่เคยได้รู้ ไม่เคยได้เห็น ไม่น่าเชื่อเหล่านี้ จะไม่มีจริง....
เพราะในความคิดของบุคคลทั่วไป จะเชื่อได้อย่างไร กับสิ่งที่กลุ่มคนธรรมดา ธรรมดา ออกมาบอกว่าได้ทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาว ที่มาเตรียมการช่วยเหลือมนุษย์โลกเมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่บนโลกใบนี้
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เกิดความสงสัย....ว่าเพราะเหตุใด? มนุษย์ต่างดาวที่มีความเจริญทางจิต สูงด้วยเทคโนโลยี และอยู่ในดวงดาวที่ไกลแสนไกล แต่ทำไมมาติดต่อกับคนไทยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
จะเชื่อได้อย่างไรว่าภัยพิบัติที่มนุษย์ต่างดาวบอกว่าจะมาช่วย จะเป็นเรื่องจริง ภัยร้ายแรงจะเกิดขึ้นจริง ๆ
แล้วการที่มนุษย์ต่างดาวบอกว่า เขามาเตรียมการให้ความช่วยเหลือ จะเป็นจริงได้อย่างไร? จะช่วยมนุษย์แบบไหน? ภัยร้ายแรงคืออะไร?
คำถามมากมายจากบุคคลทั่วไปที่ต้องการรู้ ต้องการทราบเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา และเมื่อตอบไป หลายท่านก็ไม่อาจจะเชื่อได้อยู่ดี
เพราะต่อให้เปิดใจกว้างมากแค่ไหน ก็ยังมีกรอบความเข้าใจในวงจำกัดอยู่นั่นเอง
จึงมีผู้ที่จะเข้าใจโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติของมนุษย์ต่างดาวในโครงการนี้ มีจำนวนน้อยนัก
แต่นั่นมิใช่ประเด็นที่ระบบได้มุ่งหมาย เพราะไม่ว่าจะมีผู้เข้าใจ และร่วมงานมากน้อยเท่าใด งานของระบบก็ยังคงดำเนินไปเช่นเดิม
ดังนั้น ระบบจึงผ่านข้อความเพื่อแจ้งให้ทราบ เป็นระยะ ๆ ผ่านเว็บไซด์ www.ufokaokala.com แห่งนี้
เป็นการ แจ้งเพื่อทราบ...ตามที่ได้รับข้อความมา ซึ่งผู้ได้รับข่าวสารจะเชื่อหรือไม่...ก็แล้วแต่บุคคลท่านนั้น ที่ต้องใช้วิจารณญาณของแต่ละท่านเอง
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่งที่ได้ประสบพบเจอมา....และเชื่อได้ว่า เป็นเรื่องจริง
ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง....ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ชื่อ....กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ว่าสิ่งที่กำลังดำเนินการอยู่นี้เป็นเรื่องจริง
แม้ว่าจะดูเหลือเชื่อยิ่งกว่านิยาย...ที่หลาย ๆ คนจินตนาการไว้มากมายนักก็ตาม.
(1)
คำระบบ หนึ่งในหลาย ๆ คำ ที่หลาย ๆ ท่านเริ่มคุ้นเคย
แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจความหมาย เข้าใจจุดมุ่งหมาย และทำความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของคำจากระบบคำนี้ได้อย่างแท้จริง
เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย เพราะแม้แต่นิยายไซไฟ ที่ดูเหมือนมหัศจรรย์ทั้งหลาย ยังจินตนาการได้ไม่เท่าของจริง ที่ระบบได้วางโครงสร้างไว้
อะไรก็เกิดขึ้นได้ สิ่งที่คิดไว้ สิ่งที่คาดไว้ สิ่งที่ไม่เคยเข้าใจ สิ่งที่คิดว่าไม่่น่าจะเป็นไปได้ หรือควรจะเป็นเช่นนี้ ก็อาจไม่เป็นดังที่คิดไว้ เพราะอะไรก็จะเกิดขึ้นได้เสมอ
อย่าตีกรอบ เพราะความคิดของมนุษย์จินตนาการได้เท่ากับสิ่งที่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้รับรู้มาเท่านั้น ดังนั้น สิ่งที่ยังไม่รู้ ยังไม่เคยพบเคยเห็น หรือไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง การที่จะให้เชื่อในสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้พบ ได้เห็นนั้นย่อมเป็นเรื่องยาก ดังนั้น ต่อให้เปิดมุมมองมากมายแค่ไหน ก็ยังมีกรอบความคิดว่าเท่านั้น เท่านี้อยู่ดี
ดังนั้น ระบบจึงมิได้มุ่งหมายให้คนทั่วไปเชื่อในสิ่งที่ยังไม่เคยพบ เคยเห็น เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้รับรู้เหล่านี้
เพราะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะไปเปลี่ยนความเชื่อ ของบุคคลอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ไม่ได้เคยพบ เคยเห็น เคยได้ยินได้ฟังเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้จะเชื่อถือได้
แต่ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ไม่เคยได้รู้ ไม่เคยได้เห็น ไม่น่าเชื่อเหล่านี้ จะไม่มีจริง....
เพราะในความคิดของบุคคลทั่วไป จะเชื่อได้อย่างไร กับสิ่งที่กลุ่มคนธรรมดา ธรรมดา ออกมาบอกว่าได้ทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาว ที่มาเตรียมการช่วยเหลือมนุษย์โลกเมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่บนโลกใบนี้
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เกิดความสงสัย....ว่าเพราะเหตุใด? มนุษย์ต่างดาวที่มีความเจริญทางจิต สูงด้วยเทคโนโลยี และอยู่ในดวงดาวที่ไกลแสนไกล แต่ทำไมมาติดต่อกับคนไทยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
จะเชื่อได้อย่างไรว่าภัยพิบัติที่มนุษย์ต่างดาวบอกว่าจะมาช่วย จะเป็นเรื่องจริง ภัยร้ายแรงจะเกิดขึ้นจริง ๆ
แล้วการที่มนุษย์ต่างดาวบอกว่า เขามาเตรียมการให้ความช่วยเหลือ จะเป็นจริงได้อย่างไร? จะช่วยมนุษย์แบบไหน? ภัยร้ายแรงคืออะไร?
คำถามมากมายจากบุคคลทั่วไปที่ต้องการรู้ ต้องการทราบเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา และเมื่อตอบไป หลายท่านก็ไม่อาจจะเชื่อได้อยู่ดี
เพราะต่อให้เปิดใจกว้างมากแค่ไหน ก็ยังมีกรอบความเข้าใจในวงจำกัดอยู่นั่นเอง
จึงมีผู้ที่จะเข้าใจโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติของมนุษย์ต่างดาวในโครงการนี้ มีจำนวนน้อยนัก
แต่นั่นมิใช่ประเด็นที่ระบบได้มุ่งหมาย เพราะไม่ว่าจะมีผู้เข้าใจ และร่วมงานมากน้อยเท่าใด งานของระบบก็ยังคงดำเนินไปเช่นเดิม
ดังนั้น ระบบจึงผ่านข้อความเพื่อแจ้งให้ทราบ เป็นระยะ ๆ ผ่านเว็บไซด์ www.ufokaokala.com แห่งนี้
เป็นการ แจ้งเพื่อทราบ...ตามที่ได้รับข้อความมา ซึ่งผู้ได้รับข่าวสารจะเชื่อหรือไม่...ก็แล้วแต่บุคคลท่านนั้น ที่ต้องใช้วิจารณญาณของแต่ละท่านเอง
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่งที่ได้ประสบพบเจอมา....และเชื่อได้ว่า เป็นเรื่องจริง
ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง....ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ชื่อ....กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ว่าสิ่งที่กำลังดำเนินการอยู่นี้เป็นเรื่องจริง
แม้ว่าจะดูเหลือเชื่อยิ่งกว่านิยาย...ที่หลาย ๆ คนจินตนาการไว้มากมายนักก็ตาม.
(1)
.......................
ดังนั้น แม้ว่าเรื่องราวของการทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาว จะดูเหลือเชื่อ
จะดูเหมือนเพ้อเจ้อ จะดูเหมือนไร้สาระ
ในสายตาของคนทั่วไป
ในความยากของการจะเชื่อได้นั้น ต้องผ่านการทดสอบ ทดลอง และเห็นจริงในระดับหนึ่ง
ระบบ จึงได้มีการคัดเลือกผู้ร่วมงานไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีการทดสอบ ทดลอง อีกทั้งยังมีแรงเสียดทานจากบุคคลรอบข้างมากมาย อยู่ที่ใครจะมีความเข้าใจและอดทนกับคำครหานินทาได้มากน้อยแค่ไหน และผ่านมายืนอยู่ได้ ณ จุดนี้
ดังนั้น ทุกท่านที่จะเชื่อถือได้ เข้าร่วมงานได้ จึงต้องใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองด้วยตนเอง ก่อนที่จะเชื่อ
ณ วันนี้ จึงมีบุคคลส่วนหนึ่ง ที่เข้าร่วมทำงานกับมนุษย์ต่างดาวแล้วในหลายรุ่น ซึ่งแยกกันทำงานแต่ละหน้าที่ มีทั้งเห็นหน้าเห็นตากันผ่านกิจกรรมกลุ่มประสานงานฯ ซึ่งมีการนำข้อมูลแจ้งให้ทราบทางเว็บไซด์ ufokaokala.com แห่งนี้
และในส่วนใหญ่อาจไม่ได้มาร่วมในกิจกรรม แต่เป็นผู้ติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง และมีความเข้าใจในกลไกของระบบ และอาจมีหน้าที่แตกต่างกันไป เรียกว่าทำงานแบบเดี่ยว ขึ้นตรงกับระบบ ซึ่งมีทั้งด้านปฏิบัติการ ทั้งด้านสนับสนุน ทั้งด้านนำเสนอข้อมูลภัยพิบัิติ และส่วนหนึ่งเป็นผู้ติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านเว็บไซด์แห่งนี้
ไม่มีใครทราบว่าท่านเป็นหนึ่งในทีมงานของมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ ยกเว้นตัวท่าน กับมนุษย์ต่างดาว
และจากเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเป็นไปได้ ก็เริ่มมีหลักฐาน และพยานบุคคลปรากฏชัดเจนมากขึ้น มากขึ้น
นอกจากนี้ ระบบยังได้ทำตัวอย่างให้เห็น ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ทดสอบทดลองในกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง ที่ระบบให้ชื่อว่า แพทย์แผนอนาคต ได้นำไปทดลองใช้ เพื่อให้เห็นถึงประสิทธิภาพเทคโนโลยีจากต่างดาว และเพื่อเป็นตัวอย่างของอุปกรณ์ที่จะนำไปช่วยเหลือยามเกิดภัยพิบัติใหญ่ ๆ ในอนาคต เพื่อให้มนุษย์ได้รับทราบ ให้ได้รับรู้ในบางส่วน
รวมถึงนำยานอวกาศมาให้ดูเพื่อเป็นการยืนยัน มีการเปิด ปิด มิติ มีการย้ายมวลสารให้เห็น มีการส่งภาพ ส่งคลื่นเสียง ส่งคลื่นความคิด หรือแม้กระทั่งส่งเป็นข้อความเดียวกันผ่านอุปกรณ์ ไปยังบุคคลหลาย ๆ คนในเรื่องเดียวกัน เพื่อเป็นการยืนยันในข้อมูลว่ามีการส่งผ่านมาจริง
ผู้ที่เคยพบ เคยเห็น และได้รับทราบในข้อมูลระบบ ก็จะมีความเข้าใจ และปล่อยวางได้ในระดับหนึ่ง ที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในเทคโนโลยีของต่างดาว
บุคคลกลุ่มนี้ ผู้ที่ติดตั้งเทคโนโลยีจากต่างดาวนี้ กลุ่มแพทย์แผนอนาคตนี้ มีตัวตนจริง และสามารถใช้อุปกรณ์จากต่างดาวช่วยเหลือบุคคลอื่น ๆ ได้จริง และบุคคลที่ได้รับรู้ สัมผัส และได้ทดสอบอุปกรณ์จากต่างดาวแล้วเห็นผลนั้น ก็อาจเชื่อถือเพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง
มนุษย์ต่างดาวได้กล่าวไว้ว่า "มาเตรียมการให้ความช่วยเหลือมนุษย์โลกในเหตุการณ์ของภัยพิบัติใหญ่ ๆ ในทุกด้าน"
ใหญ่แค่ไหนนั้น มนุษย์จินตนาการไม่ถูก เพราะไม่เคยพบ ไม่เคยเจอ ไม่เคยเห็นมาก่อน
และยิ่งเป็นการพูดเรื่องของการมาเตรียมการให้ความช่วยเหลือจากมนุษย์ต่างดาว ที่ระดมมาจากหลาย ๆ ดวงดาวเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลกด้วยเทคโนโลยีที่จะนำมามอบให้เพื่อใช้ช่วยเหลือแล้ว
ยิ่งเชื่อถือไม่ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก
และคนที่กล่าวถึงเรื่องนี้ ก็ไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียง ไม่ได้เป็นคนที่มีความสามารถมากมาย แล้วจะเชื่อถือได้อย่างไรกัน
แม้บุคคลที่น่าเชื่อถือ ที่มีตัวตนอยู่จริง ที่ได้เคยออกมากล่าวถึงภัยพิบัติใหญ่ที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่มาติดต่อกับมนุษย์โลกเพื่อเตรียมให้ความช่วยเหลือจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ก็ตาม
ก็ยังยากที่คนทั่วไป ที่ไม่เคยได้พบ ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง จะเชื่อถือได้อยู่ดี
อย่างเช่น ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ที่ท่านก็ได้รับการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาวโดยตรง ท่านก็กล่าวยืนยันว่า จะเกิดภัยพิบัติบนโลกใบนี้ และมนุษย์ต่างดาวก็มาเตือนและมาเพื่อช่วยโลกใบนี้
หรือเรื่องราวที่...อาจารย์สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องของภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งมีข้อมูลยืนยันจากองค์การนาซ่าด้วยนั้น แม้ว่าท่านได้ออกมาเปิดเผยให้คนไทยได้รับรู้แล้วก็ตาม ก็ยากจะเชื่อได้อยู่นั่นเอง
(2)
ในความยากของการจะเชื่อได้นั้น ต้องผ่านการทดสอบ ทดลอง และเห็นจริงในระดับหนึ่ง
ระบบ จึงได้มีการคัดเลือกผู้ร่วมงานไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีการทดสอบ ทดลอง อีกทั้งยังมีแรงเสียดทานจากบุคคลรอบข้างมากมาย อยู่ที่ใครจะมีความเข้าใจและอดทนกับคำครหานินทาได้มากน้อยแค่ไหน และผ่านมายืนอยู่ได้ ณ จุดนี้
ดังนั้น ทุกท่านที่จะเชื่อถือได้ เข้าร่วมงานได้ จึงต้องใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองด้วยตนเอง ก่อนที่จะเชื่อ
ณ วันนี้ จึงมีบุคคลส่วนหนึ่ง ที่เข้าร่วมทำงานกับมนุษย์ต่างดาวแล้วในหลายรุ่น ซึ่งแยกกันทำงานแต่ละหน้าที่ มีทั้งเห็นหน้าเห็นตากันผ่านกิจกรรมกลุ่มประสานงานฯ ซึ่งมีการนำข้อมูลแจ้งให้ทราบทางเว็บไซด์ ufokaokala.com แห่งนี้
และในส่วนใหญ่อาจไม่ได้มาร่วมในกิจกรรม แต่เป็นผู้ติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง และมีความเข้าใจในกลไกของระบบ และอาจมีหน้าที่แตกต่างกันไป เรียกว่าทำงานแบบเดี่ยว ขึ้นตรงกับระบบ ซึ่งมีทั้งด้านปฏิบัติการ ทั้งด้านสนับสนุน ทั้งด้านนำเสนอข้อมูลภัยพิบัิติ และส่วนหนึ่งเป็นผู้ติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านเว็บไซด์แห่งนี้
ไม่มีใครทราบว่าท่านเป็นหนึ่งในทีมงานของมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ ยกเว้นตัวท่าน กับมนุษย์ต่างดาว
และจากเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเป็นไปได้ ก็เริ่มมีหลักฐาน และพยานบุคคลปรากฏชัดเจนมากขึ้น มากขึ้น
นอกจากนี้ ระบบยังได้ทำตัวอย่างให้เห็น ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ทดสอบทดลองในกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง ที่ระบบให้ชื่อว่า แพทย์แผนอนาคต ได้นำไปทดลองใช้ เพื่อให้เห็นถึงประสิทธิภาพเทคโนโลยีจากต่างดาว และเพื่อเป็นตัวอย่างของอุปกรณ์ที่จะนำไปช่วยเหลือยามเกิดภัยพิบัติใหญ่ ๆ ในอนาคต เพื่อให้มนุษย์ได้รับทราบ ให้ได้รับรู้ในบางส่วน
รวมถึงนำยานอวกาศมาให้ดูเพื่อเป็นการยืนยัน มีการเปิด ปิด มิติ มีการย้ายมวลสารให้เห็น มีการส่งภาพ ส่งคลื่นเสียง ส่งคลื่นความคิด หรือแม้กระทั่งส่งเป็นข้อความเดียวกันผ่านอุปกรณ์ ไปยังบุคคลหลาย ๆ คนในเรื่องเดียวกัน เพื่อเป็นการยืนยันในข้อมูลว่ามีการส่งผ่านมาจริง
ผู้ที่เคยพบ เคยเห็น และได้รับทราบในข้อมูลระบบ ก็จะมีความเข้าใจ และปล่อยวางได้ในระดับหนึ่ง ที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในเทคโนโลยีของต่างดาว
บุคคลกลุ่มนี้ ผู้ที่ติดตั้งเทคโนโลยีจากต่างดาวนี้ กลุ่มแพทย์แผนอนาคตนี้ มีตัวตนจริง และสามารถใช้อุปกรณ์จากต่างดาวช่วยเหลือบุคคลอื่น ๆ ได้จริง และบุคคลที่ได้รับรู้ สัมผัส และได้ทดสอบอุปกรณ์จากต่างดาวแล้วเห็นผลนั้น ก็อาจเชื่อถือเพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง
มนุษย์ต่างดาวได้กล่าวไว้ว่า "มาเตรียมการให้ความช่วยเหลือมนุษย์โลกในเหตุการณ์ของภัยพิบัติใหญ่ ๆ ในทุกด้าน"
ใหญ่แค่ไหนนั้น มนุษย์จินตนาการไม่ถูก เพราะไม่เคยพบ ไม่เคยเจอ ไม่เคยเห็นมาก่อน
และยิ่งเป็นการพูดเรื่องของการมาเตรียมการให้ความช่วยเหลือจากมนุษย์ต่างดาว ที่ระดมมาจากหลาย ๆ ดวงดาวเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลกด้วยเทคโนโลยีที่จะนำมามอบให้เพื่อใช้ช่วยเหลือแล้ว
ยิ่งเชื่อถือไม่ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก
และคนที่กล่าวถึงเรื่องนี้ ก็ไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียง ไม่ได้เป็นคนที่มีความสามารถมากมาย แล้วจะเชื่อถือได้อย่างไรกัน
แม้บุคคลที่น่าเชื่อถือ ที่มีตัวตนอยู่จริง ที่ได้เคยออกมากล่าวถึงภัยพิบัติใหญ่ที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่มาติดต่อกับมนุษย์โลกเพื่อเตรียมให้ความช่วยเหลือจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ก็ตาม
ก็ยังยากที่คนทั่วไป ที่ไม่เคยได้พบ ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง จะเชื่อถือได้อยู่ดี
อย่างเช่น ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ที่ท่านก็ได้รับการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาวโดยตรง ท่านก็กล่าวยืนยันว่า จะเกิดภัยพิบัติบนโลกใบนี้ และมนุษย์ต่างดาวก็มาเตือนและมาเพื่อช่วยโลกใบนี้
หรือเรื่องราวที่...อาจารย์สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องของภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งมีข้อมูลยืนยันจากองค์การนาซ่าด้วยนั้น แม้ว่าท่านได้ออกมาเปิดเผยให้คนไทยได้รับรู้แล้วก็ตาม ก็ยากจะเชื่อได้อยู่นั่นเอง
(2)
.....................
วันนี้ เรากำลังประสบอุทกภัยน้ำท่วม
เป็นภัยพิบัติที่หลาย ๆ ท่านคิดว่าเป็นครั้งใหญ่
แม้รู้ล่วงหน้า แม้เตรียมตัวเตรียมใจ
แม้มีการช่วยเหลือกันและกันอย่างเต็มกำลังแล้วก็ตาม
ภัยพิบัติที่มนุษย์ยังสามารถช่วยกันได้ ยังรู้ล่วงหน้า ยังค่อย ๆ มา ค่อย ๆ ไป แต่ก็ยังเกิดความโกลาหล ความวุ่นวาย ความตื่นตระหนกตกใจในผู้ประสบอุทกภัย และยังมีอีกมากมายที่ยังไม่อาจช่วยเหลือกันได้ทั่วถึง
ได้มีคำถามมาจากหลายบุคคลว่า น้ำท่วมครั้งใหญ่...ทำไมมนุษย์ต่างดาวจึงไม่มาช่วยเหลือ
ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ มิใช่ภัยพิบัติใหญ่ และมนุษย์โลกยังช่วยเหลือกันและกันได้
จึงยังมิใช่ภัยใหญ่ ๆ อย่างที่มนุษย์ต่างดาวได้มาเตรียมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ
ถึงกระนั้นก็ตาม กลุ่มบุคคลที่ได้อาสามาทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวเองก็ยังไม่ได้นิ่งดูดาย ยังออกมาให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ที่กำลังประสบอุทกภัยครั้งนี้อย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ข้ามพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้
มหาอุทกภัยน้ำท่วมกรุงเทพฯ ครั้งนี้ ก็เกินจากความคาดหมาย เกินจากการนึกคิดของใคร ๆ อีกหลายคน ที่เคยคิดว่า เป็นไปไม่ได้
แต่ก็ยังเป็นไปได้ และยิ่งนับวันความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศบนโลกใบนี้ ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
แล้วภัยใหญ่ ๆ ที่ขนาดมนุษย์ต่างดาว ยังต้องระดมกันมาให้ความช่วยเหลือนั้น มันจะเป็นภัยใหญ่ขนาดไหน
ได้มีผู้รู้จากหลาย ๆ ท่าน ได้กล่าวถึงภัยพิบัติไว้อย่างมากมาย วันนี้จึงขอนำบางข้อมูลที่มีแหล่งอ้างอิง มาให้พิจารณากันอีกครั้งหนึ่ง
โปรดใช้วิจารณญาณของท่านในการรับข้อมูล
ไม่ได้มุ่งหมายให้ตื่นตระหนก แต่มุ่งหมายให้มีสติ ให้เกิดความไม่ประมาทในจิตใจ ด้วยความคิดที่ว่า...เรื่องของภัยพิบัติ...เป็นไปไม่ได้..
เพราะ....เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่าตีกรอบ
...
มีหลายท่านได้กล่าวถึงเรื่องของภัยพิบัติบนโลกใบนี้ และกล่าวถึงมนุษย์ต่างดาวที่มาให้ความช่วยเหลือ
...ในส่วนของ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน หลาย ๆ ท่านที่สนใจเรื่องของมนุษย์ต่างดาว และได้ติดตามข้อมูลจากท่านมาอย่างต่อเนื่องก็คงพอจะทราบเรื่องการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวจากดาวอังคาร ที่มาเตือนเรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งท่านได้บรรยายให้ได้รับฟังหลายครั้งในหลายสถานที่ ซึ่งเป็นการยืนยันว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริง และมาติดต่อกับมนุษย์โลกจริง
ภัยพิบัติที่มนุษย์ยังสามารถช่วยกันได้ ยังรู้ล่วงหน้า ยังค่อย ๆ มา ค่อย ๆ ไป แต่ก็ยังเกิดความโกลาหล ความวุ่นวาย ความตื่นตระหนกตกใจในผู้ประสบอุทกภัย และยังมีอีกมากมายที่ยังไม่อาจช่วยเหลือกันได้ทั่วถึง
ได้มีคำถามมาจากหลายบุคคลว่า น้ำท่วมครั้งใหญ่...ทำไมมนุษย์ต่างดาวจึงไม่มาช่วยเหลือ
ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ มิใช่ภัยพิบัติใหญ่ และมนุษย์โลกยังช่วยเหลือกันและกันได้
จึงยังมิใช่ภัยใหญ่ ๆ อย่างที่มนุษย์ต่างดาวได้มาเตรียมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ
ถึงกระนั้นก็ตาม กลุ่มบุคคลที่ได้อาสามาทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวเองก็ยังไม่ได้นิ่งดูดาย ยังออกมาให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ที่กำลังประสบอุทกภัยครั้งนี้อย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ข้ามพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้
มหาอุทกภัยน้ำท่วมกรุงเทพฯ ครั้งนี้ ก็เกินจากความคาดหมาย เกินจากการนึกคิดของใคร ๆ อีกหลายคน ที่เคยคิดว่า เป็นไปไม่ได้
แต่ก็ยังเป็นไปได้ และยิ่งนับวันความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศบนโลกใบนี้ ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
แล้วภัยใหญ่ ๆ ที่ขนาดมนุษย์ต่างดาว ยังต้องระดมกันมาให้ความช่วยเหลือนั้น มันจะเป็นภัยใหญ่ขนาดไหน
ได้มีผู้รู้จากหลาย ๆ ท่าน ได้กล่าวถึงภัยพิบัติไว้อย่างมากมาย วันนี้จึงขอนำบางข้อมูลที่มีแหล่งอ้างอิง มาให้พิจารณากันอีกครั้งหนึ่ง
โปรดใช้วิจารณญาณของท่านในการรับข้อมูล
ไม่ได้มุ่งหมายให้ตื่นตระหนก แต่มุ่งหมายให้มีสติ ให้เกิดความไม่ประมาทในจิตใจ ด้วยความคิดที่ว่า...เรื่องของภัยพิบัติ...เป็นไปไม่ได้..
เพราะ....เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่าตีกรอบ
...
มีหลายท่านได้กล่าวถึงเรื่องของภัยพิบัติบนโลกใบนี้ และกล่าวถึงมนุษย์ต่างดาวที่มาให้ความช่วยเหลือ
...ในส่วนของ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน หลาย ๆ ท่านที่สนใจเรื่องของมนุษย์ต่างดาว และได้ติดตามข้อมูลจากท่านมาอย่างต่อเนื่องก็คงพอจะทราบเรื่องการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวจากดาวอังคาร ที่มาเตือนเรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งท่านได้บรรยายให้ได้รับฟังหลายครั้งในหลายสถานที่ ซึ่งเป็นการยืนยันว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริง และมาติดต่อกับมนุษย์โลกจริง
.......................
ต้องขออภัยอย่างยิ่ง ที่ไ้ด้นำข้อความที่น่าหวั่นไหว
มาให้รับทราบท่ามกลางสถานการณ์อุทกภัยที่ยังคงเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
แต่ในขณะวิกฤติ ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายย่อมไม่ละทิ้งโอกาสในการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดสติ และใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาถึงสิ่งที่กำลังประสบอยู่ตรงหน้า ว่าควรจะวางจิตอย่างไร หากมีหายนะภัยใหญ่ ๆ เกิดขึ้น
วันข้างหน้า จะเป็นเช่นไร ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างแน่นอน
ภัยพิบัติครั้งใหญ่ จะเกิดขึ้นเมื่อไร? มากน้อยแค่ไหน? ไม่มีใครบอกได้อย่างแน่นอน
อย่าไปรอ อย่าไปคาดหวัง อย่าไปหวาดกลัวถึงหายนะภัยในวันข้่างหน้า และอย่าประมาทว่า....เรายังมีเวลาอีกยาวนาน
เพราะเวลาที่ยังเหลืออยู่ในสภาวะของความสงบสุข ความร่มเย็นของธรรมชาติ จะยังมีอยู่มากน้อยแค่ไหน ไม่มีใครรู้เช่นกัน
แต่วันนี้ ในท่ามกลางความวุ่นวายนานับประการ ควรให้โอกาสกับตัวเองในการที่จะสร้างความดี เพียรปฏิบัติธรรม เรียนรู้กฏธรรมชาติตามความเป็นจริง เข้าใจกลไกของจักรวาล เรียนรู้ และละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ละวางอัตตาตัวตน และเพียรปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะเป็นในแนวทางใด ๆ ก็ตาม ที่จะปล่อยวางได้ ขอให้ทำเถิด
เพราะสิ่งนี้เท่านั้นที่จะติดตัวท่านไป และจะทำให้มีสติ เกิดปัญญา เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ใด ๆ ก็ตาม
จะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยท่านได้ในยามเกิดภัยพิบัติขึ้น
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านเช่นเคยค่ะ
แต่ในขณะวิกฤติ ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายย่อมไม่ละทิ้งโอกาสในการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดสติ และใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาถึงสิ่งที่กำลังประสบอยู่ตรงหน้า ว่าควรจะวางจิตอย่างไร หากมีหายนะภัยใหญ่ ๆ เกิดขึ้น
วันข้างหน้า จะเป็นเช่นไร ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างแน่นอน
ภัยพิบัติครั้งใหญ่ จะเกิดขึ้นเมื่อไร? มากน้อยแค่ไหน? ไม่มีใครบอกได้อย่างแน่นอน
อย่าไปรอ อย่าไปคาดหวัง อย่าไปหวาดกลัวถึงหายนะภัยในวันข้่างหน้า และอย่าประมาทว่า....เรายังมีเวลาอีกยาวนาน
เพราะเวลาที่ยังเหลืออยู่ในสภาวะของความสงบสุข ความร่มเย็นของธรรมชาติ จะยังมีอยู่มากน้อยแค่ไหน ไม่มีใครรู้เช่นกัน
แต่วันนี้ ในท่ามกลางความวุ่นวายนานับประการ ควรให้โอกาสกับตัวเองในการที่จะสร้างความดี เพียรปฏิบัติธรรม เรียนรู้กฏธรรมชาติตามความเป็นจริง เข้าใจกลไกของจักรวาล เรียนรู้ และละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ละวางอัตตาตัวตน และเพียรปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะเป็นในแนวทางใด ๆ ก็ตาม ที่จะปล่อยวางได้ ขอให้ทำเถิด
เพราะสิ่งนี้เท่านั้นที่จะติดตัวท่านไป และจะทำให้มีสติ เกิดปัญญา เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ใด ๆ ก็ตาม
จะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยท่านได้ในยามเกิดภัยพิบัติขึ้น
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านเช่นเคยค่ะ
.........................
ภัยพิบัติไม่ว่าจะเกิดขึ้นในระดับไหนก็ตาม ย่อมสร้างความสูญเสีย
ความเศร้าโศกเสียใจ และความทุกข์....จากการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ
ให้กับผู้ประสบภัยด้วยกันทั้งนั้น
ไม่มีใครอยากให้เกิด ไม่มีใครอยากสูญเสีย ไม่มีใครอยากให้เป็นเช่นนี้
เพียงแต่ว่า ไม่มีใครสามารถไปห้ามปรามธรรมชาติที่กำลังแปรปรวนเหล่านี้ได้ และยิ่งนับวัน สิ่งที่ไม่เคยคาดหมายก็ปรากฏให้เห็นมากขึ้นทุกขณะในความรุนแรงของธรรมชาติทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งมิใช่เพียงแค่ประเทศใด ประเทศหนึ่งเท่านั้น
แต่ได้เกิดความแปรปรวนอย่างมากมายไปทั่วโลก ซึ่งก็กำลังเผชิญกับภัยทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
วันนี้ เราควรต้องตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลง และทวีความรุนแรงของธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้น มากขึ้น อย่างต่อเนื่อง
เพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ
แต่มิได้มุ่งหมายให้ตื่นกลัวในพิบัติภัยทั้งหลายเหล่านั้น
หากพิบัติภัยไม่เกิด... นั่นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่ทุกคนต้องการ
แต่ความประมาทที่คิดว่า...คงไม่เกิดอะไร? จะทำให้เมื่อเผชิญกับหายนะภัย จะตั้งสติไม่ได้และจะเกิดความทุกข์อย่างมากมายนั่นเอง
จึงควรเรียนรู้ และเข้าใจธรรมชาติตามความเป็นจริง รู้ที่มาที่ไป ว่าเหตุใดธรรมชาติจึงแปรปรวน
และใช้ธรรมะ...เป็นธรรมโอสถ เพื่อที่จะหล่อเลี้ยง และเยียวยาจิตใจ ยามเผชิญกับทุกข์ใด ๆ ก็ตาม
เพราะจะทำให้มีสติ และเกิดปัญญา และเผชิญหน้ากับทุกปัญหา ในทุกวิกฤตการณ์ด้วยความเข้าใจ
การเป็นผู้ให้...ก็จะทำได้อย่างเต็มกำลัง
เมื่อนั้นท่านก็จะคิดว่า
เราจะช่วยอะไร...ใครได้บ้าง
แทนที่จะเป็นผู้รอคอยว่า
ใครจะช่วยอะไร...เราได้บ้าง
ในเมื่อความทุำกข์เกิดจากการยึดมั่นถือมั่น เห็นว่านั่นเป็นเรา นั่นเป็นของเรา เมื่อเกิดความสูญเสียสิ่งที่เป็นของของเรา ก็ย่อมมีความทุกข์เป็นธรรมดา
เพราะไปฝากใจไว้กับร่างกาย และทรัพย์สิน เมื่อมีการสูญเสีย มีการแปรปรวนไป จึงต้องเกิดความทุกข์มากมายนั่นเอง
คงต้องหันกลับมาถามตัวเองในวันนี้ว่า..... เราควรฝากทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับอะไรดี?
จึงจะปลอดภัย และไม่ทำให้เกิดความทุกข์ เมื่อต้องเผชิญกับความสูญเสียเหล่านั้น
ไม่มีใครอยากให้เกิด ไม่มีใครอยากสูญเสีย ไม่มีใครอยากให้เป็นเช่นนี้
เพียงแต่ว่า ไม่มีใครสามารถไปห้ามปรามธรรมชาติที่กำลังแปรปรวนเหล่านี้ได้ และยิ่งนับวัน สิ่งที่ไม่เคยคาดหมายก็ปรากฏให้เห็นมากขึ้นทุกขณะในความรุนแรงของธรรมชาติทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งมิใช่เพียงแค่ประเทศใด ประเทศหนึ่งเท่านั้น
แต่ได้เกิดความแปรปรวนอย่างมากมายไปทั่วโลก ซึ่งก็กำลังเผชิญกับภัยทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
วันนี้ เราควรต้องตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลง และทวีความรุนแรงของธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้น มากขึ้น อย่างต่อเนื่อง
เพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ
แต่มิได้มุ่งหมายให้ตื่นกลัวในพิบัติภัยทั้งหลายเหล่านั้น
หากพิบัติภัยไม่เกิด... นั่นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่ทุกคนต้องการ
แต่ความประมาทที่คิดว่า...คงไม่เกิดอะไร? จะทำให้เมื่อเผชิญกับหายนะภัย จะตั้งสติไม่ได้และจะเกิดความทุกข์อย่างมากมายนั่นเอง
จึงควรเรียนรู้ และเข้าใจธรรมชาติตามความเป็นจริง รู้ที่มาที่ไป ว่าเหตุใดธรรมชาติจึงแปรปรวน
และใช้ธรรมะ...เป็นธรรมโอสถ เพื่อที่จะหล่อเลี้ยง และเยียวยาจิตใจ ยามเผชิญกับทุกข์ใด ๆ ก็ตาม
เพราะจะทำให้มีสติ และเกิดปัญญา และเผชิญหน้ากับทุกปัญหา ในทุกวิกฤตการณ์ด้วยความเข้าใจ
การเป็นผู้ให้...ก็จะทำได้อย่างเต็มกำลัง
เมื่อนั้นท่านก็จะคิดว่า
เราจะช่วยอะไร...ใครได้บ้าง
แทนที่จะเป็นผู้รอคอยว่า
ใครจะช่วยอะไร...เราได้บ้าง
ในเมื่อความทุำกข์เกิดจากการยึดมั่นถือมั่น เห็นว่านั่นเป็นเรา นั่นเป็นของเรา เมื่อเกิดความสูญเสียสิ่งที่เป็นของของเรา ก็ย่อมมีความทุกข์เป็นธรรมดา
เพราะไปฝากใจไว้กับร่างกาย และทรัพย์สิน เมื่อมีการสูญเสีย มีการแปรปรวนไป จึงต้องเกิดความทุกข์มากมายนั่นเอง
คงต้องหันกลับมาถามตัวเองในวันนี้ว่า..... เราควรฝากทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับอะไรดี?
จึงจะปลอดภัย และไม่ทำให้เกิดความทุกข์ เมื่อต้องเผชิญกับความสูญเสียเหล่านั้น
........................