อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว
ความจริงแล้ว ในธรรมชาติ ก็มีพลังงานอยู่มากมาย ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ คนที่ฝึกในขั้นที่สามารถเชื่อมต่อกับธรรมชาติได้ ก็สามารถนำเอาพลังต่าง ๆ เหล่านั้นมาใช้ได้ มารักษาโรค มาปรับคลื่นไฟฟ้าในร่างกายให้สมดุลย์ หรือมาทำอะไรอื่น ๆ ได้อีกมากมาย ดังนั้น ถ้าจะเรียกว่ามนุษย์ต่างดาวเขามาให้ “พลัง” เราจะไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจ เพราะเคยรับรู้ รับทราบมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะคนที่ฝึกพลัง มีพลังรักษาบำบัด ยิ่งมีพลังสามารถทำให้วัตถุเคลื่อนไหวได้ หรือทำอะไรที่เกินปกติ เราจะมองว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สามารถฝึกจนมีพลังได้ขนาดนี้ ดังนั้น ยูริ กิลเลอร์ นักพลังจิตที่มีชื่อเสียง ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ดี
ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า “ได้รับพลังจากมนุษย์ต่างดาว” มนุษย์ก็จะไม่แปลกใจ แต่ถ้าบอกว่าเป็น อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว อันนี้ไม่น่าฟังเท่าใดนัก ซึ่งความจริงจะบอกว่าเป็น “พลัง” ก็ทำได้ แต่จุดมุ่งหมายของมนุษย์ต่างดาว มีมากกว่านั้น...
จริง ๆ แล้วพลังทุกอย่างมีอยู่ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน หรือไม่ว่าจะเป็นการฝึกจิต การเห็นทะลุวัตถุ การรู้ล่วงหน้า การเหาะเหินเดินอากาศ การหายตัว ทุกอย่างมีอยู่ในธรรมชาติ แต่ทุกอย่างต้องใช้จิตเป็นตัวคอนโทรล เป็นตัวสั่งให้ทำ ดังนั้นจึงต้องมีการฝึกจิตหลายรูปแบบ ฝึกแบบเพ่งให้ทำอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างโยคีก็ได้ หรือฝึกให้จิตปล่อยวาง มีความสงบ มีความเบา จนเข้ากับธรรมชาติชนิดนั้น อย่างการปฏิบัติของพุทธศาสนาก็ได้
ดังนั้น ไม่ว่าพรามณ์ ไม่ว่า โยคี ก็มีฤทธิ์ได้เช่นกัน เพราะการฝึกให้จิตทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น แต่ว่า สิ่งที่เพิ่มมาด้วย ก็คือความมีตัวตนของผู้ฝึก ที่ยึดถือว่าเราเป็นผู้ทำได้นั่นเอง
สิ่งที่เราเรียกว่า อิทธิปาฏิหารย์นั้น ก็เป็นของมีอยู่แล้วในธรรมชาติ แต่ผู้ไม่เคยรับรู้ก็คิดว่าแปลก เป็นปาฏิหารย์ เป็นผู้วิเศษ แล้วก็บูชาผิดทางกันไปก็มี
มนุษย์ต่างดาว ก็เข้าใจความรู้สึกของมนุษย์โลกดี ดังนั้น หลายจุด หลายสถานที่ จึงรู้จักอุปกรณ์เหล่านี้ในรูปแบบของพลัง จะพลังอะไรก็แล้วแต่ แต่คุณสามารถเอามาใช้รักษา เอามาใช้บำบัดอาการเจ็บป่วย ได้ คนที่รับพลังนั้นมาก็ไม่หวาดกลัว คนที่มารักษาก็ไม่หวาดกลัว เพราะรักษาได้จริงไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม
แต่ทำไม มนุษย์ต่างดาวให้เราเรียกว่าสิ่งที่จะติดตั้งให้กับมนุษย์ ว่าเป็น “อุปกรณ์” ล่ะ
ซึ่งจริง ๆ แล้ว มันเป็นอุปกรณ์ เป็นเทคโนโลยี ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อให้ผู้อยู่ในโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติ นำไปใช้ประโยชน์ในเหตุการณ์เฉพาะกิจครั้งนี้ ซึ่งมันไม่ใช่อุปกรณ์ที่เป็นมวลสาร หรือเราคิดว่าเป็นเหล็ก เป็นแร่ธาตุมาฝังไว้ในตัวเรา มันไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจ มันเป็นกลุ่มพลังงานที่สามารถใช้แทนวัตถุได้
คุณจะมองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ เหมือนบุคคลที่ฝึกพลังจากธรรมชาติมามาก ๆ แต่คนธรรมดาก็มองไม่ออก นอกจากพวกที่ฝึกพลังด้วยกันเท่านั้นที่มองออก
ดังนั้น สิ่งที่เป็นอุปกรณ์นี้ ก็เป็นในรูปแบบของพลังงานอย่างหนึ่ง ที่นำมาใช้ประโยชน์ได้จริง มีประสิทธิภาพสูง และผู้ที่ใช้อุปกรณ์ก็ไม่เหนื่อย จึงเป็นรูปแบบที่มนุษย์ต่างดาวมองเห็นแล้วว่า เหมาะสมที่สุดกับมนุษย์โลกในยุคนี้
ความจริงแล้ว ในธรรมชาติ ก็มีพลังงานอยู่มากมาย ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ คนที่ฝึกในขั้นที่สามารถเชื่อมต่อกับธรรมชาติได้ ก็สามารถนำเอาพลังต่าง ๆ เหล่านั้นมาใช้ได้ มารักษาโรค มาปรับคลื่นไฟฟ้าในร่างกายให้สมดุลย์ หรือมาทำอะไรอื่น ๆ ได้อีกมากมาย ดังนั้น ถ้าจะเรียกว่ามนุษย์ต่างดาวเขามาให้ “พลัง” เราจะไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจ เพราะเคยรับรู้ รับทราบมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะคนที่ฝึกพลัง มีพลังรักษาบำบัด ยิ่งมีพลังสามารถทำให้วัตถุเคลื่อนไหวได้ หรือทำอะไรที่เกินปกติ เราจะมองว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สามารถฝึกจนมีพลังได้ขนาดนี้ ดังนั้น ยูริ กิลเลอร์ นักพลังจิตที่มีชื่อเสียง ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ดี
ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า “ได้รับพลังจากมนุษย์ต่างดาว” มนุษย์ก็จะไม่แปลกใจ แต่ถ้าบอกว่าเป็น อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว อันนี้ไม่น่าฟังเท่าใดนัก ซึ่งความจริงจะบอกว่าเป็น “พลัง” ก็ทำได้ แต่จุดมุ่งหมายของมนุษย์ต่างดาว มีมากกว่านั้น...
จริง ๆ แล้วพลังทุกอย่างมีอยู่ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน หรือไม่ว่าจะเป็นการฝึกจิต การเห็นทะลุวัตถุ การรู้ล่วงหน้า การเหาะเหินเดินอากาศ การหายตัว ทุกอย่างมีอยู่ในธรรมชาติ แต่ทุกอย่างต้องใช้จิตเป็นตัวคอนโทรล เป็นตัวสั่งให้ทำ ดังนั้นจึงต้องมีการฝึกจิตหลายรูปแบบ ฝึกแบบเพ่งให้ทำอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างโยคีก็ได้ หรือฝึกให้จิตปล่อยวาง มีความสงบ มีความเบา จนเข้ากับธรรมชาติชนิดนั้น อย่างการปฏิบัติของพุทธศาสนาก็ได้
ดังนั้น ไม่ว่าพรามณ์ ไม่ว่า โยคี ก็มีฤทธิ์ได้เช่นกัน เพราะการฝึกให้จิตทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น แต่ว่า สิ่งที่เพิ่มมาด้วย ก็คือความมีตัวตนของผู้ฝึก ที่ยึดถือว่าเราเป็นผู้ทำได้นั่นเอง
สิ่งที่เราเรียกว่า อิทธิปาฏิหารย์นั้น ก็เป็นของมีอยู่แล้วในธรรมชาติ แต่ผู้ไม่เคยรับรู้ก็คิดว่าแปลก เป็นปาฏิหารย์ เป็นผู้วิเศษ แล้วก็บูชาผิดทางกันไปก็มี
มนุษย์ต่างดาว ก็เข้าใจความรู้สึกของมนุษย์โลกดี ดังนั้น หลายจุด หลายสถานที่ จึงรู้จักอุปกรณ์เหล่านี้ในรูปแบบของพลัง จะพลังอะไรก็แล้วแต่ แต่คุณสามารถเอามาใช้รักษา เอามาใช้บำบัดอาการเจ็บป่วย ได้ คนที่รับพลังนั้นมาก็ไม่หวาดกลัว คนที่มารักษาก็ไม่หวาดกลัว เพราะรักษาได้จริงไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม
แต่ทำไม มนุษย์ต่างดาวให้เราเรียกว่าสิ่งที่จะติดตั้งให้กับมนุษย์ ว่าเป็น “อุปกรณ์” ล่ะ
ซึ่งจริง ๆ แล้ว มันเป็นอุปกรณ์ เป็นเทคโนโลยี ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อให้ผู้อยู่ในโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติ นำไปใช้ประโยชน์ในเหตุการณ์เฉพาะกิจครั้งนี้ ซึ่งมันไม่ใช่อุปกรณ์ที่เป็นมวลสาร หรือเราคิดว่าเป็นเหล็ก เป็นแร่ธาตุมาฝังไว้ในตัวเรา มันไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจ มันเป็นกลุ่มพลังงานที่สามารถใช้แทนวัตถุได้
คุณจะมองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ เหมือนบุคคลที่ฝึกพลังจากธรรมชาติมามาก ๆ แต่คนธรรมดาก็มองไม่ออก นอกจากพวกที่ฝึกพลังด้วยกันเท่านั้นที่มองออก
ดังนั้น สิ่งที่เป็นอุปกรณ์นี้ ก็เป็นในรูปแบบของพลังงานอย่างหนึ่ง ที่นำมาใช้ประโยชน์ได้จริง มีประสิทธิภาพสูง และผู้ที่ใช้อุปกรณ์ก็ไม่เหนื่อย จึงเป็นรูปแบบที่มนุษย์ต่างดาวมองเห็นแล้วว่า เหมาะสมที่สุดกับมนุษย์โลกในยุคนี้
......................................
อุปกรณ์ที่มนุษย์ต่างดาวนำมาใช้ประกอบการสอน
ที่ผู้ฝึกได้เคยเห็น ได้มีประสบการณ์มาแล้ว หลายรูปแบบ ดังจะยกบางตัวอย่างให้ทราบ
จะขอยกตัวอย่างอุปกรณ์ ที่เกิดขึ้นจริงกับบุคคล 2 ท่าน ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน และเหตุการณ์นี้ ก็เกิดมาก่อนที่ท่านทั้งสองจะมาเจอเขากะลา
ท่านแรก เป็นทหารอากาศ เราได้รับทราบเรื่องราวนี้จากคุณอนุ ที่ท่านได้ไปเขากะลาหลายครั้ง และบันทึกภาพมนุษย์ต่างดาวลงเดินที่เขากะลา ท่านบอกว่า ได้เดินทางไปเขาใหญ่กับเพื่อน ๆ ที่เป็นทหารอากาศ และตอนกลางคืนได้นอนดูดาวกันเพราะดาวสวยมาก และตอนนั้น ได้มีดาววิ่ง ไป – มา หลายลำ และบางลำสวนกัน บางลำซิกแซก และบางลำก็ตีโค้ง ซึ่งเพื่อน ๆ ของท่านก็แปลกใจ เพราะไม่ใช่เครื่องบิน ไม่ใช่ดาวเทียม แล้วคืออะไร ?
คุณอนุ ก็ได้เล่าเรื่องมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลาให้ฟัง ท่านนั้นสนใจมาก และบอกว่า ผมเคยเห็นมนุษย์ต่างดาวครั้งหนึ่ง ตอนแรกผมคิดว่าผมฝันไป แต่มาตอนเช้าก็ปรากฏว่าผมคงไม่ได้ฝันไป ท่านเล่าว่า
คือมีอยู่วันหนึ่ง ท่านอยู่คนเดียวและไม่สบายมาก ก็นอนอยู่ในห้อง และหลับไป ก็เห็นมนุษย์ต่างดาวคนหนึ่ง มาอยู่ที่เตียงผม เอาอะไรบางอย่างเป็นชิ้นเล็ก ๆ จะมาให้ผมกิน ผมคาดว่าน่าจะเป็นยาอะไรสักอย่าง เพราะผมป่วยมาก แต่ผมก็ดิ้นรนไม่ยอมกิน เอามือฟาดไปที่ยาที่กำลังจะเข้าปากปัดจนกระเด็นไป และมือก็ไปโดนปากกระแทกกับฟันจนเลือดออก แต่เขาก็หยิบออกมาอีก คราวนี้ ผมขยับตัว ขยับแขน ขา ไม่ได้เลย เขาเอายานั้นใส่ปากผมจนได้
พอตื่นเช้าขึ้นมา อาการไข้ที่เป็นมาหลายวันก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่มีอาการอ่อนเพลียให้เห็นอีกเลย เหมือนไม่เคยป่วยมาก่อน ตอนแรกคิดว่าฝันไป แต่รู้สึกเจ็บที่ปาก พอไปดูกระจก ก็เห็นปากบวมเจ่อออกมา บริเวณที่ใช้มือปัดไปโดนเมื่อคืนนี้ จึงคิดว่าเขาคงเข้ามาจริง และคงได้รับยานั้นจริง อาการไข้จึงหายไป ท่านนี้ จึงสนใจเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลามาก และยังเคยโทรมาหาพี่สุดใจถามทางไปเขากะลาด้วย
และสำหรับคุณอนุ ที่ท่านเป็นผู้เล่าเรื่องนี้ให้เราฟังนั้น ตัวท่านเอง ก็เป็นโรคหัวใจ ทำบายพาสหัวใจไปแล้ว ดังนั้น ถ้าท่านอยู่กรุงเทพฯ ทำอะไรไม่ได้เลยจะเหนื่อย กินยาแล้วต้องนอนแต่หัวค่ำ แต่ถ้ามาเขากะลา ท่านจะอยู่ถ่ายภาพทั้งคืน ไม่ได้นอนจนเช้า ท่านบอกว่า บนเขาเหมือนมีพลังงานบางอย่างทำให้ท่านสดชื่น เดินขึ้น – เดินลง บนเขากะลาทั้งสองชั้นได้โดยไม่เหนื่อย และไม่มีอาการของโรคหัวใจให้เห็นเลย
อีกท่านหนึ่ง ทำงานบริษัทที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ท่านนี้ต้องเดินทางไปประชุมต่างประเทศบ่อย ๆ และเป็นคนที่ไม่ค่อยถูกกับอากาศหนาว ดังนั้นไปต่างประเทศทีไร ต้องหอบเสื้อผ้ากันหนาวจำนวนมากติดตัวไปด้วย จนเป็นที่รู้กันของบริษัท
ครั้งนั้น เดินทางไปประชุมที่ประเทศฝรั่งเศส ช่วงนั้นหิมะตกหนาวมาก เดินทางไปถึงล่วงหน้า 1 วัน
คืนนั้น ก็เข้านอนตามปกติ พอตอนกลางคืนรู้สึกว่ามีร่างของมนุษย์ต่างดาวมาที่ริมเตียง และให้กินอะไรบางอย่างเป็นรูปสามเหลี่ยมเล็ก ๆ เขาเอาใส่ไปในปาก และก็กลืนลงไป
แต่พอตื่นมาตอนเช้า แต่งตัวจะออกไปประชุม มีความรู้สึกว่า อากาศร้อน เอาเสื้อโค๊ทที่เตรียมมาเพื่อใส่ไปประชุม ก็ใส่ไม่ได้เพราะมันร้อน จึงแต่งตัวใส่เสื้อแขนสั้น และกางเกง โดยเอาเสื้อโค๊ทพาดแขนไว้ เมื่อลงมาถึงข้างล่าง คนมองกันใหญ่ หัวหน้าที่ไปด้วยกันบอกว่า ทำไมไม่ใส่เสื้อหนาวจะตาย ท่านนี้ ก็บอกว่าผมร้อน ไม่หนาวเลย จากนั้นก็เดินออกมาจากอาคารนั้น เดินผ่านหิมะออกไปที่ประชุมอีกอาคารหนึ่ง ซึ่งท่านนั้น ก็ถือเสื้อโค๊ทพาดแขนไว้ตามเดิม ชาวต่างชาติที่เดินสวนทางมาหลายคน ก็มองด้วยความสงสัย
วันนั้น ท่านได้ดูรายการ V.I.P. ที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ไปให้สัมภาษณ์เรื่องการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ร่วมกับ ดร.เทพนม เมืองแมน เมื่อปลายปี 2547 ท่านก็สนใจทันที ได้ขอเบอร์โทรศัพท์จากทางรายการ แล้วโทรมาหา ซึ่งอีกไม่นานจากนั้น ก็ได้เดินทางมาเขากะลา
ท่านได้เห็นจานบินบนเขากะลาหลายครั้ง จนท่านเชื่อแน่ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะท่านเป็นคนปฏิบัติธรรม และทำสมาธิมานานแล้ว และสามารถสัมผัสกับคลื่นพลังงานต่าง ๆได้ ท่านได้มาบูรณะเขากะลาพร้อมกับคณะฯ โดยทาสีองค์พระใหม่ ทำบันไดทางขึ้นเขา และปูกระเบื้องศาลา และลานต่างดาวใหม่ เมื่อปี ต้นปี 2548 และเป็นบุคคลที่ถ่ายภาพ ดวงปริศนา บนเขากะลา เมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2548 ที่เคยนำมาให้ชมไปแล้ว
ทั้งสามท่าน ทั้งสามเหตุการณ์ เป็นเรื่องที่มนุษย์ต่างดาวได้มากระทำการบางอย่าง เพื่อให้มนุษย์โลกได้เข้าใจว่า เมื่อมีเหตุการณ์วิกฤต เขาก็ต้องให้ความช่วยเหลือในแต่ละเหตุการณ์แตกต่างกัน
แต่มนุษย์ต่างดาว จะไม่แทรกแซงในเรื่องของมนุษย์โดยทั่ว ๆ ไป เพราะมนุษย์จะมีวิบากของแต่ละบุคคลอยู่แล้ว แต่จะกระทำเฉพาะผู้ที่ทำงานร่วมในโครงการเดียวกันเท่านั้น
จะขอยกตัวอย่างอุปกรณ์ ที่เกิดขึ้นจริงกับบุคคล 2 ท่าน ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน และเหตุการณ์นี้ ก็เกิดมาก่อนที่ท่านทั้งสองจะมาเจอเขากะลา
ท่านแรก เป็นทหารอากาศ เราได้รับทราบเรื่องราวนี้จากคุณอนุ ที่ท่านได้ไปเขากะลาหลายครั้ง และบันทึกภาพมนุษย์ต่างดาวลงเดินที่เขากะลา ท่านบอกว่า ได้เดินทางไปเขาใหญ่กับเพื่อน ๆ ที่เป็นทหารอากาศ และตอนกลางคืนได้นอนดูดาวกันเพราะดาวสวยมาก และตอนนั้น ได้มีดาววิ่ง ไป – มา หลายลำ และบางลำสวนกัน บางลำซิกแซก และบางลำก็ตีโค้ง ซึ่งเพื่อน ๆ ของท่านก็แปลกใจ เพราะไม่ใช่เครื่องบิน ไม่ใช่ดาวเทียม แล้วคืออะไร ?
คุณอนุ ก็ได้เล่าเรื่องมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลาให้ฟัง ท่านนั้นสนใจมาก และบอกว่า ผมเคยเห็นมนุษย์ต่างดาวครั้งหนึ่ง ตอนแรกผมคิดว่าผมฝันไป แต่มาตอนเช้าก็ปรากฏว่าผมคงไม่ได้ฝันไป ท่านเล่าว่า
คือมีอยู่วันหนึ่ง ท่านอยู่คนเดียวและไม่สบายมาก ก็นอนอยู่ในห้อง และหลับไป ก็เห็นมนุษย์ต่างดาวคนหนึ่ง มาอยู่ที่เตียงผม เอาอะไรบางอย่างเป็นชิ้นเล็ก ๆ จะมาให้ผมกิน ผมคาดว่าน่าจะเป็นยาอะไรสักอย่าง เพราะผมป่วยมาก แต่ผมก็ดิ้นรนไม่ยอมกิน เอามือฟาดไปที่ยาที่กำลังจะเข้าปากปัดจนกระเด็นไป และมือก็ไปโดนปากกระแทกกับฟันจนเลือดออก แต่เขาก็หยิบออกมาอีก คราวนี้ ผมขยับตัว ขยับแขน ขา ไม่ได้เลย เขาเอายานั้นใส่ปากผมจนได้
พอตื่นเช้าขึ้นมา อาการไข้ที่เป็นมาหลายวันก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่มีอาการอ่อนเพลียให้เห็นอีกเลย เหมือนไม่เคยป่วยมาก่อน ตอนแรกคิดว่าฝันไป แต่รู้สึกเจ็บที่ปาก พอไปดูกระจก ก็เห็นปากบวมเจ่อออกมา บริเวณที่ใช้มือปัดไปโดนเมื่อคืนนี้ จึงคิดว่าเขาคงเข้ามาจริง และคงได้รับยานั้นจริง อาการไข้จึงหายไป ท่านนี้ จึงสนใจเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลามาก และยังเคยโทรมาหาพี่สุดใจถามทางไปเขากะลาด้วย
และสำหรับคุณอนุ ที่ท่านเป็นผู้เล่าเรื่องนี้ให้เราฟังนั้น ตัวท่านเอง ก็เป็นโรคหัวใจ ทำบายพาสหัวใจไปแล้ว ดังนั้น ถ้าท่านอยู่กรุงเทพฯ ทำอะไรไม่ได้เลยจะเหนื่อย กินยาแล้วต้องนอนแต่หัวค่ำ แต่ถ้ามาเขากะลา ท่านจะอยู่ถ่ายภาพทั้งคืน ไม่ได้นอนจนเช้า ท่านบอกว่า บนเขาเหมือนมีพลังงานบางอย่างทำให้ท่านสดชื่น เดินขึ้น – เดินลง บนเขากะลาทั้งสองชั้นได้โดยไม่เหนื่อย และไม่มีอาการของโรคหัวใจให้เห็นเลย
อีกท่านหนึ่ง ทำงานบริษัทที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ท่านนี้ต้องเดินทางไปประชุมต่างประเทศบ่อย ๆ และเป็นคนที่ไม่ค่อยถูกกับอากาศหนาว ดังนั้นไปต่างประเทศทีไร ต้องหอบเสื้อผ้ากันหนาวจำนวนมากติดตัวไปด้วย จนเป็นที่รู้กันของบริษัท
ครั้งนั้น เดินทางไปประชุมที่ประเทศฝรั่งเศส ช่วงนั้นหิมะตกหนาวมาก เดินทางไปถึงล่วงหน้า 1 วัน
คืนนั้น ก็เข้านอนตามปกติ พอตอนกลางคืนรู้สึกว่ามีร่างของมนุษย์ต่างดาวมาที่ริมเตียง และให้กินอะไรบางอย่างเป็นรูปสามเหลี่ยมเล็ก ๆ เขาเอาใส่ไปในปาก และก็กลืนลงไป
แต่พอตื่นมาตอนเช้า แต่งตัวจะออกไปประชุม มีความรู้สึกว่า อากาศร้อน เอาเสื้อโค๊ทที่เตรียมมาเพื่อใส่ไปประชุม ก็ใส่ไม่ได้เพราะมันร้อน จึงแต่งตัวใส่เสื้อแขนสั้น และกางเกง โดยเอาเสื้อโค๊ทพาดแขนไว้ เมื่อลงมาถึงข้างล่าง คนมองกันใหญ่ หัวหน้าที่ไปด้วยกันบอกว่า ทำไมไม่ใส่เสื้อหนาวจะตาย ท่านนี้ ก็บอกว่าผมร้อน ไม่หนาวเลย จากนั้นก็เดินออกมาจากอาคารนั้น เดินผ่านหิมะออกไปที่ประชุมอีกอาคารหนึ่ง ซึ่งท่านนั้น ก็ถือเสื้อโค๊ทพาดแขนไว้ตามเดิม ชาวต่างชาติที่เดินสวนทางมาหลายคน ก็มองด้วยความสงสัย
วันนั้น ท่านได้ดูรายการ V.I.P. ที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ไปให้สัมภาษณ์เรื่องการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ร่วมกับ ดร.เทพนม เมืองแมน เมื่อปลายปี 2547 ท่านก็สนใจทันที ได้ขอเบอร์โทรศัพท์จากทางรายการ แล้วโทรมาหา ซึ่งอีกไม่นานจากนั้น ก็ได้เดินทางมาเขากะลา
ท่านได้เห็นจานบินบนเขากะลาหลายครั้ง จนท่านเชื่อแน่ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะท่านเป็นคนปฏิบัติธรรม และทำสมาธิมานานแล้ว และสามารถสัมผัสกับคลื่นพลังงานต่าง ๆได้ ท่านได้มาบูรณะเขากะลาพร้อมกับคณะฯ โดยทาสีองค์พระใหม่ ทำบันไดทางขึ้นเขา และปูกระเบื้องศาลา และลานต่างดาวใหม่ เมื่อปี ต้นปี 2548 และเป็นบุคคลที่ถ่ายภาพ ดวงปริศนา บนเขากะลา เมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ 2548 ที่เคยนำมาให้ชมไปแล้ว
ทั้งสามท่าน ทั้งสามเหตุการณ์ เป็นเรื่องที่มนุษย์ต่างดาวได้มากระทำการบางอย่าง เพื่อให้มนุษย์โลกได้เข้าใจว่า เมื่อมีเหตุการณ์วิกฤต เขาก็ต้องให้ความช่วยเหลือในแต่ละเหตุการณ์แตกต่างกัน
แต่มนุษย์ต่างดาว จะไม่แทรกแซงในเรื่องของมนุษย์โดยทั่ว ๆ ไป เพราะมนุษย์จะมีวิบากของแต่ละบุคคลอยู่แล้ว แต่จะกระทำเฉพาะผู้ที่ทำงานร่วมในโครงการเดียวกันเท่านั้น
.........................................
ซึ่งตัวอย่างที่เห็น
พอที่จะเปิดมุมมองให้กว้างขึ้นอีกนิดหนึ่ง
ในเรื่องการเตรียมการเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลก อย่างเช่น
ยารักษาโรค เมื่อเจ็บป่วย ก็ต้องได้รับการรักษา และมนุษย์ต่างดาว เคยบอกไว้ว่า ในเวลาฉุกเฉินข้างหน้า การผ่าตัดก็ไม่ต้องใช้ห้องผ่าตัดแบบโรงพยาบาล จะมีเครื่องมือเป็นเลเซอร์ต่อเชื่อมกระดูกที่หักข้างในได้เลย ไม่ต้องใช้การผ่าแบบมนุษย์ เพราะไม่มีเวลามาทำเช่นนั้น เหตุการณ์ข้างหน้า มนุษย์ต้องพบเจอกันอีกเยอะช่วงภัยพิบัติ แขนหัก ขาหัก หลังหัก ไม่มีเวลาต้องหาโรงพยาบาล จึงต้องใช้มนุษย์ด้วยกันช่วยกัน แต่เครื่องมือผ่าตัดแบบไฮเทค เขาเตรียมไว้ให้
เตรียมความพร้อมของร่างกาย ถ้าเป็นมนุษย์ ก็ย่อมต้องมีความเคยชินกับภูมิประเทศ และอากาศที่คุ้นเคย เหมือนเราอยู่ที่นี่อากาศร้อนคุ้นเคย แต่ถ้าต้องไปประเทศที่อุณหภูมิติดลบ เราจะทนไม่ไหว ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ทำงานในโครงการนี้ ก็มี 2 ส่วน
1. เสื้อผ้า ที่ปรับอุณหภูมิได้ คือเมื่อใส่แล้ว อุณหภูมิภายนอกเท่าไรก็ตาม แต่อุณหภูมิภายในชุดเสื้อผ้า จะคงอยู่เท่าเดิมตามที่โปรแกรมไว้แต่ละความคุ้นเคยของคนคนนั้น
2. อุปกรณ์ปรับอุณหภูมิในร่างกาย จะเป็นหลายรูปแบบ แบบรับประทานเข้าไป หรือแบบทาผิวหนัง ให้แทรกซึมเข้าไปในร่างกาย หรือสร้างม่านบาเรียคลุมผิวกาย ก็จะสามารถทำให้ร่างกายทนต่อสภาพอากาศนั้น ๆ ได้ โดยคงอุณหภูมิในร่างกายให้เป็นปกติ ซึ่งในช่วงฝึก ก็มีการพบเจออุปกรณ์นี้แล้ว 3 คน ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ 2543 ช่วงใกล้จบการฝึก
อุปกรณ์นี้ ได้มีการทดลองใช้กับพี่สุดใจ ในช่วงทำการฝึก”ประมวลพลัง” จากอากาศปกติ อยู่ ๆ ก็หนาวมากขึ้นมาฉับพลัน หนาวเหมือนอยู่ขั้วโลก หนาวสะท้านออกมาจากข้างในตัว ฟันจะกระทบกันกึก ๆ ตลอดเวลา เอาผ้าห่มมาห่มกี่ผืนก็ไม่หาย เป็นอยู่ 2 วัน ไม่ได้นอนเลยเพราะหนาวมาก
ประมาณ 2 วันหลังจากนั้น คุณนวรัตน์ สมาชิกร่วมฝึกอีกท่านหนึ่ง ก็ได้สัมผัสกับอุปกรณ์นี้ ขณะประมวลพลังอยู่ ก็ล้มตัวลงนอน ตัวสั่นเพราะความหนาว ต้องหาผ้าห่มมาทับ สองสามชั้นก็ไม่หาย คางกระทบกันด้วยความหนาว จนหมดชั่วโมง คลื่นความหนาวออกไปแล้ว ก็หายหนาวเป็นปกติ
ถัดมาอีกวัน คุณลดาวัลย์ ขณะประมวลพลัง ก็เจอคลื่นความหนาว แต่จากปลายเท้าขึ้นมาอยู่แค่หัวเข่าเท่านั้น ช่วงอื่นปกติ จึงไปหาผ้าห่มมาสองสามผืน มาคลุมช่วงขาไว้ให้หายหนาว จนหมดชั่วโมงประมวลพลัง ก็หายเป็นปกติ
สิ่งเหล่านี้ ทำให้เปิดมุมมองในความคิดของมนุษย์ให้กว้างขึ้น ถ้าเราต้องไปช่วยคนเมืองหนาว เราจะไปยังไงหนาวตายแน่ ก็เอาคลื่นพลังงานความร้อนเข้าไปปรับอุณหภูมิในร่างกายก่อนเดินทาง ถ้าต้องเข้าไปอยู่ท่ามกลางความร้อนระอุ เช่นภูเขาไฟ หรือลาวา ก็เอาคลื่นความหนาวเข้าไปปรับอุณหภูมิก่อน
ก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องปรับอากาศ หรือแอร์ ในเมืองร้อน เครื่องทำความร้อนหรือฮีทเตอร์ในเมืองหนาวหรอก เพียงแต่เป็นรูปแบบพลังงานความร้อน ความเย็น ที่ปรับได้ในตัวเอง ไม่ต้องพกเครื่องไปด้วยนั่นเอง ฟังแล้วเหมือนนิยาย แต่ก็มีหลักฐาน และพยานบุคคลที่ยืนยันได้จริง ๆ ซึ่งมนุษย์ต่างดาวก็เคยบอกไว้ 3 ข้อความ คือ
“เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย”
“อะไรก็เกิดขึ้นได้”
“อย่าตีกรอบ”
ดังนั้น การฝึกของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) จึงดูเพี้ยน ๆ ในสายตาคนทั่วไป เพราะอุปกรณ์แต่ละอย่างที่ต้องเรียนรู้ ที่ต้องพบเจอ เป็นของใหม่ทั้งสิ้น ยากที่จะอธิบายได้ในตอนนั้น แต่เมื่อมีบุคคลต่าง ๆ พบเจอกับตนเองมาแล้ว เราจึงมีหน้าที่ แจ้งเพื่อให้บุคคลท่านนั้น ได้รับทราบ ถึงอุปกรณ์ และการใช้อุปกรณ์เหล่านั้นในวันข้างหน้า มนุษย์ต่างดาวเคยบอกแล้วว่า เขาไม่ได้มาช่วยแค่ประเทศไทย แต่มาช่วยทั้งโลก แต่ฐานที่ตั้งของการช่วยเหลือ จะอยู่ที่ประเทศไทย
ดังนั้น ถ้าวันหนึ่ง คุณต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือประสานงานกับมนุษย์ที่ยังอยู่ ณ จุดต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น คุณก็จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เหล่านี้ เพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกายของมนุษย์ให้สมดุลย์ และพร้อมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยารักษาโรค เมื่อเจ็บป่วย ก็ต้องได้รับการรักษา และมนุษย์ต่างดาว เคยบอกไว้ว่า ในเวลาฉุกเฉินข้างหน้า การผ่าตัดก็ไม่ต้องใช้ห้องผ่าตัดแบบโรงพยาบาล จะมีเครื่องมือเป็นเลเซอร์ต่อเชื่อมกระดูกที่หักข้างในได้เลย ไม่ต้องใช้การผ่าแบบมนุษย์ เพราะไม่มีเวลามาทำเช่นนั้น เหตุการณ์ข้างหน้า มนุษย์ต้องพบเจอกันอีกเยอะช่วงภัยพิบัติ แขนหัก ขาหัก หลังหัก ไม่มีเวลาต้องหาโรงพยาบาล จึงต้องใช้มนุษย์ด้วยกันช่วยกัน แต่เครื่องมือผ่าตัดแบบไฮเทค เขาเตรียมไว้ให้
เตรียมความพร้อมของร่างกาย ถ้าเป็นมนุษย์ ก็ย่อมต้องมีความเคยชินกับภูมิประเทศ และอากาศที่คุ้นเคย เหมือนเราอยู่ที่นี่อากาศร้อนคุ้นเคย แต่ถ้าต้องไปประเทศที่อุณหภูมิติดลบ เราจะทนไม่ไหว ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ทำงานในโครงการนี้ ก็มี 2 ส่วน
1. เสื้อผ้า ที่ปรับอุณหภูมิได้ คือเมื่อใส่แล้ว อุณหภูมิภายนอกเท่าไรก็ตาม แต่อุณหภูมิภายในชุดเสื้อผ้า จะคงอยู่เท่าเดิมตามที่โปรแกรมไว้แต่ละความคุ้นเคยของคนคนนั้น
2. อุปกรณ์ปรับอุณหภูมิในร่างกาย จะเป็นหลายรูปแบบ แบบรับประทานเข้าไป หรือแบบทาผิวหนัง ให้แทรกซึมเข้าไปในร่างกาย หรือสร้างม่านบาเรียคลุมผิวกาย ก็จะสามารถทำให้ร่างกายทนต่อสภาพอากาศนั้น ๆ ได้ โดยคงอุณหภูมิในร่างกายให้เป็นปกติ ซึ่งในช่วงฝึก ก็มีการพบเจออุปกรณ์นี้แล้ว 3 คน ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ 2543 ช่วงใกล้จบการฝึก
อุปกรณ์นี้ ได้มีการทดลองใช้กับพี่สุดใจ ในช่วงทำการฝึก”ประมวลพลัง” จากอากาศปกติ อยู่ ๆ ก็หนาวมากขึ้นมาฉับพลัน หนาวเหมือนอยู่ขั้วโลก หนาวสะท้านออกมาจากข้างในตัว ฟันจะกระทบกันกึก ๆ ตลอดเวลา เอาผ้าห่มมาห่มกี่ผืนก็ไม่หาย เป็นอยู่ 2 วัน ไม่ได้นอนเลยเพราะหนาวมาก
ประมาณ 2 วันหลังจากนั้น คุณนวรัตน์ สมาชิกร่วมฝึกอีกท่านหนึ่ง ก็ได้สัมผัสกับอุปกรณ์นี้ ขณะประมวลพลังอยู่ ก็ล้มตัวลงนอน ตัวสั่นเพราะความหนาว ต้องหาผ้าห่มมาทับ สองสามชั้นก็ไม่หาย คางกระทบกันด้วยความหนาว จนหมดชั่วโมง คลื่นความหนาวออกไปแล้ว ก็หายหนาวเป็นปกติ
ถัดมาอีกวัน คุณลดาวัลย์ ขณะประมวลพลัง ก็เจอคลื่นความหนาว แต่จากปลายเท้าขึ้นมาอยู่แค่หัวเข่าเท่านั้น ช่วงอื่นปกติ จึงไปหาผ้าห่มมาสองสามผืน มาคลุมช่วงขาไว้ให้หายหนาว จนหมดชั่วโมงประมวลพลัง ก็หายเป็นปกติ
สิ่งเหล่านี้ ทำให้เปิดมุมมองในความคิดของมนุษย์ให้กว้างขึ้น ถ้าเราต้องไปช่วยคนเมืองหนาว เราจะไปยังไงหนาวตายแน่ ก็เอาคลื่นพลังงานความร้อนเข้าไปปรับอุณหภูมิในร่างกายก่อนเดินทาง ถ้าต้องเข้าไปอยู่ท่ามกลางความร้อนระอุ เช่นภูเขาไฟ หรือลาวา ก็เอาคลื่นความหนาวเข้าไปปรับอุณหภูมิก่อน
ก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องปรับอากาศ หรือแอร์ ในเมืองร้อน เครื่องทำความร้อนหรือฮีทเตอร์ในเมืองหนาวหรอก เพียงแต่เป็นรูปแบบพลังงานความร้อน ความเย็น ที่ปรับได้ในตัวเอง ไม่ต้องพกเครื่องไปด้วยนั่นเอง ฟังแล้วเหมือนนิยาย แต่ก็มีหลักฐาน และพยานบุคคลที่ยืนยันได้จริง ๆ ซึ่งมนุษย์ต่างดาวก็เคยบอกไว้ 3 ข้อความ คือ
“เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย”
“อะไรก็เกิดขึ้นได้”
“อย่าตีกรอบ”
ดังนั้น การฝึกของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) จึงดูเพี้ยน ๆ ในสายตาคนทั่วไป เพราะอุปกรณ์แต่ละอย่างที่ต้องเรียนรู้ ที่ต้องพบเจอ เป็นของใหม่ทั้งสิ้น ยากที่จะอธิบายได้ในตอนนั้น แต่เมื่อมีบุคคลต่าง ๆ พบเจอกับตนเองมาแล้ว เราจึงมีหน้าที่ แจ้งเพื่อให้บุคคลท่านนั้น ได้รับทราบ ถึงอุปกรณ์ และการใช้อุปกรณ์เหล่านั้นในวันข้างหน้า มนุษย์ต่างดาวเคยบอกแล้วว่า เขาไม่ได้มาช่วยแค่ประเทศไทย แต่มาช่วยทั้งโลก แต่ฐานที่ตั้งของการช่วยเหลือ จะอยู่ที่ประเทศไทย
ดังนั้น ถ้าวันหนึ่ง คุณต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือประสานงานกับมนุษย์ที่ยังอยู่ ณ จุดต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น คุณก็จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เหล่านี้ เพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกายของมนุษย์ให้สมดุลย์ และพร้อมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
............................
...อุปกรณ์...จากต่างดาว
หลายคนสงสัย และมีคำถามว่า.....
มีเครื่องมือ หรืออุปกรณ์จากต่างดาว จะนำมาช่วย....ปล่อยวาง
หรือมาช่วย...ฝึกสมาธิ ให้มีความเชี่ยวชาญอย่างรวดเร็ว..มีบ้างหรือไม่?
ก็ขอตอบว่า...ไม่มีค่ะ....
การปล่อยวาง การทำสมาธิ ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง
ระบบเป็นเพียงผู้จัดแบบทดสอบให้ แต่ผู้ที่ถูกทดสอบ....ต้องปฏิบัติเอง จะผ่านได้หรือไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับตัวเจ้าของเอง
จะขออธิบายให้ทราบในการทำงานของกลุ่มต่าง ๆ ในภาพรวมนะคะ
พี่สุดใจได้เคยกล่าวในเรื่องของโครงการไปแล้ว ว่ามีการกำหนดตัวบุคคลมาเพื่อทำงานนี้ 5,000 คน ซึ่งเป็นของโครงการเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัตินั้น ซึ่งในแต่ละจุดที่รับผิดชอบโดยมนุษย์ต่างดาวแต่ละกลุ่ม ก็จะมีการฝึกไม่เหมือนกัน มีการสอนไม่เหมือนกัน มีการอธิบายไม่เหมือนกัน ทุกอย่างจะเป็นไปตามพื้นฐานที่คนยังจุดนั้น ๆ พอรับได้
ซึ่งส่วนใหญ่จะทำงานแบบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำงานกับมนุษย์ต่างดาว เช่นพวกต่างชาติ ประเทศอื่น ๆ เขาก็สามารถทำงานได้เพราะมีความอยากที่จะทำเป็นตัวผลักดัน แต่ความอยากที่จะทำนี่แหละ เขาไม่รู้หรอกว่า เป็นการป้อนข้อมูลเข้าไปในความคิดของคน ๆ นั้น อยากทำหนังเรื่องมนุษย์ต่างดาว อยากทำหนังเรื่องภัยพิบัติ อยากเปิดเผยเรื่องจานบิน อยากเขียนหนังสือ ฯลฯ สารพัดเรื่องราวนั้น จะมีสักกี่คนที่เคยคิดว่าตัวเองไม่ได้คิด
ดังนั้น โครงการอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของมนุษย์ต่างดาวที่ฝึกให้กับเรานั้น มีมากมาย ถ้าลองสังเกตให้ดีจะเห็นว่า มีการผ่านข้อมูลมาจากจักรวาลหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นจิตจักรวาล พลังจักรวาล ก็เป็นการผ่านข้อมูลมาในรูปแบบที่อธิบายเรื่องของธรรมชาติทั้งสิ้น ซึ่งกลุ่มต่าง ๆ หรือท่านต่าง ๆ นั้น ก็เป็นการรับข้อมูลจากจุดอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับกลุ่มเรา
ดังนั้น ภารกิจที่แต่ละกลุ่มทำนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่เป้าหมายของกลุ่มนั้น ๆ เป็นหลัก
บางกลุ่มอาจต้องเป็นกลุ่มที่ต้องใช้สมาธิเป็นหลัก จึงมีการฝึกสมาธิ มีการฝึกฌาน จนมีความเชี่ยวชาญในการเข้าออกฌานแล้ว เมื่อเวลาที่เกิดภัยพิบัติ ก็สามารถเชื่อมต่อสมาธิหรือฌานนั้นเข้ากับอุปกรณ์ได้เลย
เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะปฏิบัติเรื่องของสมาธิ เรื่องของฌานเช่นนี้ได้ ก็ต้องมีความชอบอยู่เป็นพื้นฐาน มีจริตที่ถูกกับการฝึกเช่นนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ผู้นั้นก็ต้องทำเอง ต้องฝึกเอง ต้องปฏิบัติเอง ต้องเตรียมพร้อมด้านจิตให้มีความละเอียดเอง เมื่อถึงเวลาของการเกิดภัยพิบัติ หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่ระบบวางไว้เพื่อทำงานนี้ ก็จะมีการนำอุปกรณ์ หรือเทคโนโลยีที่เป็นรูปแบบพลังงานละเอียด มาเชื่อมต่อเข้ากับสมาธิ กับฌานของท่านเอง เพื่อนำมาใช้ในช่วงที่เกิดภัยพิบัติได้
หรือหากไม่ใช่ผู้ที่ทำงานกับระบบ การปฏิบัติสมาธิ เข้าออกฌาน ก็เป็นเรื่องที่มีการปฏิบัติกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ดังนั้น กลุ่มต่าง ๆ ทั่วประเทศ ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นคนที่ระบบวางไว้ทั้งหมด แต่ท่านนั้นก็มีการปฏิบัติสมาธิ เข้าฌานกันเป็นปกติ เพราะเป็นการปฏิบัติธรรมนั่นเอง ซึ่งมีอยู่หลายสถานที่ทั่วประเทศไทยเลยทีเดียว
ดังนั้น ในกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) คือกลุ่มที่พี่สุดใจถูกฝึกมานั้น จะถูกฝึกในเรื่องของการปล่อยวางเป็นหลัก จึงเป็นคนละด้านกับกลุ่มอื่น นั่งสมาธิพอเริ่มจะนิ่งเสียหน่อย ก็ปล่อยคลื่นเข้ามาในความคิด เป็นเสียงเพลงดัง ๆ บ้าง มีแค่เพลงเดียวแต่หมุนกลับไปกลับมาประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง รำคาญก็ต้องดับทุกข์เอาเอง บางทีก็มีหนังฉายหลับตาก็เห็น รำคาญก็ต้องดับทุกข์เอาเอง ดังนั้นการฝึกจึงฝึกให้มีสติไปจับยังจุดใดจุดหนึ่ง เพื่อแยกออกจากความคิดที่รุมเร้านั้น บางทีก็คิดเรื่องเดียววนไปวนมาทั้งวัน
มนุษย์ต่างดาวบอกว่า มันเป็นเทคโนโลยีเพื่อการฝึก เหมือนเราเปิดวิทยุแบบออโตแต่อัดไว้เพลงเดียว มันก็ตีกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น พี่สุดใจเจอมาเยอะเรื่องถูกกวนในความคิด จะให้สงบไม่ได้เลย เพราะในกลุ่มนี้ ต้องไปทำงานที่เกี่ยวกับความวุ่นวาย จะมาฝึกให้สงบนิ่งไม่ได้ ต้องสงบขณะที่เขากำลังวุ่นวาย เลยต้องมีสติให้ทันความคิด เพื่อแยกออกมาจากความคิดนั่นเอง
ดังนั้นทุกวันนี้ แม้พี่สุดใจอยู่กลางตลาดสด แม้พี่สุดใจอยู่ท่ามกลางห้างวุ่น ๆ หรือแม้แต่วุ่นวายอยู่กับภารกิจมากมาย เพราะงานพี่สุดใจต้องเจอคนเยอะแยะ ต้องพูดเยอะ จึงไม่สามารถหาเวลาที่จะไปนั่งสมาธิได้ จึงต้องใช้การแยกออกจากขันธ์ห้า สงบขณะที่ขันธ์ห้ามันวุ่นวาย มันจึงเป็นงานเฉพาะด้าน เฉพาะกิจ จริง ๆ
ค่ะก็คงพอเข้าใจได้บ้างในบางส่วนนะคะ เพราะมนุษย์ต่างดาวได้บอกแล้วว่า ทำงานกับมนุษย์ต่างดาว ไม่ต้องทำอะไร ปฏิบัติในสิ่งที่คุณกำลังปฏิบัติกันอยู่น่ะแหละ ถูกต้องแล้ว
ความจริงแล้ว อุปกรณ์ หรือเครื่องมือ ที่จะทำให้ผู้ฝึกสงบนิ่งนั้น...สามารถทำได้ และพบเจอมาแล้ว
มีครั้งหนึ่ง เคยคิดว่าอยากสงบนิ่งอย่างเขาบ้าง ถ้าได้คงจะดีนะ เพราะคนอื่นเขานั่งสมาธิก็สงบ ปรากฏว่าในการประมวลพลังครั้งนั้น พอแค่นั่งเท่านั้น ก็สงบเงียบดิ่งลึกทันทีเลย ไม่มีแม้เสียงอะไรจะเข้ามารบกวนสักนิด ไม่เคยรู้มาก่อนว่าฌานเป็นยังไง แต่น่าจะเข้าฌานได้เลยมั้งเพราะสงบนิ่งมาก นั่งเพลินไปจนจู่ ๆ ก็มีเสียงเพลงแทรกเข้ามาดังมาก สะดุ้งแล้วลืมตา เหลือบมองนาฬิกา 1 ชั่วโมงเป๊ะเลย อีกชั่วโมงถัดมา(ประมวลพลัง 2 ชั่วโมง) ก็วุ่นวายด้วยคลื่นเช่นเดิม ก็เลยต้องกลับไปจับสติ เพื่อปล่อยวางความคิดอีกแล้ว
หลังจากนั้น ก็มีการเฉลยให้ฟังว่า อยากสงบก็ทำให้ได้ แต่ไม่ใช่เป้าหมายที่กลุ่มเราต้องปฏิบัติ เพราะกลุ่มที่ฝึกนี้ ฝึกให้ต้องรู้เท่าทันในขันธ์ห้า มุ่งเน้นการปล่อยวางตัวตน ให้ออกจากขันธ์ห้า และพัฒนาความสามารถในการเห็นความว่างเป็นหลัก เพื่อที่จะทำงานท่ามกลางความวุ่นวาย และรับข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
ค่ะ อาจจะตอบยาวไปสักนิด แต่ก็น่าจะครอบคลุมในส่วนที่หลายคนสงสัยนะคะ การฝึกในทุกรูปแบบนั้น ระบบจัดแบบทดสอบให้ แต่การปล่อยวางทุกคนต้องดำเนินการด้วยตัวเอง
พี่สุดใจแม้จะถูกประกบด้วยอุปกรณ์และรูปแบบ ก็ยังต้องปล่อยวางเองเลย ระบบก็ช่วยไม่ได้ ต้องทำเองค่ะ.
หลายคนสงสัย และมีคำถามว่า.....
มีเครื่องมือ หรืออุปกรณ์จากต่างดาว จะนำมาช่วย....ปล่อยวาง
หรือมาช่วย...ฝึกสมาธิ ให้มีความเชี่ยวชาญอย่างรวดเร็ว..มีบ้างหรือไม่?
ก็ขอตอบว่า...ไม่มีค่ะ....
การปล่อยวาง การทำสมาธิ ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง
ระบบเป็นเพียงผู้จัดแบบทดสอบให้ แต่ผู้ที่ถูกทดสอบ....ต้องปฏิบัติเอง จะผ่านได้หรือไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับตัวเจ้าของเอง
จะขออธิบายให้ทราบในการทำงานของกลุ่มต่าง ๆ ในภาพรวมนะคะ
พี่สุดใจได้เคยกล่าวในเรื่องของโครงการไปแล้ว ว่ามีการกำหนดตัวบุคคลมาเพื่อทำงานนี้ 5,000 คน ซึ่งเป็นของโครงการเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัตินั้น ซึ่งในแต่ละจุดที่รับผิดชอบโดยมนุษย์ต่างดาวแต่ละกลุ่ม ก็จะมีการฝึกไม่เหมือนกัน มีการสอนไม่เหมือนกัน มีการอธิบายไม่เหมือนกัน ทุกอย่างจะเป็นไปตามพื้นฐานที่คนยังจุดนั้น ๆ พอรับได้
ซึ่งส่วนใหญ่จะทำงานแบบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำงานกับมนุษย์ต่างดาว เช่นพวกต่างชาติ ประเทศอื่น ๆ เขาก็สามารถทำงานได้เพราะมีความอยากที่จะทำเป็นตัวผลักดัน แต่ความอยากที่จะทำนี่แหละ เขาไม่รู้หรอกว่า เป็นการป้อนข้อมูลเข้าไปในความคิดของคน ๆ นั้น อยากทำหนังเรื่องมนุษย์ต่างดาว อยากทำหนังเรื่องภัยพิบัติ อยากเปิดเผยเรื่องจานบิน อยากเขียนหนังสือ ฯลฯ สารพัดเรื่องราวนั้น จะมีสักกี่คนที่เคยคิดว่าตัวเองไม่ได้คิด
ดังนั้น โครงการอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของมนุษย์ต่างดาวที่ฝึกให้กับเรานั้น มีมากมาย ถ้าลองสังเกตให้ดีจะเห็นว่า มีการผ่านข้อมูลมาจากจักรวาลหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นจิตจักรวาล พลังจักรวาล ก็เป็นการผ่านข้อมูลมาในรูปแบบที่อธิบายเรื่องของธรรมชาติทั้งสิ้น ซึ่งกลุ่มต่าง ๆ หรือท่านต่าง ๆ นั้น ก็เป็นการรับข้อมูลจากจุดอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับกลุ่มเรา
ดังนั้น ภารกิจที่แต่ละกลุ่มทำนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่เป้าหมายของกลุ่มนั้น ๆ เป็นหลัก
บางกลุ่มอาจต้องเป็นกลุ่มที่ต้องใช้สมาธิเป็นหลัก จึงมีการฝึกสมาธิ มีการฝึกฌาน จนมีความเชี่ยวชาญในการเข้าออกฌานแล้ว เมื่อเวลาที่เกิดภัยพิบัติ ก็สามารถเชื่อมต่อสมาธิหรือฌานนั้นเข้ากับอุปกรณ์ได้เลย
เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะปฏิบัติเรื่องของสมาธิ เรื่องของฌานเช่นนี้ได้ ก็ต้องมีความชอบอยู่เป็นพื้นฐาน มีจริตที่ถูกกับการฝึกเช่นนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ผู้นั้นก็ต้องทำเอง ต้องฝึกเอง ต้องปฏิบัติเอง ต้องเตรียมพร้อมด้านจิตให้มีความละเอียดเอง เมื่อถึงเวลาของการเกิดภัยพิบัติ หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่ระบบวางไว้เพื่อทำงานนี้ ก็จะมีการนำอุปกรณ์ หรือเทคโนโลยีที่เป็นรูปแบบพลังงานละเอียด มาเชื่อมต่อเข้ากับสมาธิ กับฌานของท่านเอง เพื่อนำมาใช้ในช่วงที่เกิดภัยพิบัติได้
หรือหากไม่ใช่ผู้ที่ทำงานกับระบบ การปฏิบัติสมาธิ เข้าออกฌาน ก็เป็นเรื่องที่มีการปฏิบัติกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ดังนั้น กลุ่มต่าง ๆ ทั่วประเทศ ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นคนที่ระบบวางไว้ทั้งหมด แต่ท่านนั้นก็มีการปฏิบัติสมาธิ เข้าฌานกันเป็นปกติ เพราะเป็นการปฏิบัติธรรมนั่นเอง ซึ่งมีอยู่หลายสถานที่ทั่วประเทศไทยเลยทีเดียว
ดังนั้น ในกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) คือกลุ่มที่พี่สุดใจถูกฝึกมานั้น จะถูกฝึกในเรื่องของการปล่อยวางเป็นหลัก จึงเป็นคนละด้านกับกลุ่มอื่น นั่งสมาธิพอเริ่มจะนิ่งเสียหน่อย ก็ปล่อยคลื่นเข้ามาในความคิด เป็นเสียงเพลงดัง ๆ บ้าง มีแค่เพลงเดียวแต่หมุนกลับไปกลับมาประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง รำคาญก็ต้องดับทุกข์เอาเอง บางทีก็มีหนังฉายหลับตาก็เห็น รำคาญก็ต้องดับทุกข์เอาเอง ดังนั้นการฝึกจึงฝึกให้มีสติไปจับยังจุดใดจุดหนึ่ง เพื่อแยกออกจากความคิดที่รุมเร้านั้น บางทีก็คิดเรื่องเดียววนไปวนมาทั้งวัน
มนุษย์ต่างดาวบอกว่า มันเป็นเทคโนโลยีเพื่อการฝึก เหมือนเราเปิดวิทยุแบบออโตแต่อัดไว้เพลงเดียว มันก็ตีกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น พี่สุดใจเจอมาเยอะเรื่องถูกกวนในความคิด จะให้สงบไม่ได้เลย เพราะในกลุ่มนี้ ต้องไปทำงานที่เกี่ยวกับความวุ่นวาย จะมาฝึกให้สงบนิ่งไม่ได้ ต้องสงบขณะที่เขากำลังวุ่นวาย เลยต้องมีสติให้ทันความคิด เพื่อแยกออกมาจากความคิดนั่นเอง
ดังนั้นทุกวันนี้ แม้พี่สุดใจอยู่กลางตลาดสด แม้พี่สุดใจอยู่ท่ามกลางห้างวุ่น ๆ หรือแม้แต่วุ่นวายอยู่กับภารกิจมากมาย เพราะงานพี่สุดใจต้องเจอคนเยอะแยะ ต้องพูดเยอะ จึงไม่สามารถหาเวลาที่จะไปนั่งสมาธิได้ จึงต้องใช้การแยกออกจากขันธ์ห้า สงบขณะที่ขันธ์ห้ามันวุ่นวาย มันจึงเป็นงานเฉพาะด้าน เฉพาะกิจ จริง ๆ
ค่ะก็คงพอเข้าใจได้บ้างในบางส่วนนะคะ เพราะมนุษย์ต่างดาวได้บอกแล้วว่า ทำงานกับมนุษย์ต่างดาว ไม่ต้องทำอะไร ปฏิบัติในสิ่งที่คุณกำลังปฏิบัติกันอยู่น่ะแหละ ถูกต้องแล้ว
ความจริงแล้ว อุปกรณ์ หรือเครื่องมือ ที่จะทำให้ผู้ฝึกสงบนิ่งนั้น...สามารถทำได้ และพบเจอมาแล้ว
มีครั้งหนึ่ง เคยคิดว่าอยากสงบนิ่งอย่างเขาบ้าง ถ้าได้คงจะดีนะ เพราะคนอื่นเขานั่งสมาธิก็สงบ ปรากฏว่าในการประมวลพลังครั้งนั้น พอแค่นั่งเท่านั้น ก็สงบเงียบดิ่งลึกทันทีเลย ไม่มีแม้เสียงอะไรจะเข้ามารบกวนสักนิด ไม่เคยรู้มาก่อนว่าฌานเป็นยังไง แต่น่าจะเข้าฌานได้เลยมั้งเพราะสงบนิ่งมาก นั่งเพลินไปจนจู่ ๆ ก็มีเสียงเพลงแทรกเข้ามาดังมาก สะดุ้งแล้วลืมตา เหลือบมองนาฬิกา 1 ชั่วโมงเป๊ะเลย อีกชั่วโมงถัดมา(ประมวลพลัง 2 ชั่วโมง) ก็วุ่นวายด้วยคลื่นเช่นเดิม ก็เลยต้องกลับไปจับสติ เพื่อปล่อยวางความคิดอีกแล้ว
หลังจากนั้น ก็มีการเฉลยให้ฟังว่า อยากสงบก็ทำให้ได้ แต่ไม่ใช่เป้าหมายที่กลุ่มเราต้องปฏิบัติ เพราะกลุ่มที่ฝึกนี้ ฝึกให้ต้องรู้เท่าทันในขันธ์ห้า มุ่งเน้นการปล่อยวางตัวตน ให้ออกจากขันธ์ห้า และพัฒนาความสามารถในการเห็นความว่างเป็นหลัก เพื่อที่จะทำงานท่ามกลางความวุ่นวาย และรับข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
ค่ะ อาจจะตอบยาวไปสักนิด แต่ก็น่าจะครอบคลุมในส่วนที่หลายคนสงสัยนะคะ การฝึกในทุกรูปแบบนั้น ระบบจัดแบบทดสอบให้ แต่การปล่อยวางทุกคนต้องดำเนินการด้วยตัวเอง
พี่สุดใจแม้จะถูกประกบด้วยอุปกรณ์และรูปแบบ ก็ยังต้องปล่อยวางเองเลย ระบบก็ช่วยไม่ได้ ต้องทำเองค่ะ.
.....................................
แพทย์แผนอนาคต....ฝึกใช้อุปกรณ์ในวันนี้
... เพื่อที่จะนำมาใช้่...ในอนาคต
...
โครงการข้างหน้า ได้มีการเตรียมอุปกรณ์ เตรียมเครื่องมือ ไว้ให้ใช้ ในอนาคต แต่ที่มีการฝึกซ้อมในวันนี้ ก็เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ส่วนรวมในอนาคต
แม้อุปกรณ์ที่ทำให้เห็นในวันนี้ ก็มิได้หมายความว่า ... ต้องมีการนำมาใช้จริงในวันนี้
แต่จะต้องมีการนำมาใช้จริงในอนาคต
ดังนั้น ในวันนี้ ท่านอาจจะไม่เข้าใจ ไม่เห็นความสำคัญเพียงพอ ก็มิใช่เรื่องแปลกใด ๆ สำหรับระบบ ที่แต่ละบุคคลมีความเข้าใจในแต่ละขั้นตอนไม่เท่ากัน ดังนั้นผู้ที่จะเข้าใจในระบบ และไตร่ตรองในการเตรียมการณ์ของระบบได้ ก็ต้องใช้การพิจารณาอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว
ทุกคนจะมีการรับอุปกรณ์เพื่อทำงานแตกต่างกันไป ตามความเหมาะสมในงานนั้น ๆ
การสัมผัสสิ่งแปลก ๆ การเห็นเหตุการณ์แปลก ๆ การฝันแปลก ๆ และการมีพลังงานแปลก ๆ เข้ามานั้น ก็เป็นการอยู่ในขั้นตอนฝึกซ้อม เพื่อทดลองใช้อุปกรณ์ทั้งสิ้น
ซึ่งระบบได้ยกตัวอย่าง อุปกรณ์ที่ได้มีการนำมาให้เห็นและทดลองใช้ไปแล้วบางอุปกรณ์ อย่างเช่น อุปกรณ์การแพทย์ ของแพทย์แผนอนาคตของระบบ ที่ได้ทดลองใช้เครื่องมือแพทย์แผนอนาคตรักษาผู้ป่วยอยู่ในขณะนี้
ระบบกล่าวไว้ว่า นั่นมิใช่เครื่องมือที่ต้องใช้งานจริงในปัจจุบันนี้ เพราะ
ในปัจจุบันนี้ แพทย์แผนปัจจุบันยังมีอยู่ ถ้าเจ็บป่วย เราไปหาหมอดีกว่า ไปหาแพทย์แผนปัจจุบันดีกว่า ไปโรงพยาบาลดีกว่า ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจแพทย์แผนอนาคต เพราะมีทางเลือกอยู่แล้วในตอนนี้
แต่ถ้าเป็นในอนาคต โรงพยาบาลก็พัง เครื่องมือก็ไม่มี หมอก็เอาตัวไม่รอด แล้วจะให้ใครรักษา จะเอาโรงพยาบาลที่ไหน เอาเครื่องมือที่ไหนกัน
ถึงตอนนั้น ก็คือ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว แพทย์แผนอนาคตก็จะมีประโยชน์ในตอนนั้น
ดังนั้น ระบบจึงเปรียบให้ฟังว่า ไม่ได้มุ่งเน้นให้ใช้วิชาการแพทย์แผนอนาคตในตอนนี้
ในตอนนี้ ก็เท่ากับเป็นการฝึกซ้อมในการใช้อุปกรณ์การแพทย์ให้เชี่ยวชาญเท่านั้น
แล้วจะเชี่ยวชาญได้ ก็ต้องมีผู้ป่วยมารับการรักษาจริง มีการทดสอบทดลองในการใช้อุปกรณ์จริง และผู้ป่วยก็สามารถหายจากอาการป่วยได้จริง
ถือว่าได้ทั้ง ประโยชน์ตนคือผู้รักษาก็ไม่ยึดถือในอุปกรณ์
และประโยชน์ท่านก็คือผู้ป่วยหายเจ็บไข้ พร้อมกันเลยทีเดียว
เปรียบเสมือนช่างตัดผม จะให้มีความเชี่ยวชาญชำนาญได้ ก็ต้องเปิดรับสมัครผู้เป็นหุ่น .. สำหรับให้ช่างตัดผมทำการตัดผม จนเกิดความเชี่ยวชาญก่อนที่จะไปเปิดร้านตัดผม
ก็ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ท่าน
ช่างตัดผมได้ความชำนาญ คนมาเป็นหัวหุ่นให้ช่าง ก็ตัดผมได้ฟรี ไม่ต้องเสียเงินไปตัดผมที่ร้านอื่น
แพทย์แผนอนาคตก็เช่นกัน
ผู้ที่จะได้รับเครื่องมือ และเป็นแพทย์ที่ต้องใช้วิชาแพทย์นี้ในอนาคต ในตอนนี้ก็คือทำการทดลองใช้อุปกรณ์การแพทย์ในอนาคตเพื่อทำการรักษาให้เชี่ยวชาญ โดยมีการทดลองกับผู้ป่วยจริง ที่มาทำการรักษาและหายจากความเจ็บป่วยเหล่านั้น
ก็ได้ประโยชน์ทั้งสอง ท่าน
คือผู้รักษา ก็ได้มีการฝึกซ้อม ทดสอบทดลองใช้เครื่องมือ ใช้อุปกรณ์หลาย ๆ อย่าง เพื่อให้เกิดความชำนาญ มีความเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ผู้ป่วยที่มารับการรักษา ก็ได้หายจากอาการป่วยโดยไม่ต้องเสียเงินในการไปรักษาที่โรงพยาบาล
ก็ถือว่า
ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ท่าน นั่นเอง
ดังนั้น แพทย์แผนอนาคต ก็ต้องมีงานที่จำเป็นรออยู่ในอนาคต วันนี้ จึงเป็นเพียงการทำความคุ้นเคย ทำความรู้จัก ทำการทดสอบทดลองในวิธีการใช้ไปก่อน จะได้ใช้จริงตอนไหน เมื่อไรนั้น อยู่ที่เหตุการณ์จะเป็นผู้ที่พางานมาให้เอง
ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นที่สุดในตอนนี้ก็คือ การปล่อยวาง การปฏิบัติเพื่อที่จะเข้าถึงความว่าง ละวางในอัตตาตัวตน ในอุปาทานขันธ์ห้าอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
เพราะเรื่องนี้จำเป็นที่สุด สามารถทำได้เลยในวันนี้ และเดี๋ยวนี้
... เพื่อที่จะนำมาใช้่...ในอนาคต
...
โครงการข้างหน้า ได้มีการเตรียมอุปกรณ์ เตรียมเครื่องมือ ไว้ให้ใช้ ในอนาคต แต่ที่มีการฝึกซ้อมในวันนี้ ก็เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ส่วนรวมในอนาคต
แม้อุปกรณ์ที่ทำให้เห็นในวันนี้ ก็มิได้หมายความว่า ... ต้องมีการนำมาใช้จริงในวันนี้
แต่จะต้องมีการนำมาใช้จริงในอนาคต
ดังนั้น ในวันนี้ ท่านอาจจะไม่เข้าใจ ไม่เห็นความสำคัญเพียงพอ ก็มิใช่เรื่องแปลกใด ๆ สำหรับระบบ ที่แต่ละบุคคลมีความเข้าใจในแต่ละขั้นตอนไม่เท่ากัน ดังนั้นผู้ที่จะเข้าใจในระบบ และไตร่ตรองในการเตรียมการณ์ของระบบได้ ก็ต้องใช้การพิจารณาอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว
ทุกคนจะมีการรับอุปกรณ์เพื่อทำงานแตกต่างกันไป ตามความเหมาะสมในงานนั้น ๆ
การสัมผัสสิ่งแปลก ๆ การเห็นเหตุการณ์แปลก ๆ การฝันแปลก ๆ และการมีพลังงานแปลก ๆ เข้ามานั้น ก็เป็นการอยู่ในขั้นตอนฝึกซ้อม เพื่อทดลองใช้อุปกรณ์ทั้งสิ้น
ซึ่งระบบได้ยกตัวอย่าง อุปกรณ์ที่ได้มีการนำมาให้เห็นและทดลองใช้ไปแล้วบางอุปกรณ์ อย่างเช่น อุปกรณ์การแพทย์ ของแพทย์แผนอนาคตของระบบ ที่ได้ทดลองใช้เครื่องมือแพทย์แผนอนาคตรักษาผู้ป่วยอยู่ในขณะนี้
ระบบกล่าวไว้ว่า นั่นมิใช่เครื่องมือที่ต้องใช้งานจริงในปัจจุบันนี้ เพราะ
ในปัจจุบันนี้ แพทย์แผนปัจจุบันยังมีอยู่ ถ้าเจ็บป่วย เราไปหาหมอดีกว่า ไปหาแพทย์แผนปัจจุบันดีกว่า ไปโรงพยาบาลดีกว่า ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจแพทย์แผนอนาคต เพราะมีทางเลือกอยู่แล้วในตอนนี้
แต่ถ้าเป็นในอนาคต โรงพยาบาลก็พัง เครื่องมือก็ไม่มี หมอก็เอาตัวไม่รอด แล้วจะให้ใครรักษา จะเอาโรงพยาบาลที่ไหน เอาเครื่องมือที่ไหนกัน
ถึงตอนนั้น ก็คือ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว แพทย์แผนอนาคตก็จะมีประโยชน์ในตอนนั้น
ดังนั้น ระบบจึงเปรียบให้ฟังว่า ไม่ได้มุ่งเน้นให้ใช้วิชาการแพทย์แผนอนาคตในตอนนี้
ในตอนนี้ ก็เท่ากับเป็นการฝึกซ้อมในการใช้อุปกรณ์การแพทย์ให้เชี่ยวชาญเท่านั้น
แล้วจะเชี่ยวชาญได้ ก็ต้องมีผู้ป่วยมารับการรักษาจริง มีการทดสอบทดลองในการใช้อุปกรณ์จริง และผู้ป่วยก็สามารถหายจากอาการป่วยได้จริง
ถือว่าได้ทั้ง ประโยชน์ตนคือผู้รักษาก็ไม่ยึดถือในอุปกรณ์
และประโยชน์ท่านก็คือผู้ป่วยหายเจ็บไข้ พร้อมกันเลยทีเดียว
เปรียบเสมือนช่างตัดผม จะให้มีความเชี่ยวชาญชำนาญได้ ก็ต้องเปิดรับสมัครผู้เป็นหุ่น .. สำหรับให้ช่างตัดผมทำการตัดผม จนเกิดความเชี่ยวชาญก่อนที่จะไปเปิดร้านตัดผม
ก็ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ท่าน
ช่างตัดผมได้ความชำนาญ คนมาเป็นหัวหุ่นให้ช่าง ก็ตัดผมได้ฟรี ไม่ต้องเสียเงินไปตัดผมที่ร้านอื่น
แพทย์แผนอนาคตก็เช่นกัน
ผู้ที่จะได้รับเครื่องมือ และเป็นแพทย์ที่ต้องใช้วิชาแพทย์นี้ในอนาคต ในตอนนี้ก็คือทำการทดลองใช้อุปกรณ์การแพทย์ในอนาคตเพื่อทำการรักษาให้เชี่ยวชาญ โดยมีการทดลองกับผู้ป่วยจริง ที่มาทำการรักษาและหายจากความเจ็บป่วยเหล่านั้น
ก็ได้ประโยชน์ทั้งสอง ท่าน
คือผู้รักษา ก็ได้มีการฝึกซ้อม ทดสอบทดลองใช้เครื่องมือ ใช้อุปกรณ์หลาย ๆ อย่าง เพื่อให้เกิดความชำนาญ มีความเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ผู้ป่วยที่มารับการรักษา ก็ได้หายจากอาการป่วยโดยไม่ต้องเสียเงินในการไปรักษาที่โรงพยาบาล
ก็ถือว่า
ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ท่าน นั่นเอง
ดังนั้น แพทย์แผนอนาคต ก็ต้องมีงานที่จำเป็นรออยู่ในอนาคต วันนี้ จึงเป็นเพียงการทำความคุ้นเคย ทำความรู้จัก ทำการทดสอบทดลองในวิธีการใช้ไปก่อน จะได้ใช้จริงตอนไหน เมื่อไรนั้น อยู่ที่เหตุการณ์จะเป็นผู้ที่พางานมาให้เอง
ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นที่สุดในตอนนี้ก็คือ การปล่อยวาง การปฏิบัติเพื่อที่จะเข้าถึงความว่าง ละวางในอัตตาตัวตน ในอุปาทานขันธ์ห้าอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
เพราะเรื่องนี้จำเป็นที่สุด สามารถทำได้เลยในวันนี้ และเดี๋ยวนี้
...........................
(มีคนถาม) แล้วสามารถสเก็ตภาพมนุษย์ต่างดาวได้อย่างไร?
(อ.วาสนา ตอบ) ก่อนหน้านั้นก็จะมีคุณพ่อ (จ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน) รับคลื่นจากทางโทรจิต คือจริงๆผู้ที่มีสมาธิที่สามารถรับคลื่นจากมนุษย์ต่างดาวได้มีเยอะ บางท่านก็อาจจะทำการติดต่อกัน แต่อาจจะเป็นในรูปแบบที่ท่านไม่ได้เปิดเผย.. ต่อไปข้างหน้าเราก็จะได้เห็นมนุษย์ต่างดาวออกมาช่วยคนเยอะ เพราะว่าถึงเวลาที่เขาต้องช่วย เขาจะมาปรากฏ
การบรรยายโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติจากมนุษย์ต่างดาว...(ตอนที่
2)
26/05/2012
โดย อ.วาสนา ชื่นสำนวน ผู้ขับเคลื่อนระบบและ maintenance ระบบ
โดย อ.วาสนา ชื่นสำนวน ผู้ขับเคลื่อนระบบและ maintenance ระบบ
1.
วันนี้ระบบ หรือมนุษย์ต่างดาว ต้องการให้เรามาแจ้งข่าวสารของเขาในภาพรวม ในขณะนี้ มีการทำงานมาถึงรุ่นที่ 5 แล้ว แสดงว่าจริงๆแล้วการทำงานกับมนุษย์ต่างดาวมีกลไกในการทำงาน เพราะฉะนั้นกลไกการทำงานมันมีอยู่ ซึ่งเป็นกลไกระบบการทำงานของมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา เพราะเราไม่ทราบจริงๆว่าเผ่าพันธุ์อื่น หรือว่าสิ่งที่เขาติดต่อกับต่างประเทศ หรือมนุษย์ต่างดาวที่ติดต่อกับบุคคลอื่นๆอาจจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์นี้ เราคงไม่สามารถทราบได้ แต่สิ่งที่เราดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปัจจุบันก็จะครบ 15 ปี ในปลายปีนี้ ก็จะมีกลไกการทำงานในการทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาว ซึ่งเป็นหลักการที่ใช้ได้ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และก็จะเป็นการทำงานในอนาคต
จากการติดต่อสื่อสาร ประวัติก็คือเริ่มการติดต่อสื่อสารเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2540 โดยการสื่อสารทางโทรจิต เพราะว่าคุณพ่อ ก็คือจ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน เป็นผู้ที่ทำงานแล้วก็ปฏิบัติธรรมตามปกติ ก็มีการนั่งสมาธิในคืนหนึ่งแล้วก็มีผู้ที่ติดต่อสื่อสารมา คือจะเน้นว่าคุณพ่อไม่ได้ตั้งใจติดต่อสื่อสาร แต่คุณพ่อมีสภาวะจิตที่เค้าสามารถจะติดต่อมาได้ ก็สามารถรับการสื่อสารได้ชัดเจนว่า เค้าเป็นมนุษย์มาจากนอกโลก เค้าจะมาติดต่อกับมนุษย์โลก แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 3 ธันวาคม 2540 คุณพ่อก็มาบอกลูกๆ ซึ่งก็คือดิฉันและก็พี่สาวที่อยู่ที่บ้าน บอกว่ามีมนุษย์ต่างดาวเขาบอกมาว่า เขาจะมาติดต่อแล้วก็จะนำจานบินมาให้ดู ก็อย่างที่เคยเล่าไปหลายครั้งว่าเราก็คงเชื่อไม่ได้ มันยังไม่สามารถเชื่อได้ในตอนแรกถึงแม้ว่าจะเป็นคำพูดจากคุณพ่อ เราก็แค่รับฟังไว้ แล้วพอเย็นวันนั้น คุณพ่อก็โทรศัพท์มา เพราะบ้านเรากับบ้านคุณพ่ออยู่คนละหลัง พ่อโทรมาบอกว่าเค้าจะเอาจานบินมาให้ดูที่บ้านที่นครสวรรค์ ให้รอออกมาดู เพราะฉะนั้นในวันนั้น ก็คือวันที่ 3 ธันวาคม 2540 หลังจากที่คุณพ่อบอกในตอนเช้า เย็นวั้นนั้นจานบินก็มาบินวนที่บ้านที่นครสวรรค์ ซึ่งจะเห็นได้ชัด ทุกอย่างจะมีหลักฐานในลักษณะของการสัมภาษณ์ออกรายการ ก็คงจะกล่าวถึงประวัติการสื่อสารคร่าวๆเพียงเท่านี้ เพราะว่าหลังจากนั้น หลังจากที่เราเห็นชัดว่ามีจานบินมาจริงๆ เราก็เลยไปงานวิทยาศาสตร์ทางจิต ครั้งที่ 2 ที่รามคำแหง ในวันนั้นก็มีการปรากฏของ UFO
หลังจากนั้นก็จะมีการนัดหมายจานบินในวันที่ 3 มกราคม 2541 ที่สิงห์บุรี ทั้งหมดนี้ดำเนินการโดยมนุษย์ต่างดาวสื่อสารทางโทรจิตผ่านคุณพ่อ จ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน จนมีการนัดหมายที่สิงห์บุรี และมีภาพจานบินมาปรากฏ ผู้ที่เห็นจานบินที่สิงห์บุรีก็มีการติดตามจ่าสิบเอกเชิดว่า จะทำอย่างไรต่อ มนุษย์ต่างดาวก็สื่อมาว่าเขาจะมาปรากฏที่งานตรุษจีน นครสวรรค์ ในปี 2541 ซึ่งในงานตรุษจีน มีผู้ที่มีพลังจิต (อ.ยุพา ขจรกล่ำ) ได้รับคลื่นให้ทำสมาธิส่งจิตไปหาเค้า แล้วเค้าก็ส่งคลื่นพลังลงมาทำให้อาจารย์ท่านนั้น (อ.ยุพา ขจรกล่ำ) มีอาการคล้ายลักษณะของมนุษย์ต่างดาวปรากฏให้เห็น หลังจากนั้น อาจารย์ท่านก็เห็นมนุษย์ต่างดาวเป็นประจำ คุณพ่อก็ได้ทำการสื่อสาร มนุษย์ต่างดาวก็บอกว่าท่านมาจากดาวพลูโต มาเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติ ก็จะมีสองดวงดาวที่มาช่วยเหลือภัยพิบัติในเรื่องของเขากะลา คือ ดาวแรกที่มาตั้งแต่ที่คุณพ่อสื่อสาร ก็คือดวงดาวจากจักรวาลอื่น ชื่อโลกุกะตาปากะดิกอง เราก็เรียกกันสั้นๆว่าดาวโลกุ อีกดาวหนึ่งก็คือดาวพลูโตซึ่งอยู่ในจักรวาลเดียวกับเรา
เพราะฉะนั้นมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลาที่ทำการสื่อสารอยู่จะมีแค่ 2 ดวงดาวนี้เท่านั้นที่เราจะแจ้งทุกท่านว่ามันมีปรากฏการณ์แบบนี้ในประเทศไทย หลังจากนั้นอาจารย์ยุพาได้มีการพูดคุยกับคุณพ่อ สรุปแล้วก็มีการสื่อสารกันว่าให้หาเนินเขา เพื่อที่เค้าจะได้นำยานมาลงจอด มาบิน หรือว่ามีการสื่อสารกันอย่างเป็นรูปธรรม แล้วสรุปว่าได้เนินเขากะลา ที่ตำบลพระนอน อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เนินเขากะลานั้นที่จริงเป็นบ้านเกิดของคุณพ่อ จ่าสิบเอกเชิด หลังหมู่บ้านนั้นก็จะมีเนินเขา ก็สามารถที่จะเดินขึ้นไปได้ ความสูงก็ไม่มากเท่าไหร่ ในช่วงปี 2541 มีการนำจานบินมาปรากฏ มีการทำบุญบนเขากะลา มีการเชิญผู้คนที่สนใจไปร่วมพิสูจน์ ทดสอบ ทดลอง หลายท่านที่นี่ก็เคยไปเขากะลา อาจจะตั้งแต่รุ่นแรก หรือว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะเพิ่งทราบข่าวทีหลัง ประมาณ 70% ที่ได้ไป ก็จะได้พบเห็นเหตุการณ์ที่ชีวิตตนเองไม่คิดว่าจะได้เจอ
หลังจากนั้น อ.ยุพา ที่ได้สื่อสารกับคลื่นของดาวพลูโต ท่านไม่สามารถที่จะมาทำหน้าที่สื่อสารแบบนี้ตลอดได้ เพราะทางบ้านของท่านไม่ยอมรับ คุณพ่อก็พยายามหาคนที่จะสื่อสาร สรุปก็เป็นเรา (คุณวาสนา) ตอนนั้นอายุประมาณ 25-26 ซึ่งเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องของพลังจิต หรือเรื่องทางจิต ทำบุญเราก็ทำตามปกติ แต่ในเมื่อมันมีเรื่องเกิดที่บ้าน และเขาก็มีความต้องการที่จะสื่อสารอย่างต่อเนื่อง และเราก็มีความรู้สึกว่าการที่มนุษย์ต่างโลก ต้องเดินทางดั้นด้นมาติดต่อกับมนุษย์โลก ก็คงไม่ใช่เหตุบังเอิญที่เขานำจานบินมาปรากฏถึงหลังคาบ้านเรา เมื่อไม่มีคนอื่นที่จะรับผิดชอบ เราก็รับหน้าที่ผ่านคลื่น ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าทั้งหมดทั้งมวลมันจะเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่คุณพ่อได้รับสื่อว่า ดาวพลูโตจะผ่านคลื่นมาในการที่จะแจ้งข้อมูลอะไรต่างๆ
หลังจากนั้น 15 ปีผ่านไป โดยสรุปแล้วคลื่นนั้นก็คือคลื่นเทคโนโลยี ไม่ใช่เป็นคลื่นแบบคลื่นจิตวิญญาณ เป็นคลื่นเทคโนโลยี เป็นเครื่องมือสื่อสารชิ้นแรก คือตอนนั้นเราไม่รู้ เราก็ออกแนวนึกเป็นตัวตน เป็นจิต ในตอนแรกคลื่นที่ผ่านเราจะเป็นลักษณะผลักดัน เพราะว่าเราไม่รู้อะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่าง กลไกหลังจากที่คุณพ่อรับโทรจิต.. การผ่านคลื่น.. ซึ่งความจริงก็คือเครื่องมือสื่อสารของเค้านั่นแหละ แต่ตอนนั้นเค้ายังไม่ได้บอก เค้าก็ทำเหมือนกับว่าเค้ามาพูดเอง กลไกการทำงานทั้งหมดตั้งแต่ต้น ก็คือดิฉัน จนถึงปัจจุบันรุ่นหลังๆ ที่เรียกกันว่าระบบ.. คือการผ่านอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดที่จะเรียกว่าเป็นตัวตน เป็นคน เป็นจิต เป็นวิญญาณที่มาผ่าน หรือเป็นลักษณะใดๆที่จะเรียกว่าเป็นตัวตน มันเป็นแค่เครื่องมือเหมือนคลื่นมือถือหรือคลื่นสัญญาณ
วันนี้ระบบ หรือมนุษย์ต่างดาว ต้องการให้เรามาแจ้งข่าวสารของเขาในภาพรวม ในขณะนี้ มีการทำงานมาถึงรุ่นที่ 5 แล้ว แสดงว่าจริงๆแล้วการทำงานกับมนุษย์ต่างดาวมีกลไกในการทำงาน เพราะฉะนั้นกลไกการทำงานมันมีอยู่ ซึ่งเป็นกลไกระบบการทำงานของมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา เพราะเราไม่ทราบจริงๆว่าเผ่าพันธุ์อื่น หรือว่าสิ่งที่เขาติดต่อกับต่างประเทศ หรือมนุษย์ต่างดาวที่ติดต่อกับบุคคลอื่นๆอาจจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์นี้ เราคงไม่สามารถทราบได้ แต่สิ่งที่เราดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปัจจุบันก็จะครบ 15 ปี ในปลายปีนี้ ก็จะมีกลไกการทำงานในการทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาว ซึ่งเป็นหลักการที่ใช้ได้ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และก็จะเป็นการทำงานในอนาคต
จากการติดต่อสื่อสาร ประวัติก็คือเริ่มการติดต่อสื่อสารเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2540 โดยการสื่อสารทางโทรจิต เพราะว่าคุณพ่อ ก็คือจ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน เป็นผู้ที่ทำงานแล้วก็ปฏิบัติธรรมตามปกติ ก็มีการนั่งสมาธิในคืนหนึ่งแล้วก็มีผู้ที่ติดต่อสื่อสารมา คือจะเน้นว่าคุณพ่อไม่ได้ตั้งใจติดต่อสื่อสาร แต่คุณพ่อมีสภาวะจิตที่เค้าสามารถจะติดต่อมาได้ ก็สามารถรับการสื่อสารได้ชัดเจนว่า เค้าเป็นมนุษย์มาจากนอกโลก เค้าจะมาติดต่อกับมนุษย์โลก แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 3 ธันวาคม 2540 คุณพ่อก็มาบอกลูกๆ ซึ่งก็คือดิฉันและก็พี่สาวที่อยู่ที่บ้าน บอกว่ามีมนุษย์ต่างดาวเขาบอกมาว่า เขาจะมาติดต่อแล้วก็จะนำจานบินมาให้ดู ก็อย่างที่เคยเล่าไปหลายครั้งว่าเราก็คงเชื่อไม่ได้ มันยังไม่สามารถเชื่อได้ในตอนแรกถึงแม้ว่าจะเป็นคำพูดจากคุณพ่อ เราก็แค่รับฟังไว้ แล้วพอเย็นวันนั้น คุณพ่อก็โทรศัพท์มา เพราะบ้านเรากับบ้านคุณพ่ออยู่คนละหลัง พ่อโทรมาบอกว่าเค้าจะเอาจานบินมาให้ดูที่บ้านที่นครสวรรค์ ให้รอออกมาดู เพราะฉะนั้นในวันนั้น ก็คือวันที่ 3 ธันวาคม 2540 หลังจากที่คุณพ่อบอกในตอนเช้า เย็นวั้นนั้นจานบินก็มาบินวนที่บ้านที่นครสวรรค์ ซึ่งจะเห็นได้ชัด ทุกอย่างจะมีหลักฐานในลักษณะของการสัมภาษณ์ออกรายการ ก็คงจะกล่าวถึงประวัติการสื่อสารคร่าวๆเพียงเท่านี้ เพราะว่าหลังจากนั้น หลังจากที่เราเห็นชัดว่ามีจานบินมาจริงๆ เราก็เลยไปงานวิทยาศาสตร์ทางจิต ครั้งที่ 2 ที่รามคำแหง ในวันนั้นก็มีการปรากฏของ UFO
หลังจากนั้นก็จะมีการนัดหมายจานบินในวันที่ 3 มกราคม 2541 ที่สิงห์บุรี ทั้งหมดนี้ดำเนินการโดยมนุษย์ต่างดาวสื่อสารทางโทรจิตผ่านคุณพ่อ จ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน จนมีการนัดหมายที่สิงห์บุรี และมีภาพจานบินมาปรากฏ ผู้ที่เห็นจานบินที่สิงห์บุรีก็มีการติดตามจ่าสิบเอกเชิดว่า จะทำอย่างไรต่อ มนุษย์ต่างดาวก็สื่อมาว่าเขาจะมาปรากฏที่งานตรุษจีน นครสวรรค์ ในปี 2541 ซึ่งในงานตรุษจีน มีผู้ที่มีพลังจิต (อ.ยุพา ขจรกล่ำ) ได้รับคลื่นให้ทำสมาธิส่งจิตไปหาเค้า แล้วเค้าก็ส่งคลื่นพลังลงมาทำให้อาจารย์ท่านนั้น (อ.ยุพา ขจรกล่ำ) มีอาการคล้ายลักษณะของมนุษย์ต่างดาวปรากฏให้เห็น หลังจากนั้น อาจารย์ท่านก็เห็นมนุษย์ต่างดาวเป็นประจำ คุณพ่อก็ได้ทำการสื่อสาร มนุษย์ต่างดาวก็บอกว่าท่านมาจากดาวพลูโต มาเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติ ก็จะมีสองดวงดาวที่มาช่วยเหลือภัยพิบัติในเรื่องของเขากะลา คือ ดาวแรกที่มาตั้งแต่ที่คุณพ่อสื่อสาร ก็คือดวงดาวจากจักรวาลอื่น ชื่อโลกุกะตาปากะดิกอง เราก็เรียกกันสั้นๆว่าดาวโลกุ อีกดาวหนึ่งก็คือดาวพลูโตซึ่งอยู่ในจักรวาลเดียวกับเรา
เพราะฉะนั้นมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลาที่ทำการสื่อสารอยู่จะมีแค่ 2 ดวงดาวนี้เท่านั้นที่เราจะแจ้งทุกท่านว่ามันมีปรากฏการณ์แบบนี้ในประเทศไทย หลังจากนั้นอาจารย์ยุพาได้มีการพูดคุยกับคุณพ่อ สรุปแล้วก็มีการสื่อสารกันว่าให้หาเนินเขา เพื่อที่เค้าจะได้นำยานมาลงจอด มาบิน หรือว่ามีการสื่อสารกันอย่างเป็นรูปธรรม แล้วสรุปว่าได้เนินเขากะลา ที่ตำบลพระนอน อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เนินเขากะลานั้นที่จริงเป็นบ้านเกิดของคุณพ่อ จ่าสิบเอกเชิด หลังหมู่บ้านนั้นก็จะมีเนินเขา ก็สามารถที่จะเดินขึ้นไปได้ ความสูงก็ไม่มากเท่าไหร่ ในช่วงปี 2541 มีการนำจานบินมาปรากฏ มีการทำบุญบนเขากะลา มีการเชิญผู้คนที่สนใจไปร่วมพิสูจน์ ทดสอบ ทดลอง หลายท่านที่นี่ก็เคยไปเขากะลา อาจจะตั้งแต่รุ่นแรก หรือว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะเพิ่งทราบข่าวทีหลัง ประมาณ 70% ที่ได้ไป ก็จะได้พบเห็นเหตุการณ์ที่ชีวิตตนเองไม่คิดว่าจะได้เจอ
หลังจากนั้น อ.ยุพา ที่ได้สื่อสารกับคลื่นของดาวพลูโต ท่านไม่สามารถที่จะมาทำหน้าที่สื่อสารแบบนี้ตลอดได้ เพราะทางบ้านของท่านไม่ยอมรับ คุณพ่อก็พยายามหาคนที่จะสื่อสาร สรุปก็เป็นเรา (คุณวาสนา) ตอนนั้นอายุประมาณ 25-26 ซึ่งเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องของพลังจิต หรือเรื่องทางจิต ทำบุญเราก็ทำตามปกติ แต่ในเมื่อมันมีเรื่องเกิดที่บ้าน และเขาก็มีความต้องการที่จะสื่อสารอย่างต่อเนื่อง และเราก็มีความรู้สึกว่าการที่มนุษย์ต่างโลก ต้องเดินทางดั้นด้นมาติดต่อกับมนุษย์โลก ก็คงไม่ใช่เหตุบังเอิญที่เขานำจานบินมาปรากฏถึงหลังคาบ้านเรา เมื่อไม่มีคนอื่นที่จะรับผิดชอบ เราก็รับหน้าที่ผ่านคลื่น ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าทั้งหมดทั้งมวลมันจะเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่คุณพ่อได้รับสื่อว่า ดาวพลูโตจะผ่านคลื่นมาในการที่จะแจ้งข้อมูลอะไรต่างๆ
หลังจากนั้น 15 ปีผ่านไป โดยสรุปแล้วคลื่นนั้นก็คือคลื่นเทคโนโลยี ไม่ใช่เป็นคลื่นแบบคลื่นจิตวิญญาณ เป็นคลื่นเทคโนโลยี เป็นเครื่องมือสื่อสารชิ้นแรก คือตอนนั้นเราไม่รู้ เราก็ออกแนวนึกเป็นตัวตน เป็นจิต ในตอนแรกคลื่นที่ผ่านเราจะเป็นลักษณะผลักดัน เพราะว่าเราไม่รู้อะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่าง กลไกหลังจากที่คุณพ่อรับโทรจิต.. การผ่านคลื่น.. ซึ่งความจริงก็คือเครื่องมือสื่อสารของเค้านั่นแหละ แต่ตอนนั้นเค้ายังไม่ได้บอก เค้าก็ทำเหมือนกับว่าเค้ามาพูดเอง กลไกการทำงานทั้งหมดตั้งแต่ต้น ก็คือดิฉัน จนถึงปัจจุบันรุ่นหลังๆ ที่เรียกกันว่าระบบ.. คือการผ่านอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดที่จะเรียกว่าเป็นตัวตน เป็นคน เป็นจิต เป็นวิญญาณที่มาผ่าน หรือเป็นลักษณะใดๆที่จะเรียกว่าเป็นตัวตน มันเป็นแค่เครื่องมือเหมือนคลื่นมือถือหรือคลื่นสัญญาณ
..........................................
2.
เพราะฉะนั้น กลไกที่เขามาทำขั้นตอนต่างๆ เป็นลักษณะของการเตรียมการมาสื่อสารกับมนุษย์โลก ที่มีภาวะของความ.. ถ้าเราเรียกในเรื่องของความเชื่อ ก็เป็นในลักษณะความเชื่อที่สอดคล้องกับเขา ก็คือเราอยู่ในจุดที่ตามปกตินับถือพระพุทธศาสนามาโดยกำเนิด และเราก็ศึกษามาตามขั้นตอน เพราะฉะนั้น ความเข้าใจเรื่องของการปล่อยวาง การไม่ยึดมั่นถือมั่น การรักษาศีล การปฏิบัติธรรม เราที่เป็นชาวพุทธก็จะต้องมีความเข้าใจขั้นต้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดาวสองดวงที่เขามีความเข้าใจเรื่องกฏธรรมชาติสอดคล้องและก็ใกล้เคียงกับพระพุทธศาสนา เค้าก็จึงมาติดต่อกับบุคคลที่มีถิ่นกำเนิด คือจุดเริ่มต้นที่มีพระพุทธศาสนาเป็นพื้นฐาน ทีนี้พระพุทธศาสนาคือกลไกของกฎธรรมชาติที่เขาเข้าใจ ก็จะเป็นกลไกที่คล้ายกับของเราคือทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และสิ่งต่างๆ คือขันธ์ 5 ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
โครงการที่เขามาก็คือเขาต้องการที่จะมาสื่อสารกับมนุษย์ที่จะใช้อุปกรณ์ของเขาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้ โดยที่เราไม่เสียประโยชน์ตน เพราะฉะนั้นเรามีลักษณะของการช่วยด้วยการให้ และเราก็ไม่ไปยึดติดอุปกรณ์ของเขาว่าเป็นตัวเราของเรา เพราะอุปกรณ์ที่เขาเตรียมเอาไว้ใช้นั้น เขาได้ออกแบบไว้ใช้เมื่อขณะเกิด และก็หลังเกิดภัยพิบัติ แต่ตอนนี้อุปกรณ์ที่ส่งมาเป็นลักษณะของการทดสอบ ทดลองใช้ และเขาก็จะตรวจสอบสภาวะจิต คือว่าใช้แล้วมันมีลักษณะของทำเพื่อให้ หรือว่าทำเพื่ออยากได้ อยากมี อยากเป็น ก็เป็นลักษณะของการทดสอบ ทดลองอุปกรณ์
ทุกอย่างเป็นคลื่น ไม่สามารถสแกนได้เป็นโลหะเหมือนในต่างประเทศ เพราะว่าเขาเตรียมการมาแล้ว กลไกการทำงานกับเขาเริ่มต้นก็คือว่าเขาจะคัดคนออกไปฝึก ฝึกรับคลื่นของเขาก่อน อย่างที่เรามีประวัติเขากะลารุ่น 1 ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าไปฝึกอะไร แต่ว่า.. ที่บ้านก็แบบไปไหนไปกันเพราะว่าเรื่องมันเกิดแล้ว และเราก็รู้สึกว่า เขามาไกล เรารู้สึกว่ามันสำคัญ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ออกไปฝึกกันหนึ่งปี นุ่งชุดขาวกันไป ศีลห้าบ้าง ศีลแปดบ้าง แล้วก็เขาจะมีกลไกของการฝึก เหมือนกับการที่เรามีสติและก็มีความเข้าใจในเรื่องของการทำงานของขันธ์ 5 และเพราะอะไรมันถึงเป็นสิ่งที่เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เขาจะมีคำพูดในลักษณะของการผ่านคลื่น
สมัยก่อนเขาผ่านคลื่นมาก่อนที่เขาจะมาเฉลยว่ามันเป็นเครื่องมือ เราก็คิดว่ามันเป็นคลื่นจิตพอคลื่นมาที่ไรก็จะเหมือนกับการทำตามคำสั่งครู แบบครูมา ก็นั่งกันเรียบร้อย ฝึกอะไรก็ไปเต็มที่ ในช่วงระหว่างนั้นก็จะมีจานบินมาปรากฏ เค้าจะพูดถึงเรื่องความคิด ซึ่งเค้าจะส่งมันวนเข้ามา ความคิดของเราก็จะเหมือนรีรันเปิดเทป แล้วเขาก็จะสอนให้ดูว่าความคิดเนี้ย เห็นชัดๆว่ามันไม่ใช่ของเรา เพราะว่าคลื่นเขาส่งมาเป็นความคิด แล้วทำอย่างไรที่เราจะไม่ไปยึดว่าความคิดนั้นเป็นของเรา แต่พอคิดแล้วเราก็ยังทุกข์อยู่ ทำให้เราเห็นกลไกว่า ธรรมดาคนเราไม่ได้อยากจะยึดมั่นถือมั่นหรอก แต่มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมันยึดของมันอยู่แล้ว ทั้งที่เรารู้ว่าสิ่งที่เค้าส่งมาให้มันเป็นคลื่นความทุกข์ เป็นความรู้สึก เพราะว่าเขามีกลไกของคลื่นที่มันละเอียด และเขาก็อธิบายทุกครั้ง
เพราะฉะนั้นการออกไปฝึกในรูปแบบของการทำงานกับเครื่องมือ นี่คือฝึกสำหรับการทำงานกับเครื่องมือของเขา เมื่อเราฝึกแล้วเราเข้าใจ เราจะรู้ว่า คลื่นความคิดของเขาก็คือคลื่นความคิดของเขา เราสามารถทำงานได้ ถ้าสมมุติว่ามีข้อมูลมา ก็ส่งข้อมูลออกไปโดยคำพูด เหมือนมีข้อมูลแบบนี้ก็ทำงานกันไป เขาเรียกว่ารับคลื่น รับข้อมูล โดยที่ทำเสร็จแล้วก็คือวาง
เพราะฉะนั้นการทำงานกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลาในลักษณะกลไกก็คือตั้งแต่เริ่มต้นฝึกรุ่น 1 แล้วก็มาจนถึงรุ่นหลังๆก็คือเป็นเรื่องของการรับคลื่นเทคโนโลยีซึ่งไม่ได้มีเป็นจิต ไม่ได้มีเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นลักษณะของคลื่น หรือว่าเทคโนโลยี เหมือนเครื่องมือหรืออุปกรณ์ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างทำงานโดยคลื่นซึ่งเป็นอุปกรณ์ เพียงแต่ว่าเค้าจะออกแบบในการวางแผนว่า ตอนแรกอุปกรณ์ชิ้นแรกก็คืออุปกรณ์อธิบายกลไกการทำงานโดยละเอียด ลักษณะที่ออกมาก็จะเป็นเหมือนคลื่นเป็นคำพูด คำอธิบาย คือจะมีกรากฏการณ์อะไรก็แล้วแต่ มันจะมีข้อมูลผลักดัน และเราก็จะรู้ และก็สามารถพูดได้ แต่เราจะรู้ว่านั้นไม่ใช่ของเรา เราก็มีหน้าที่อย่างเดียว คือคิดอยู่ข้างในว่าไม่ใช่ของเรา มีหน้าที่ปฏิเสธทุกอย่างที่เข้ามา ที่ผ่านเข้ามาว่านี่ไม่ใช่ตัวเราของเรา มีหน้าที่ปล่อยอย่างเดียว
กลไกจากการฝึกกับเครื่องมือของเขา ทำให้เรามีความเข้มแข็งในการที่จะเริ่มเห็นความคิดเป็นแค่ความคิด อย่าไปรีบยึดเข้ามา ถึงแม้ว่าความคิดนั้นบางทีเป็นความคิดเรื่องส่วนตัวของเรา เราก็จะเริ่มเข้าใจ ในทางธรรมะความคิดก็เป็นเพียงความคิด
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขามาเขาจะไม่ให้เราเสียประโยชน์ตนในเรื่องของการทำงานร่วมกับเขา โอเคเราต้องเสียสละแรงกายแรงใจ แต่เราต้องได้สติปัญญาในเรื่องของสภาวะการไม่ยึดมั่นถือมั่นไปด้วย เค้าเรียกว่าพัฒนาความสามารถในการเห็นความว่าง เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็ค่อนข้างจะละเอียด ช่วงรุ่นแรกจึงต้องออกไปฝึกค่อนข้างเยอะ เพราะว่าข้อมูลของรุ่นแรกที่ไปฝึกการทำงานจะเป็นลักษณะของการประสานงาน ก็คือมีข้อมูลว่าจะต้องไปประสานงานกับคนนี้ คนนี้ มีการเดินทางไปประสานงาน จึงไม่ใช่เรื่องของอุปกรณ์ในลักษณะของการรักษาหรือการสแกนกรรม มีลักษณะเป็นคลื่นความคิด ความรู้สึก ว่าต้องไปเจอกับคนนี้ และเราก็ต้องมีหน้าที่ในการซ้อนดูว่า ระบบเค้าทำ คือมันเป็นลักษณะของการจัดวาง
เพราะฉะนั้น กลไกที่เขามาทำขั้นตอนต่างๆ เป็นลักษณะของการเตรียมการมาสื่อสารกับมนุษย์โลก ที่มีภาวะของความ.. ถ้าเราเรียกในเรื่องของความเชื่อ ก็เป็นในลักษณะความเชื่อที่สอดคล้องกับเขา ก็คือเราอยู่ในจุดที่ตามปกตินับถือพระพุทธศาสนามาโดยกำเนิด และเราก็ศึกษามาตามขั้นตอน เพราะฉะนั้น ความเข้าใจเรื่องของการปล่อยวาง การไม่ยึดมั่นถือมั่น การรักษาศีล การปฏิบัติธรรม เราที่เป็นชาวพุทธก็จะต้องมีความเข้าใจขั้นต้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดาวสองดวงที่เขามีความเข้าใจเรื่องกฏธรรมชาติสอดคล้องและก็ใกล้เคียงกับพระพุทธศาสนา เค้าก็จึงมาติดต่อกับบุคคลที่มีถิ่นกำเนิด คือจุดเริ่มต้นที่มีพระพุทธศาสนาเป็นพื้นฐาน ทีนี้พระพุทธศาสนาคือกลไกของกฎธรรมชาติที่เขาเข้าใจ ก็จะเป็นกลไกที่คล้ายกับของเราคือทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และสิ่งต่างๆ คือขันธ์ 5 ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
โครงการที่เขามาก็คือเขาต้องการที่จะมาสื่อสารกับมนุษย์ที่จะใช้อุปกรณ์ของเขาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้ โดยที่เราไม่เสียประโยชน์ตน เพราะฉะนั้นเรามีลักษณะของการช่วยด้วยการให้ และเราก็ไม่ไปยึดติดอุปกรณ์ของเขาว่าเป็นตัวเราของเรา เพราะอุปกรณ์ที่เขาเตรียมเอาไว้ใช้นั้น เขาได้ออกแบบไว้ใช้เมื่อขณะเกิด และก็หลังเกิดภัยพิบัติ แต่ตอนนี้อุปกรณ์ที่ส่งมาเป็นลักษณะของการทดสอบ ทดลองใช้ และเขาก็จะตรวจสอบสภาวะจิต คือว่าใช้แล้วมันมีลักษณะของทำเพื่อให้ หรือว่าทำเพื่ออยากได้ อยากมี อยากเป็น ก็เป็นลักษณะของการทดสอบ ทดลองอุปกรณ์
ทุกอย่างเป็นคลื่น ไม่สามารถสแกนได้เป็นโลหะเหมือนในต่างประเทศ เพราะว่าเขาเตรียมการมาแล้ว กลไกการทำงานกับเขาเริ่มต้นก็คือว่าเขาจะคัดคนออกไปฝึก ฝึกรับคลื่นของเขาก่อน อย่างที่เรามีประวัติเขากะลารุ่น 1 ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าไปฝึกอะไร แต่ว่า.. ที่บ้านก็แบบไปไหนไปกันเพราะว่าเรื่องมันเกิดแล้ว และเราก็รู้สึกว่า เขามาไกล เรารู้สึกว่ามันสำคัญ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ออกไปฝึกกันหนึ่งปี นุ่งชุดขาวกันไป ศีลห้าบ้าง ศีลแปดบ้าง แล้วก็เขาจะมีกลไกของการฝึก เหมือนกับการที่เรามีสติและก็มีความเข้าใจในเรื่องของการทำงานของขันธ์ 5 และเพราะอะไรมันถึงเป็นสิ่งที่เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เขาจะมีคำพูดในลักษณะของการผ่านคลื่น
สมัยก่อนเขาผ่านคลื่นมาก่อนที่เขาจะมาเฉลยว่ามันเป็นเครื่องมือ เราก็คิดว่ามันเป็นคลื่นจิตพอคลื่นมาที่ไรก็จะเหมือนกับการทำตามคำสั่งครู แบบครูมา ก็นั่งกันเรียบร้อย ฝึกอะไรก็ไปเต็มที่ ในช่วงระหว่างนั้นก็จะมีจานบินมาปรากฏ เค้าจะพูดถึงเรื่องความคิด ซึ่งเค้าจะส่งมันวนเข้ามา ความคิดของเราก็จะเหมือนรีรันเปิดเทป แล้วเขาก็จะสอนให้ดูว่าความคิดเนี้ย เห็นชัดๆว่ามันไม่ใช่ของเรา เพราะว่าคลื่นเขาส่งมาเป็นความคิด แล้วทำอย่างไรที่เราจะไม่ไปยึดว่าความคิดนั้นเป็นของเรา แต่พอคิดแล้วเราก็ยังทุกข์อยู่ ทำให้เราเห็นกลไกว่า ธรรมดาคนเราไม่ได้อยากจะยึดมั่นถือมั่นหรอก แต่มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมันยึดของมันอยู่แล้ว ทั้งที่เรารู้ว่าสิ่งที่เค้าส่งมาให้มันเป็นคลื่นความทุกข์ เป็นความรู้สึก เพราะว่าเขามีกลไกของคลื่นที่มันละเอียด และเขาก็อธิบายทุกครั้ง
เพราะฉะนั้นการออกไปฝึกในรูปแบบของการทำงานกับเครื่องมือ นี่คือฝึกสำหรับการทำงานกับเครื่องมือของเขา เมื่อเราฝึกแล้วเราเข้าใจ เราจะรู้ว่า คลื่นความคิดของเขาก็คือคลื่นความคิดของเขา เราสามารถทำงานได้ ถ้าสมมุติว่ามีข้อมูลมา ก็ส่งข้อมูลออกไปโดยคำพูด เหมือนมีข้อมูลแบบนี้ก็ทำงานกันไป เขาเรียกว่ารับคลื่น รับข้อมูล โดยที่ทำเสร็จแล้วก็คือวาง
เพราะฉะนั้นการทำงานกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลาในลักษณะกลไกก็คือตั้งแต่เริ่มต้นฝึกรุ่น 1 แล้วก็มาจนถึงรุ่นหลังๆก็คือเป็นเรื่องของการรับคลื่นเทคโนโลยีซึ่งไม่ได้มีเป็นจิต ไม่ได้มีเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นลักษณะของคลื่น หรือว่าเทคโนโลยี เหมือนเครื่องมือหรืออุปกรณ์ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างทำงานโดยคลื่นซึ่งเป็นอุปกรณ์ เพียงแต่ว่าเค้าจะออกแบบในการวางแผนว่า ตอนแรกอุปกรณ์ชิ้นแรกก็คืออุปกรณ์อธิบายกลไกการทำงานโดยละเอียด ลักษณะที่ออกมาก็จะเป็นเหมือนคลื่นเป็นคำพูด คำอธิบาย คือจะมีกรากฏการณ์อะไรก็แล้วแต่ มันจะมีข้อมูลผลักดัน และเราก็จะรู้ และก็สามารถพูดได้ แต่เราจะรู้ว่านั้นไม่ใช่ของเรา เราก็มีหน้าที่อย่างเดียว คือคิดอยู่ข้างในว่าไม่ใช่ของเรา มีหน้าที่ปฏิเสธทุกอย่างที่เข้ามา ที่ผ่านเข้ามาว่านี่ไม่ใช่ตัวเราของเรา มีหน้าที่ปล่อยอย่างเดียว
กลไกจากการฝึกกับเครื่องมือของเขา ทำให้เรามีความเข้มแข็งในการที่จะเริ่มเห็นความคิดเป็นแค่ความคิด อย่าไปรีบยึดเข้ามา ถึงแม้ว่าความคิดนั้นบางทีเป็นความคิดเรื่องส่วนตัวของเรา เราก็จะเริ่มเข้าใจ ในทางธรรมะความคิดก็เป็นเพียงความคิด
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขามาเขาจะไม่ให้เราเสียประโยชน์ตนในเรื่องของการทำงานร่วมกับเขา โอเคเราต้องเสียสละแรงกายแรงใจ แต่เราต้องได้สติปัญญาในเรื่องของสภาวะการไม่ยึดมั่นถือมั่นไปด้วย เค้าเรียกว่าพัฒนาความสามารถในการเห็นความว่าง เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็ค่อนข้างจะละเอียด ช่วงรุ่นแรกจึงต้องออกไปฝึกค่อนข้างเยอะ เพราะว่าข้อมูลของรุ่นแรกที่ไปฝึกการทำงานจะเป็นลักษณะของการประสานงาน ก็คือมีข้อมูลว่าจะต้องไปประสานงานกับคนนี้ คนนี้ มีการเดินทางไปประสานงาน จึงไม่ใช่เรื่องของอุปกรณ์ในลักษณะของการรักษาหรือการสแกนกรรม มีลักษณะเป็นคลื่นความคิด ความรู้สึก ว่าต้องไปเจอกับคนนี้ และเราก็ต้องมีหน้าที่ในการซ้อนดูว่า ระบบเค้าทำ คือมันเป็นลักษณะของการจัดวาง
......................................
3.
การทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาว อันดับแรกก็คือ คราวที่แล้วจะพูดค้างไว้ในเรื่องของธรรมะละวางอัตตา ถ้าท่านได้เคยอ่านธรรมะละวางอัตตา อันนั้นจะเป็นลักษณะของคลื่นที่เขาอธิบายเรื่องของขันธ์ 5 หรือว่ามีการเปรียบเทียบในเรื่องต่างๆ ซึ่งพี่สุดใจได้นำมาถ่ายทอด ก็คือ จากการที่ได้ยินได้ฟังแล้วก็ได้ปฏิบัติ มันจะเป็นหนังสือที่เหมือนหนังสือธรรมะ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าจริงๆทุกท่าน มีธรรมะหรือว่ามีการรู้ธรรมะอยู่แล้ว และตอนนี้เราก็จะมาดูแค่ว่า เวลาที่เราทำงานกับระบบ หรือว่าเราคิดที่จะช่วยงานระบบมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา เค้ามีกลไกอะไรที่จะทำให้งานนั้นไปได้ กลไกนั้นก็คือระบบ เค้าจะบอกว่า เค้าเตรียมการมาสำหรับก่อนเกิด ก็คือเตรียมคน เตรียมอุปกรณ์สำหรับทดสอบทดลองใช้ในการประสานงานกับกลุ่มบุคคลที่ระบบเค้าต้องการเชื่อมไว้ คือเชื่อมเป็นจุดไว้ พอการประสานงานในการกระจายข่าวสารเรียบร้อย เสร็จ หรือว่ามีการแจกเครื่องมือไปทดสอบทดลองใช้เสร็จ พอถึงเวลาช่วงขณะเกิด อุปกรณ์นั้นก็จะเปิดใช้ แต่ในขณะนี้เป็นการทดลองเป็นตัวอย่าง เพราะยังไม่ใช่ช่วงเวลาวิกฤติที่เขาจะช่วยได้ตอนนี้ แต่ช่วงขณะเกิด เขาจะใช้เครื่องมือนี้ อย่างที่เคยได้ยินได้ฟังก็คือเครื่องมือรักษา ก็คือเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ แต่ว่าตอนเกิดภัยพิบัติ ยารักษาโรค การขนส่ง หรือโรงพยาบาลไม่สามารถที่จะติดต่อได้
หลังจากภัยพิบัติทุกคนก็จะเหลือแต่ขันธ์ 5 แต่ขันธ์ 5 ของผู้ที่ติดอุปกรณ์ก็สามารถที่จะช่วย ช่วยได้โดยผ่านคลื่นของเขา กลไกก็คือเราไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นในพลัง เพราะว่าเราไม่มี ถ้าพูดถึงโครงสร้างเราก็เหมือนกับแสดง คลื่นเขาจะส่งตรงเอง เพราะฉะนั้นคลื่นที่เขาส่งมาหาเราอาจจะเป็นคลื่นวูบๆวาบๆ หรือว่าเป็นแบบไหนก็แล้วแต่ และคลื่นที่เขาส่งตรงไปหาผู้ป่วยที่รักษา ก็คือคลื่นที่เขาส่งแยกสองสาย อย่างเช่นเวลาที่ผู้ที่ทำการรักษาเกิดความรู้สึกขณะรักษา ก็เพื่อให้เริ่มเรียนรู้แล้วว่า สิ่งที่ส่งเข้ามานั้นไม่ใช่ของเรา ความคิด ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ของเรา นี่คือประโยชน์ตนของผู้รักษา ส่วนผู้ที่ถูกรักษา หากรู้สึกร้อนๆ อุ่นๆ หรือรู้สึกว่าเบาขึ้น นั่นก็คือคลื่นเขาส่งตรงมาให้ผู้ที่ถูกรักษา ต้องนึกให้ออกว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกันระหว่างผู้รักษา กับผู้ถูกรักษา แต่กรอบความคิดของเราจะคิดว่าการรักษามันต้องผ่านคนไป แต่เพราะว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ซึ่งมันจะคล้ายกับนักแสดง นักแสดงคนหนึ่งพูด อีกคนหนึ่งก็มีสคริปของเขา ถ้าเธอพูดอย่างนี้ฉันจะต้องตอบแบบนั้น คือสคริปมันอยู่ที่ผู้กำกับ หรือว่าผู้เขียนบทเขาจะเขียน สคริปนี่มันคือคนละส่วน
เพราะฉะนั้นท่านที่ทำงาน ท่านจะต้องเข้าใจให้ตรง เพราะว่าความจริงแล้วสิ่งที่เค้าส่งมาที่เรา ก็คือประโยชน์ตนของเรา เพื่อให้เราเห็นว่า ออ เรามั่นใจว่ามีคลื่นลงมารักษาแล้ว เพราะถ้าเกิดมันไม่มีอะไรขึ้นมาเลย เราก็ไม่มีความมั่นใจที่จะไปรักษาหรือว่าทำอะไรคนอื่น เพราะว่ามันไม่รู้สึกอะไร อันนั้นคือสิ่งที่เขาส่งมาหาเรา และสิ่งที่เขาส่งไปให้กับผู้ป่วย ผู้ป่วยจะหายมากหรือจะบรรเทา เราไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำ พื้นฐานทุกอย่างต้องฟรี พื้นฐานในการให้ เพราะฉะนั้นการช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติ ภาวะปัจจุบันเราอาจจะนึกว่ามันลำบาก ฝืดเคือง แต่ถ้าเรานึกย้อนไปปลายปี พอเกิดภาวะของน้ำท่วม ผู้คน เพื่อนบ้านเรา หรือว่าญาติเรา หรือว่าเพื่อนร่วมจังหวัด เพื่อนร่วมประเทศ มีความทุกข์ แค่น้ำท่วมบ้าน เรายังรู้สึกว่าเราอยากช่วย เราอยากสละ เราอยากให้ ทั้งที่เราอาจจะอยู่ห่างไกล หรือว่าเรามีอะไรเราก็ช่วยได้ เพราะฉะนั้นภาวะแบบนี้ ให้เราเห็นว่า ความจริงการที่จะช่วยเหลือกัน จิตใจที่จะช่วยเหลือมันมีอยู่ในทุกท่านอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ารอจังหวะเวลาที่มันรู้สึกคับขัน
เพราะฉะนั้นมนุษย์ต่างดาวเค้ารู้อยู่แล้วว่า พื้นฐานของผู้ที่เข้าใจกลไกธรรมชาติพอถึงเวลาบีบคั้น จะช่วยทุกคน แต่ต้องมาชี้แจงให้เข้าใจว่า ต้องใช้เครื่องมืออุปกรณ์ อย่างเช่นอุปกรณ์ของแผนกขับเคลื่อนระบบและ maintenance ระบบ จะเป็นลักษณะของการชี้แจงในข้อมูลเขาเค้า เราก็จะรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปรับผิดชอบได้ ระบบเค้าบอกอย่างนี้ เราก็แค่แจ้งเพื่อทราบ เพราะฉะนั้นกลไกการทำงานของระบบ เค้าเรียกว่าหนึ่งคนหนึ่งสาย เหมือนกับท่านมีทีวีดาวเทียม ทีวีหนึ่งเครื่องของท่านก็รับคลื่น กลไกของการทำงานการประสานงาน ตอนนี้ก็จะเป็นในลักษณะของการประชาสัมพันธ์ในเรื่องของสิ่งต่างๆ ในเรื่องของการใช้อุปกรณ์ การเคลื่อนย้ายคน เขาทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เพื่อที่ว่าเวลาจริงๆต้องมีการใช้ แต่ตอนนี้อุปกรณ์ที่มีการใช้แล้วก็คือในเรื่องของการรักษา และอุปกรณ์เห็นภาพ คืออุปกรณ์ในการสแกนสภาวะจิต ในเรื่องของกรรม มีการเห็นภาพอนาคต
เห็นภาพอนาคตนี่ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วพูดออกไปนะ คือเห็นภาพอนาคตแล้วทุกอย่างเกิดแล้ว ทุกอย่างเสร็จแล้วถึงจะมายืนยันกับตัวเอง อันนั้นก็คือเป็นเรื่องที่ท่านจะยืนยันกับตัวท่านเอง และก็มีในเรื่องของการเคลื่อนย้ายมิติ ในที่นี้มีประมาณ 10 กว่าคนที่เจอเรื่องของการเคลื่อนคนไปอีกมิติหนึ่ง จะเป็นคน หรือว่ารถทะลุมิติ ทุกอย่างมีในเว็บไซด์ UFOKAOKALA ในสิ่งที่ระบบได้ให้บันทึกไว้ เพราะว่าเขาจะใช้จุดของผู้ที่มีพื้นฐานความเข้าใจในกฎของธรรมชาติเป็นฐานเพราะเขาไม่ได้ช่วยแค่ในประเทศไทยหรือว่าจังหวัดต่างๆ เขาจะใช้เป็นฐานเพื่อให้เรามีความเข้าใจ มีความแน่น เพื่อที่จะเชื่อมต่อไปในผู้ที่มีสภาวะของภัยพิบัติทั่วโลก คือผู้ที่เขาสามารถจะช่วยได้
การทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาว อันดับแรกก็คือ คราวที่แล้วจะพูดค้างไว้ในเรื่องของธรรมะละวางอัตตา ถ้าท่านได้เคยอ่านธรรมะละวางอัตตา อันนั้นจะเป็นลักษณะของคลื่นที่เขาอธิบายเรื่องของขันธ์ 5 หรือว่ามีการเปรียบเทียบในเรื่องต่างๆ ซึ่งพี่สุดใจได้นำมาถ่ายทอด ก็คือ จากการที่ได้ยินได้ฟังแล้วก็ได้ปฏิบัติ มันจะเป็นหนังสือที่เหมือนหนังสือธรรมะ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าจริงๆทุกท่าน มีธรรมะหรือว่ามีการรู้ธรรมะอยู่แล้ว และตอนนี้เราก็จะมาดูแค่ว่า เวลาที่เราทำงานกับระบบ หรือว่าเราคิดที่จะช่วยงานระบบมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา เค้ามีกลไกอะไรที่จะทำให้งานนั้นไปได้ กลไกนั้นก็คือระบบ เค้าจะบอกว่า เค้าเตรียมการมาสำหรับก่อนเกิด ก็คือเตรียมคน เตรียมอุปกรณ์สำหรับทดสอบทดลองใช้ในการประสานงานกับกลุ่มบุคคลที่ระบบเค้าต้องการเชื่อมไว้ คือเชื่อมเป็นจุดไว้ พอการประสานงานในการกระจายข่าวสารเรียบร้อย เสร็จ หรือว่ามีการแจกเครื่องมือไปทดสอบทดลองใช้เสร็จ พอถึงเวลาช่วงขณะเกิด อุปกรณ์นั้นก็จะเปิดใช้ แต่ในขณะนี้เป็นการทดลองเป็นตัวอย่าง เพราะยังไม่ใช่ช่วงเวลาวิกฤติที่เขาจะช่วยได้ตอนนี้ แต่ช่วงขณะเกิด เขาจะใช้เครื่องมือนี้ อย่างที่เคยได้ยินได้ฟังก็คือเครื่องมือรักษา ก็คือเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ แต่ว่าตอนเกิดภัยพิบัติ ยารักษาโรค การขนส่ง หรือโรงพยาบาลไม่สามารถที่จะติดต่อได้
หลังจากภัยพิบัติทุกคนก็จะเหลือแต่ขันธ์ 5 แต่ขันธ์ 5 ของผู้ที่ติดอุปกรณ์ก็สามารถที่จะช่วย ช่วยได้โดยผ่านคลื่นของเขา กลไกก็คือเราไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นในพลัง เพราะว่าเราไม่มี ถ้าพูดถึงโครงสร้างเราก็เหมือนกับแสดง คลื่นเขาจะส่งตรงเอง เพราะฉะนั้นคลื่นที่เขาส่งมาหาเราอาจจะเป็นคลื่นวูบๆวาบๆ หรือว่าเป็นแบบไหนก็แล้วแต่ และคลื่นที่เขาส่งตรงไปหาผู้ป่วยที่รักษา ก็คือคลื่นที่เขาส่งแยกสองสาย อย่างเช่นเวลาที่ผู้ที่ทำการรักษาเกิดความรู้สึกขณะรักษา ก็เพื่อให้เริ่มเรียนรู้แล้วว่า สิ่งที่ส่งเข้ามานั้นไม่ใช่ของเรา ความคิด ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ของเรา นี่คือประโยชน์ตนของผู้รักษา ส่วนผู้ที่ถูกรักษา หากรู้สึกร้อนๆ อุ่นๆ หรือรู้สึกว่าเบาขึ้น นั่นก็คือคลื่นเขาส่งตรงมาให้ผู้ที่ถูกรักษา ต้องนึกให้ออกว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกันระหว่างผู้รักษา กับผู้ถูกรักษา แต่กรอบความคิดของเราจะคิดว่าการรักษามันต้องผ่านคนไป แต่เพราะว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ซึ่งมันจะคล้ายกับนักแสดง นักแสดงคนหนึ่งพูด อีกคนหนึ่งก็มีสคริปของเขา ถ้าเธอพูดอย่างนี้ฉันจะต้องตอบแบบนั้น คือสคริปมันอยู่ที่ผู้กำกับ หรือว่าผู้เขียนบทเขาจะเขียน สคริปนี่มันคือคนละส่วน
เพราะฉะนั้นท่านที่ทำงาน ท่านจะต้องเข้าใจให้ตรง เพราะว่าความจริงแล้วสิ่งที่เค้าส่งมาที่เรา ก็คือประโยชน์ตนของเรา เพื่อให้เราเห็นว่า ออ เรามั่นใจว่ามีคลื่นลงมารักษาแล้ว เพราะถ้าเกิดมันไม่มีอะไรขึ้นมาเลย เราก็ไม่มีความมั่นใจที่จะไปรักษาหรือว่าทำอะไรคนอื่น เพราะว่ามันไม่รู้สึกอะไร อันนั้นคือสิ่งที่เขาส่งมาหาเรา และสิ่งที่เขาส่งไปให้กับผู้ป่วย ผู้ป่วยจะหายมากหรือจะบรรเทา เราไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำ พื้นฐานทุกอย่างต้องฟรี พื้นฐานในการให้ เพราะฉะนั้นการช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติ ภาวะปัจจุบันเราอาจจะนึกว่ามันลำบาก ฝืดเคือง แต่ถ้าเรานึกย้อนไปปลายปี พอเกิดภาวะของน้ำท่วม ผู้คน เพื่อนบ้านเรา หรือว่าญาติเรา หรือว่าเพื่อนร่วมจังหวัด เพื่อนร่วมประเทศ มีความทุกข์ แค่น้ำท่วมบ้าน เรายังรู้สึกว่าเราอยากช่วย เราอยากสละ เราอยากให้ ทั้งที่เราอาจจะอยู่ห่างไกล หรือว่าเรามีอะไรเราก็ช่วยได้ เพราะฉะนั้นภาวะแบบนี้ ให้เราเห็นว่า ความจริงการที่จะช่วยเหลือกัน จิตใจที่จะช่วยเหลือมันมีอยู่ในทุกท่านอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ารอจังหวะเวลาที่มันรู้สึกคับขัน
เพราะฉะนั้นมนุษย์ต่างดาวเค้ารู้อยู่แล้วว่า พื้นฐานของผู้ที่เข้าใจกลไกธรรมชาติพอถึงเวลาบีบคั้น จะช่วยทุกคน แต่ต้องมาชี้แจงให้เข้าใจว่า ต้องใช้เครื่องมืออุปกรณ์ อย่างเช่นอุปกรณ์ของแผนกขับเคลื่อนระบบและ maintenance ระบบ จะเป็นลักษณะของการชี้แจงในข้อมูลเขาเค้า เราก็จะรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปรับผิดชอบได้ ระบบเค้าบอกอย่างนี้ เราก็แค่แจ้งเพื่อทราบ เพราะฉะนั้นกลไกการทำงานของระบบ เค้าเรียกว่าหนึ่งคนหนึ่งสาย เหมือนกับท่านมีทีวีดาวเทียม ทีวีหนึ่งเครื่องของท่านก็รับคลื่น กลไกของการทำงานการประสานงาน ตอนนี้ก็จะเป็นในลักษณะของการประชาสัมพันธ์ในเรื่องของสิ่งต่างๆ ในเรื่องของการใช้อุปกรณ์ การเคลื่อนย้ายคน เขาทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เพื่อที่ว่าเวลาจริงๆต้องมีการใช้ แต่ตอนนี้อุปกรณ์ที่มีการใช้แล้วก็คือในเรื่องของการรักษา และอุปกรณ์เห็นภาพ คืออุปกรณ์ในการสแกนสภาวะจิต ในเรื่องของกรรม มีการเห็นภาพอนาคต
เห็นภาพอนาคตนี่ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วพูดออกไปนะ คือเห็นภาพอนาคตแล้วทุกอย่างเกิดแล้ว ทุกอย่างเสร็จแล้วถึงจะมายืนยันกับตัวเอง อันนั้นก็คือเป็นเรื่องที่ท่านจะยืนยันกับตัวท่านเอง และก็มีในเรื่องของการเคลื่อนย้ายมิติ ในที่นี้มีประมาณ 10 กว่าคนที่เจอเรื่องของการเคลื่อนคนไปอีกมิติหนึ่ง จะเป็นคน หรือว่ารถทะลุมิติ ทุกอย่างมีในเว็บไซด์ UFOKAOKALA ในสิ่งที่ระบบได้ให้บันทึกไว้ เพราะว่าเขาจะใช้จุดของผู้ที่มีพื้นฐานความเข้าใจในกฎของธรรมชาติเป็นฐานเพราะเขาไม่ได้ช่วยแค่ในประเทศไทยหรือว่าจังหวัดต่างๆ เขาจะใช้เป็นฐานเพื่อให้เรามีความเข้าใจ มีความแน่น เพื่อที่จะเชื่อมต่อไปในผู้ที่มีสภาวะของภัยพิบัติทั่วโลก คือผู้ที่เขาสามารถจะช่วยได้
..............................
4.
เพราะฉะนั้นคนต่างชาติหรือผู้ที่นับถือศาสนาต่างจากเราเขาจะเข้าใจไหม ความจริงอุปกรณ์ไม่ยาก นั่นก็เพียงแค่คุณทำความเข้าใจว่านั่นเป็นของยืมมา เหมือนกับการยืมโทรศัพท์เขามาใช้ อย่าไปคิดว่านี่เป็นโทรศัพท์ของเรา คือเค้าไม่ต้องทำงานในเชิงของการประสานงาน การอธิบายขันธ์ 5 การดับทุกข์ เค้าแค่ใช้อุปกรณ์ หรือถ้ามีการเคลื่อนย้ายวัตถุหรือเคลื่อนย้ายบุคคลในการช่วยเหลือ เขาแค่เข้าใจว่ามนุษย์ต่างดาวมาช่วยเมื่อเกิดภัยพิบัติ แค่นั้นเอง ตอนนี้เป็นขั้นตอนที่เค้าส่งเครื่องมือมา ช่วงแรกเขาจะส่งเครื่องมือมาสำหรับผู้ที่ดูน่าเชื่อถือ อายุเยอะๆ อย่างเช่น อ.จักษวัชร์ (juksawat) อ.บรรพต (MOUNTAIN) ก็คืออาจารย์มีภาวะภูมิธรรมอยู่แล้ว และจากนั้นก็มีเครื่องมือมาติดตั้ง
หลักการในการทำงานกับระบบ คือ อย่าไปคิดว่าคุณทำ เพราะว่าความจริงคุณไม่ได้ทำ นี่คือกลไกที่เขาออกแบบเพื่อไม่ให้เราเสียประโยชน์ตน เวลาเราทำงานปุ๊ปเราก็จะเริ่มได้ปัญญาในการเข้าใจกลไกการทำงานของขันธ์ 5 และเราก็จะเริ่มรู้สึกว่าแท้จริงแล้วมันก็มีแค่นี้ ซึ่งเขาพยายามให้เราเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องไม่ยาก คือเราอย่าไปบีบบังคับตัวเองว่า มันยาก อันนั้นคืออย่าไปหลอกตัวเอง เพราะว่าความจริงแล้วถ้าทำให้มันง่าย มันก็ง่าย อย่างเช่นการประสานงาน ไม่ใช่ว่าเราอยากจะคิด หรืออยากจะทำเอง ถึงแม้ว่าเราจะจำได้จากการที่เคยทำไปแล้ว แต่เราต้องหยุด เพื่อให้ระบบเขาติดต่อ ให้เขาทำของเขาเอง ใครอยากไป ใครอยากมา เขาทำของเขาเอง อย่างเช่นบางท่านที่มาจากที่ไกลๆ แล้วมีความรู้สึกว่าจะต้องมา บางทีความรู้สึกแบบนี้ มันจะเป็นความรู้สึกที่ผู้ที่ต้องทำงานร่วมกับเขา จะเริ่มได้รับคลื่น คือคลื่นที่จะต้องเริ่มมาประสานงาน
คนที่จะต้องทำงานร่วมกับเขาในโครงการ ซึ่งเขาได้บอกไว้โดยประมาณคือ 5,000 คน คือเป็นคนระบบที่ระบบจะต้องประสานงานก่อน เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเขาสนใจ เขาจะมา เขาจะไป ระบบก็ต้องจัดการ คืออาจจะส่งเป็นความคิด ความรู้สึก หรือในรูปแบบใดๆก็ตาม อาจจะเป็นเหตุบังเอิญ หรือเป็นเรื่องที่ทำให้เราตัดสินใจมาให้ได้
ในตอนแรกมนุษย์ต่างดาวมาวางรากฐานเรื่องของธรรมะ จากนั้นจึงเป็นเรื่องของการใช้อุปกรณ์ ธรรมะพื้นฐานในการใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ คือคุณมีจิตอาสา และคุณไม่ยึดติดในอุปกรณ์ว่านั่นเป็นตัวเราของเรา คือไม่ยึดติดในความดีในการให้ กลไกการทำงานกับมนุษย์ต่างดาวก็มีเท่านี้ เป็นเพียงการส่งคลื่นเป็นความคิด ความรู้สึก หรือจะเป็นอุปกรณ์ หรือความเข้าใจต่างๆ ส่งมาหนึ่งต่อหนึ่ง หากใครที่ติดอุปกรณ์แล้วเกิดปรากฏการณ์อย่างไร นั่นคือคุณต้องศึกษาเอาเอง คือศึกษาว่ากลไกมันเป็นแบบนี้
อย่างเช่นบางคนติดอุปกรณ์ไปแล้วเริ่มเห็นภาพ หรือเริ่มฝัน ก็คือเห็นภาพ ภาพหายไปแล้ว ก็คือจบแค่นั้น เพราะถ้ามันจะเป็นอะไรต่อ เดี๋ยวกลไกเขาจะขับเคลื่อนไปเอง ตัวอย่างเช่น สมมุติฝันว่า น้องแอน (anneann) ไปว่าในความฝัน พอเช้าวันต่อมาเห็นหน้าน้องคนนี้แล้วก็รู้สึกไม่อยากคุยด้วย อันนี้แสดงว่าคุณเริ่มยึดติดแล้ว เขาเริ่มทดสอบจากในความฝัน เป็นเพราะอุปทานของเราเมื่อเห็นภาพ เพราะฉะนั้นระบบ กลไกของเขา เขาจะเริ่มทดสอบ และเขาจะไม่บอกให้เรารู้หรอกว่าเขาทดสอบ เพียงแต่ว่ากลไกของเรา เราต้องเข้าใจว่าเมื่ออะไรเกิดขึ้นมา เกิดแล้วก็ดับ แค่นั้น ก็คือธรรมะ ซึ่งจะเรียกว่า การรับเช็คความว่าง ยิ่งเราทำงานไปก็ยิ่งเห็นว่าไม่มีอะไร สิ่งที่เราคิดว่ามันยิ่งใหญ่มนุษย์ต่างดาวเขาก็บอกว่ามันไม่มีอะไร คือธรรมะสำคัญที่สุด
เพราะฉะนั้นคนต่างชาติหรือผู้ที่นับถือศาสนาต่างจากเราเขาจะเข้าใจไหม ความจริงอุปกรณ์ไม่ยาก นั่นก็เพียงแค่คุณทำความเข้าใจว่านั่นเป็นของยืมมา เหมือนกับการยืมโทรศัพท์เขามาใช้ อย่าไปคิดว่านี่เป็นโทรศัพท์ของเรา คือเค้าไม่ต้องทำงานในเชิงของการประสานงาน การอธิบายขันธ์ 5 การดับทุกข์ เค้าแค่ใช้อุปกรณ์ หรือถ้ามีการเคลื่อนย้ายวัตถุหรือเคลื่อนย้ายบุคคลในการช่วยเหลือ เขาแค่เข้าใจว่ามนุษย์ต่างดาวมาช่วยเมื่อเกิดภัยพิบัติ แค่นั้นเอง ตอนนี้เป็นขั้นตอนที่เค้าส่งเครื่องมือมา ช่วงแรกเขาจะส่งเครื่องมือมาสำหรับผู้ที่ดูน่าเชื่อถือ อายุเยอะๆ อย่างเช่น อ.จักษวัชร์ (juksawat) อ.บรรพต (MOUNTAIN) ก็คืออาจารย์มีภาวะภูมิธรรมอยู่แล้ว และจากนั้นก็มีเครื่องมือมาติดตั้ง
หลักการในการทำงานกับระบบ คือ อย่าไปคิดว่าคุณทำ เพราะว่าความจริงคุณไม่ได้ทำ นี่คือกลไกที่เขาออกแบบเพื่อไม่ให้เราเสียประโยชน์ตน เวลาเราทำงานปุ๊ปเราก็จะเริ่มได้ปัญญาในการเข้าใจกลไกการทำงานของขันธ์ 5 และเราก็จะเริ่มรู้สึกว่าแท้จริงแล้วมันก็มีแค่นี้ ซึ่งเขาพยายามให้เราเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องไม่ยาก คือเราอย่าไปบีบบังคับตัวเองว่า มันยาก อันนั้นคืออย่าไปหลอกตัวเอง เพราะว่าความจริงแล้วถ้าทำให้มันง่าย มันก็ง่าย อย่างเช่นการประสานงาน ไม่ใช่ว่าเราอยากจะคิด หรืออยากจะทำเอง ถึงแม้ว่าเราจะจำได้จากการที่เคยทำไปแล้ว แต่เราต้องหยุด เพื่อให้ระบบเขาติดต่อ ให้เขาทำของเขาเอง ใครอยากไป ใครอยากมา เขาทำของเขาเอง อย่างเช่นบางท่านที่มาจากที่ไกลๆ แล้วมีความรู้สึกว่าจะต้องมา บางทีความรู้สึกแบบนี้ มันจะเป็นความรู้สึกที่ผู้ที่ต้องทำงานร่วมกับเขา จะเริ่มได้รับคลื่น คือคลื่นที่จะต้องเริ่มมาประสานงาน
คนที่จะต้องทำงานร่วมกับเขาในโครงการ ซึ่งเขาได้บอกไว้โดยประมาณคือ 5,000 คน คือเป็นคนระบบที่ระบบจะต้องประสานงานก่อน เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเขาสนใจ เขาจะมา เขาจะไป ระบบก็ต้องจัดการ คืออาจจะส่งเป็นความคิด ความรู้สึก หรือในรูปแบบใดๆก็ตาม อาจจะเป็นเหตุบังเอิญ หรือเป็นเรื่องที่ทำให้เราตัดสินใจมาให้ได้
ในตอนแรกมนุษย์ต่างดาวมาวางรากฐานเรื่องของธรรมะ จากนั้นจึงเป็นเรื่องของการใช้อุปกรณ์ ธรรมะพื้นฐานในการใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ คือคุณมีจิตอาสา และคุณไม่ยึดติดในอุปกรณ์ว่านั่นเป็นตัวเราของเรา คือไม่ยึดติดในความดีในการให้ กลไกการทำงานกับมนุษย์ต่างดาวก็มีเท่านี้ เป็นเพียงการส่งคลื่นเป็นความคิด ความรู้สึก หรือจะเป็นอุปกรณ์ หรือความเข้าใจต่างๆ ส่งมาหนึ่งต่อหนึ่ง หากใครที่ติดอุปกรณ์แล้วเกิดปรากฏการณ์อย่างไร นั่นคือคุณต้องศึกษาเอาเอง คือศึกษาว่ากลไกมันเป็นแบบนี้
อย่างเช่นบางคนติดอุปกรณ์ไปแล้วเริ่มเห็นภาพ หรือเริ่มฝัน ก็คือเห็นภาพ ภาพหายไปแล้ว ก็คือจบแค่นั้น เพราะถ้ามันจะเป็นอะไรต่อ เดี๋ยวกลไกเขาจะขับเคลื่อนไปเอง ตัวอย่างเช่น สมมุติฝันว่า น้องแอน (anneann) ไปว่าในความฝัน พอเช้าวันต่อมาเห็นหน้าน้องคนนี้แล้วก็รู้สึกไม่อยากคุยด้วย อันนี้แสดงว่าคุณเริ่มยึดติดแล้ว เขาเริ่มทดสอบจากในความฝัน เป็นเพราะอุปทานของเราเมื่อเห็นภาพ เพราะฉะนั้นระบบ กลไกของเขา เขาจะเริ่มทดสอบ และเขาจะไม่บอกให้เรารู้หรอกว่าเขาทดสอบ เพียงแต่ว่ากลไกของเรา เราต้องเข้าใจว่าเมื่ออะไรเกิดขึ้นมา เกิดแล้วก็ดับ แค่นั้น ก็คือธรรมะ ซึ่งจะเรียกว่า การรับเช็คความว่าง ยิ่งเราทำงานไปก็ยิ่งเห็นว่าไม่มีอะไร สิ่งที่เราคิดว่ามันยิ่งใหญ่มนุษย์ต่างดาวเขาก็บอกว่ามันไม่มีอะไร คือธรรมะสำคัญที่สุด
...............................
5.
ก็อยากให้ทุกท่านได้ทราบว่า จริงๆกลไกการทำงานของเขา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือเรื่องอะไรก็ตาม มันจะง่ายๆและก็ตรงๆ เพราะฉะนั้นการทำงานกับระบบจึงไม่สามารถจะไปบังคับใครได้จริงๆ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าคลื่นที่ส่งที่คนๆนั้นจะเล่นแบบไหน ระบบจึงไม่ให้ไปรับผิดชอบในเรื่องของงาน เขาจะจัดสรรเอง เช่น เขาจัดสรรให้คนนี้มีอุปกรณ์แบบนี้ ก็คือคนนี้จะได้แสดงฉากนี้ การทำงานกับระบบในอนาคตข้างหน้า จึงไม่จำเป็นต้องไปกังวลว่าเราต้องทำอย่างไร หรือว่ามนุษย์ต่างดาวเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เรื่องยาก เขาบอกให้เราดูแค่ตัวเอง ถ้าไม่มีงานอะไรที่เกี่ยวกับระบบคุณก็ปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้าน แต่ถ้ามีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับงานระบบ หรือคุณติดอุปกรณ์แล้วเริ่มมีอะไรปรากฏขึ้นมาแล้วมีความสงสัย ก็สามารถสอบถามรุ่นที่ทำงานมาก่อนแล้วได้
แต่ถ้าคุณเข้าใจกลไกคุณก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรยาก ก็คือแค่ดูจิตตัวเอง ดูความคิด ดูความรู้สึกตัวเอง แล้วตัวเราเองก็จะเห็นว่า ถ้าเกิดเราดูตัวเราเองเรื่อยๆ การทำงานกับมนุษย์ต่างดาวก็เป็นการทำงานเหมือนไม่ได้ทำ ก็จะมีคำสโลแกนว่า “ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ ไปทำงานเหมือนไปเที่ยว” นั่นคือคุณสามารถทำงานกับระบบได้แบบไม่มีเออรี่ ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ ไปทำงานเหมือนไปเที่ยว นี่คือกลไกที่ควรต้องพัฒนาไปแบบนั้น ยิ่งทำงานกับระบบ กับเครื่องมือ เราต้องยิ่งรู้สึกว่ามันว่าง มันเบา แต่ถ้าทำงานไปแล้วเริ่มมีความรู้สึกในแบบ “ตัวกู-ของกู” คือเริ่มมีความรู้สึกยึดติดในอุปกรณ์ ก็จะเริ่มรู้สึกว่าเราทำงานไปเยอะ รู้สึกเหนื่อย ทำไมคนนั้นไม่ช่วยเรา.. คือเริ่มจะมีปัญหาเยอะ นั่นก็คือเป็นไปในลักษณะที่เราเริ่มยึดติดอุปกรณ์ หรือเอาใจเข้าไปรับผิดชอบงานที่เรารับผิดชอบไม่ได้ เพราะงานนี้เรารับผิดชอบไม่ได้ เนื่องจากเป็นกลไกที่ระบบจัดมา ตอนนี้เขาจัดมาเท่านี้ เช่น ตอนแรกเขาจัดเครื่องมือขับเคลื่อนระบบ ต้องมีการอธิบาย ต่อจากนั้นก็มีอุปกรณ์ต่างๆ นี่คือเขาแสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์มีอะไรบ้าง เปรียบเหมือนกับเป็นเพียงหลอดทดลอง แต่ในความจริงเขาผลิตได้เป็นโรงงาน เพียงแต่ว่าผู้ที่เขาจะสามารถช่วยได้นั้นต้องมีภาวะที่เขาจะช่วยได้ คือมีบุญบารมีในระดับที่เขาจะช่วยได้ โดยภาพรวมของการทำงานก็จะเป็นแบบนี้
การที่ใครจะประสานงานกับใครมันจะมีลักษณะเหมือนเหตุการณ์มาเอง อยู่ๆก็มีเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วเราก็ทำไป ดังนั้นกลไกต่างๆเราไม่ได้เป็นผู้ไปจัดการหรือวางแผนอย่างจริงจัง เพราะเราเพียงเล่นไปตามบท ตามสคริป พอหลายๆปีผ่านไปมันก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และก็เป็นเครือข่ายในการเชื่อมโยง และก็ไม่มีจำกัดที่เราจะต้องทำแค่นี้เท่านั้น เพราะว่าเราจะต้องทำจนเหมือนว่าเราไม่ได้ทำ คือไม่ใช่ว่า สมมุติว่าเราทำมานานตั้ง 15 ปี คือเริ่มมีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา.. แท้จริงแล้ว เราต้องทำเหมือนว่าเราเพิ่งเริ่มทำใหม่ เพราะแท้จริงแล้วที่เราทำมา มันไม่ใช่กลไกของเรา และเราก็จะทำงานกับระบบต่อไปได้เรื่อยๆ เพราะจะรู้ว่ายิ่งเราทำงานไปเราจะยิ่งเบา ยิ่งฉลาด รู้เท่าทันในเรื่องของการดับทุกข์
เพราะคุณไม่สามารถรู้ได้ว่าในช่วงเกิดภัยพิบัติ คุณจะสามารถรับมือกับความรู้สึกหดหู่ เศร้าหมอง วิตกกังวล คิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้หรือไม่ ฉะนั้น คุณก็จะมีภูมิจากคลื่นหรือ wave ที่เขาส่งมาทดสอบ อย่างเช่นในช่วงที่ฝึกก็จะมีแต่ wave ความทุกข์ทั้งนั้น เพราะว่าภัยพิบัติเมื่อเกิดก็ไม่ใช่ว่าจะฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว อาจจะต้องเป็นเดือน เป็นปี ความทุกข์ ความหดหู่ก็จะมีมาก แล้วเราพร้อมไหมที่จะสามารถรับแรงกระแทกของภาวะที่เราปรุงขึ้นมาจากขันธ์ 5 นี้ เราแค่นึกจินตนาการเราก็รู้ว่ามันต้องเกิดอยู่แล้ว อย่างเช่นสิ้นปีที่แล้ว เราเห็นภาพข่าวน้ำท่วมในทีวี น้ำท่วมมิดหลังคา 2 เมตร ความหดหู่ก็เกิดที่เรา.. แต่ว่า.. ภัยพิบัติขนาดใหญ่นี่ จะเห็นรอบตัว เห็นถ้วนทั่ว.. เห็นเป็นประจำ
คนอื่นอาจจะต้องหลบ แต่สำหรับคนที่ต้องทำงานกับระบบ คือต้องไปช่วยเหลือ คุณต้องเห็นซ้ำๆ คุณคิดว่าคุณมีภาวะที่จะทนได้ไหม หากว่าคุณไม่ได้ฝึก ไม่ได้ถูกทดสอบ.. ไม่ได้ฝึกธรรมะในการปล่อยวาง ในการที่จะเห็นความทุกข์ในขันธ์ 5 เหมือนอย่างเช่นความคิด ก็แค่เห็นว่าเป็น wave.. ก็คลื่นความทุกข์มันเข้ามา ไม่ใช่ของเรา wave อัดมาเป็นคลื่นความคิด ความกังวล หรือความกลัวต่างๆนานา.. เราจะรู้ว่าเรามีภาวะของความต้านทานมากขึ้นกว่าเดิม นี่คือเป็นประโยชน์ที่เราเห็นได้ในปัจจุบัน
ก็อยากให้ทุกท่านได้ทราบว่า จริงๆกลไกการทำงานของเขา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือเรื่องอะไรก็ตาม มันจะง่ายๆและก็ตรงๆ เพราะฉะนั้นการทำงานกับระบบจึงไม่สามารถจะไปบังคับใครได้จริงๆ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าคลื่นที่ส่งที่คนๆนั้นจะเล่นแบบไหน ระบบจึงไม่ให้ไปรับผิดชอบในเรื่องของงาน เขาจะจัดสรรเอง เช่น เขาจัดสรรให้คนนี้มีอุปกรณ์แบบนี้ ก็คือคนนี้จะได้แสดงฉากนี้ การทำงานกับระบบในอนาคตข้างหน้า จึงไม่จำเป็นต้องไปกังวลว่าเราต้องทำอย่างไร หรือว่ามนุษย์ต่างดาวเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เรื่องยาก เขาบอกให้เราดูแค่ตัวเอง ถ้าไม่มีงานอะไรที่เกี่ยวกับระบบคุณก็ปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้าน แต่ถ้ามีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับงานระบบ หรือคุณติดอุปกรณ์แล้วเริ่มมีอะไรปรากฏขึ้นมาแล้วมีความสงสัย ก็สามารถสอบถามรุ่นที่ทำงานมาก่อนแล้วได้
แต่ถ้าคุณเข้าใจกลไกคุณก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรยาก ก็คือแค่ดูจิตตัวเอง ดูความคิด ดูความรู้สึกตัวเอง แล้วตัวเราเองก็จะเห็นว่า ถ้าเกิดเราดูตัวเราเองเรื่อยๆ การทำงานกับมนุษย์ต่างดาวก็เป็นการทำงานเหมือนไม่ได้ทำ ก็จะมีคำสโลแกนว่า “ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ ไปทำงานเหมือนไปเที่ยว” นั่นคือคุณสามารถทำงานกับระบบได้แบบไม่มีเออรี่ ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ ไปทำงานเหมือนไปเที่ยว นี่คือกลไกที่ควรต้องพัฒนาไปแบบนั้น ยิ่งทำงานกับระบบ กับเครื่องมือ เราต้องยิ่งรู้สึกว่ามันว่าง มันเบา แต่ถ้าทำงานไปแล้วเริ่มมีความรู้สึกในแบบ “ตัวกู-ของกู” คือเริ่มมีความรู้สึกยึดติดในอุปกรณ์ ก็จะเริ่มรู้สึกว่าเราทำงานไปเยอะ รู้สึกเหนื่อย ทำไมคนนั้นไม่ช่วยเรา.. คือเริ่มจะมีปัญหาเยอะ นั่นก็คือเป็นไปในลักษณะที่เราเริ่มยึดติดอุปกรณ์ หรือเอาใจเข้าไปรับผิดชอบงานที่เรารับผิดชอบไม่ได้ เพราะงานนี้เรารับผิดชอบไม่ได้ เนื่องจากเป็นกลไกที่ระบบจัดมา ตอนนี้เขาจัดมาเท่านี้ เช่น ตอนแรกเขาจัดเครื่องมือขับเคลื่อนระบบ ต้องมีการอธิบาย ต่อจากนั้นก็มีอุปกรณ์ต่างๆ นี่คือเขาแสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์มีอะไรบ้าง เปรียบเหมือนกับเป็นเพียงหลอดทดลอง แต่ในความจริงเขาผลิตได้เป็นโรงงาน เพียงแต่ว่าผู้ที่เขาจะสามารถช่วยได้นั้นต้องมีภาวะที่เขาจะช่วยได้ คือมีบุญบารมีในระดับที่เขาจะช่วยได้ โดยภาพรวมของการทำงานก็จะเป็นแบบนี้
การที่ใครจะประสานงานกับใครมันจะมีลักษณะเหมือนเหตุการณ์มาเอง อยู่ๆก็มีเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วเราก็ทำไป ดังนั้นกลไกต่างๆเราไม่ได้เป็นผู้ไปจัดการหรือวางแผนอย่างจริงจัง เพราะเราเพียงเล่นไปตามบท ตามสคริป พอหลายๆปีผ่านไปมันก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และก็เป็นเครือข่ายในการเชื่อมโยง และก็ไม่มีจำกัดที่เราจะต้องทำแค่นี้เท่านั้น เพราะว่าเราจะต้องทำจนเหมือนว่าเราไม่ได้ทำ คือไม่ใช่ว่า สมมุติว่าเราทำมานานตั้ง 15 ปี คือเริ่มมีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา.. แท้จริงแล้ว เราต้องทำเหมือนว่าเราเพิ่งเริ่มทำใหม่ เพราะแท้จริงแล้วที่เราทำมา มันไม่ใช่กลไกของเรา และเราก็จะทำงานกับระบบต่อไปได้เรื่อยๆ เพราะจะรู้ว่ายิ่งเราทำงานไปเราจะยิ่งเบา ยิ่งฉลาด รู้เท่าทันในเรื่องของการดับทุกข์
เพราะคุณไม่สามารถรู้ได้ว่าในช่วงเกิดภัยพิบัติ คุณจะสามารถรับมือกับความรู้สึกหดหู่ เศร้าหมอง วิตกกังวล คิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้หรือไม่ ฉะนั้น คุณก็จะมีภูมิจากคลื่นหรือ wave ที่เขาส่งมาทดสอบ อย่างเช่นในช่วงที่ฝึกก็จะมีแต่ wave ความทุกข์ทั้งนั้น เพราะว่าภัยพิบัติเมื่อเกิดก็ไม่ใช่ว่าจะฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว อาจจะต้องเป็นเดือน เป็นปี ความทุกข์ ความหดหู่ก็จะมีมาก แล้วเราพร้อมไหมที่จะสามารถรับแรงกระแทกของภาวะที่เราปรุงขึ้นมาจากขันธ์ 5 นี้ เราแค่นึกจินตนาการเราก็รู้ว่ามันต้องเกิดอยู่แล้ว อย่างเช่นสิ้นปีที่แล้ว เราเห็นภาพข่าวน้ำท่วมในทีวี น้ำท่วมมิดหลังคา 2 เมตร ความหดหู่ก็เกิดที่เรา.. แต่ว่า.. ภัยพิบัติขนาดใหญ่นี่ จะเห็นรอบตัว เห็นถ้วนทั่ว.. เห็นเป็นประจำ
คนอื่นอาจจะต้องหลบ แต่สำหรับคนที่ต้องทำงานกับระบบ คือต้องไปช่วยเหลือ คุณต้องเห็นซ้ำๆ คุณคิดว่าคุณมีภาวะที่จะทนได้ไหม หากว่าคุณไม่ได้ฝึก ไม่ได้ถูกทดสอบ.. ไม่ได้ฝึกธรรมะในการปล่อยวาง ในการที่จะเห็นความทุกข์ในขันธ์ 5 เหมือนอย่างเช่นความคิด ก็แค่เห็นว่าเป็น wave.. ก็คลื่นความทุกข์มันเข้ามา ไม่ใช่ของเรา wave อัดมาเป็นคลื่นความคิด ความกังวล หรือความกลัวต่างๆนานา.. เราจะรู้ว่าเรามีภาวะของความต้านทานมากขึ้นกว่าเดิม นี่คือเป็นประโยชน์ที่เราเห็นได้ในปัจจุบัน
..........................................
6.
บุญอะไรที่จะรวดเร็ว ก็จะไม่เท่ากับบุญวิปัสสนา ถ้าหากเคยอ่านตามตำรา.. คือบุญทุกอย่างควรทำ อย่างบุญจากการทำทาน เราอาจจะต้องรอผล อย่างเช่น ทำทานวันนี้ พรุ่งนี้จะไปซื้อหวย.. ซึ่งบุญก็คงจะไม่ส่งผลเร็วขนาดนั้น มันก็ต้องมีกลไกของมัน.. การรักษาศีล ก็ได้บุญมากขึ้นกว่าการทำทาน.. แต่ถ้าคุณวิปัสสนา หรือการเห็นภายในตัวคุณเอง คุณก็เปลี่ยนไปในวินาทีนั้นที่คุณเห็น บุญส่งผลในวินาทีที่คุณคิดถูก อย่างเช่นถ้าคุณคิดบวก เปลี่ยนความคิด บุญก็ส่งผลทันที..
..แล้วถ้าหากว่าคุณสักแต่เห็น ความคิดความรู้สึกก็เป็นเพียงความคิดความรู้สึก บุญก็จะส่งผลทันตาเห็น ณ ตอนนั้น นี่คือสิ่งที่ระบบบอกไว้ว่าควรทำ เพราะถ้าเกิดคุณมีบุญพอที่เขาจะช่วยได้ เขาก็สามารถช่วยคุณได้เพราะว่าเขามาเพื่อช่วย และที่เขามาช่วยก็ไม่ใช่ว่ามนุษย์ต่างดาวทุกคนเลอเลิศ คือมีผู้ที่มีภูมิในการวางรากฐานในระดับอาจารย์ก็มี อย่างในสมัยก่อนสมัยที่ฝึกก็จะมีจานบินบินมาตรวจ เราก็จะคิดว่าเป็นครูมาตรวจ พอตอนหลังระบบก็เฉลยว่าความจริงแล้วเป็นนักเรียนทั้งนั้น.. คือมนุษย์ต่างดาวเขาก็ต้องเรียนรู้ในเรื่องของการปล่อยวาง เขาก็มาทำงาน คือทั้งสละด้วย รวมทั้งมาดูงาน คือเค้าดูขันธ์ 5 ที่มนุษย์ยึดติด เกิดการปรุงแต่ง และทำร้ายตัวเอง โดยความไม่รู้เท่าทันธรรมชาติ มนุษย์ต่างดาวเขาก็เรียนรู้จากตรงนั้น และเรียนรู้เรื่องการปล่อยวาง คือครูของมนุษย์ต่างดาวก็จะไปสอนกันเอง ก็คงจะเห็นภาพรวมว่าเราทำงานกันมาได้อย่างไร ซึ่งไม่มีใครจะไปบังคับใครได้ อย่าง อ.สุดใจ ปกติงานแบบนี้ อ.สุดใจ ต้องมา แต่งานนี้เขามี wave หยุด คืองานนี้ไม่ต้องมาเข้าฉาก
หรืออย่างเช่น อ.สมจิตร ก็จะไม่มี wave ให้ออกไปไหน เพราะว่าเขาเป็นแผนกพื้นที่ หรือถ้าใครเดินทางมาที่เขากะลา อ.สมจิตร ก็จะพาเดินทางขึ้น-ลงเขา.. คืองานทุกคนทำตามจุด ตามงาน
จะยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องของ “ตัว copy” ซึ่งมีตัวอย่างอยู่ในเว็บไซด์.. ซึ่งต่อไประบบจะเอาไปใช้ทำงาน อย่างเช่น ตัว copy ของ อ.สมจิตร ที่มางานวิทยาศาสตร์ทางจิตที่พันธุ์ทิพย์พลาซ่างามวงศ์วานเมื่อปีที่แล้ว แต่ความจริง อ.สมจิตร อยู่บ้านที่สันคู นครสวรรค์.. ตัว copy จะเป็นคนที่หน้าตาคุ้นเคย ซึ่งระบบจะนำไปใช้ในการปรากฏในที่ต่างๆ ในช่วงที่เกิดภัยพิบัติ คือระบบจะไม่ใช้แรงงานเราเกินลิมิต เพราะเค้าจะมีตัว copy แต่เราจะเป็นเหมือนนักแสดง มีหน้าตาที่คุ้นเคย ตัวอย่างเช่น คุณพีทแสดงหนังเรื่องนึง ก็ไม่ได้ฉายแค่โรงเดียว ก็จะมีการ copy ไปหลายๆที่ ผู้คนก็จะคุ้นเคย.. นี่คือสิ่งที่เขาเตรียมไว้สำหรับการช่วยเหลือในอนาคต
บุญอะไรที่จะรวดเร็ว ก็จะไม่เท่ากับบุญวิปัสสนา ถ้าหากเคยอ่านตามตำรา.. คือบุญทุกอย่างควรทำ อย่างบุญจากการทำทาน เราอาจจะต้องรอผล อย่างเช่น ทำทานวันนี้ พรุ่งนี้จะไปซื้อหวย.. ซึ่งบุญก็คงจะไม่ส่งผลเร็วขนาดนั้น มันก็ต้องมีกลไกของมัน.. การรักษาศีล ก็ได้บุญมากขึ้นกว่าการทำทาน.. แต่ถ้าคุณวิปัสสนา หรือการเห็นภายในตัวคุณเอง คุณก็เปลี่ยนไปในวินาทีนั้นที่คุณเห็น บุญส่งผลในวินาทีที่คุณคิดถูก อย่างเช่นถ้าคุณคิดบวก เปลี่ยนความคิด บุญก็ส่งผลทันที..
..แล้วถ้าหากว่าคุณสักแต่เห็น ความคิดความรู้สึกก็เป็นเพียงความคิดความรู้สึก บุญก็จะส่งผลทันตาเห็น ณ ตอนนั้น นี่คือสิ่งที่ระบบบอกไว้ว่าควรทำ เพราะถ้าเกิดคุณมีบุญพอที่เขาจะช่วยได้ เขาก็สามารถช่วยคุณได้เพราะว่าเขามาเพื่อช่วย และที่เขามาช่วยก็ไม่ใช่ว่ามนุษย์ต่างดาวทุกคนเลอเลิศ คือมีผู้ที่มีภูมิในการวางรากฐานในระดับอาจารย์ก็มี อย่างในสมัยก่อนสมัยที่ฝึกก็จะมีจานบินบินมาตรวจ เราก็จะคิดว่าเป็นครูมาตรวจ พอตอนหลังระบบก็เฉลยว่าความจริงแล้วเป็นนักเรียนทั้งนั้น.. คือมนุษย์ต่างดาวเขาก็ต้องเรียนรู้ในเรื่องของการปล่อยวาง เขาก็มาทำงาน คือทั้งสละด้วย รวมทั้งมาดูงาน คือเค้าดูขันธ์ 5 ที่มนุษย์ยึดติด เกิดการปรุงแต่ง และทำร้ายตัวเอง โดยความไม่รู้เท่าทันธรรมชาติ มนุษย์ต่างดาวเขาก็เรียนรู้จากตรงนั้น และเรียนรู้เรื่องการปล่อยวาง คือครูของมนุษย์ต่างดาวก็จะไปสอนกันเอง ก็คงจะเห็นภาพรวมว่าเราทำงานกันมาได้อย่างไร ซึ่งไม่มีใครจะไปบังคับใครได้ อย่าง อ.สุดใจ ปกติงานแบบนี้ อ.สุดใจ ต้องมา แต่งานนี้เขามี wave หยุด คืองานนี้ไม่ต้องมาเข้าฉาก
หรืออย่างเช่น อ.สมจิตร ก็จะไม่มี wave ให้ออกไปไหน เพราะว่าเขาเป็นแผนกพื้นที่ หรือถ้าใครเดินทางมาที่เขากะลา อ.สมจิตร ก็จะพาเดินทางขึ้น-ลงเขา.. คืองานทุกคนทำตามจุด ตามงาน
จะยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องของ “ตัว copy” ซึ่งมีตัวอย่างอยู่ในเว็บไซด์.. ซึ่งต่อไประบบจะเอาไปใช้ทำงาน อย่างเช่น ตัว copy ของ อ.สมจิตร ที่มางานวิทยาศาสตร์ทางจิตที่พันธุ์ทิพย์พลาซ่างามวงศ์วานเมื่อปีที่แล้ว แต่ความจริง อ.สมจิตร อยู่บ้านที่สันคู นครสวรรค์.. ตัว copy จะเป็นคนที่หน้าตาคุ้นเคย ซึ่งระบบจะนำไปใช้ในการปรากฏในที่ต่างๆ ในช่วงที่เกิดภัยพิบัติ คือระบบจะไม่ใช้แรงงานเราเกินลิมิต เพราะเค้าจะมีตัว copy แต่เราจะเป็นเหมือนนักแสดง มีหน้าตาที่คุ้นเคย ตัวอย่างเช่น คุณพีทแสดงหนังเรื่องนึง ก็ไม่ได้ฉายแค่โรงเดียว ก็จะมีการ copy ไปหลายๆที่ ผู้คนก็จะคุ้นเคย.. นี่คือสิ่งที่เขาเตรียมไว้สำหรับการช่วยเหลือในอนาคต
..................................
7.
จบ
(มีคนถาม) เทพ กับ มนุษย์ต่างดาว ต่างกันอย่างไร?
(อ.วาสนา ตอบ) .. อย่างดาวพลูโต ก็จะมีถิ่นที่อยู่ที่เราดูในแผนที่ได้ คือเค้าเป็นมนุษย์ที่อยู่ดาวนี้ แต่ลักษณะของมนุษย์ต่างดาวที่ดาวพลูโตจะเป็นลักษณะของคลื่นพลังงาน คือไม่ได้เป็นกายเนื้อหยาบๆแบบเรา
มนุษย์ต่างดาวจากดาวโลกุ ก็เคยมีภาพวาดสเก็ตไว้
เป็นมนุษย์ที่มีกายหยาบเหมือนเรา แต่มีลักษณะของความละเอียดในการรับคลื่น คือเขาก็จะเกิดตามภพภูมิของเขา แต่ว่าอยู่ในภาวะความเป็นมนุษย์ คือไม่ได้อยู่ในเทพ ชั้นที่ 1 2 3 แบบที่เราคิด
(มีคนถาม) เทพ กับ มนุษย์ต่างดาว ต่างกันอย่างไร?
(อ.วาสนา ตอบ) .. อย่างดาวพลูโต ก็จะมีถิ่นที่อยู่ที่เราดูในแผนที่ได้ คือเค้าเป็นมนุษย์ที่อยู่ดาวนี้ แต่ลักษณะของมนุษย์ต่างดาวที่ดาวพลูโตจะเป็นลักษณะของคลื่นพลังงาน คือไม่ได้เป็นกายเนื้อหยาบๆแบบเรา
มนุษย์ต่างดาวจากดาวโลกุ ก็เคยมีภาพวาดสเก็ตไว้
เป็นมนุษย์ที่มีกายหยาบเหมือนเรา แต่มีลักษณะของความละเอียดในการรับคลื่น คือเขาก็จะเกิดตามภพภูมิของเขา แต่ว่าอยู่ในภาวะความเป็นมนุษย์ คือไม่ได้อยู่ในเทพ ชั้นที่ 1 2 3 แบบที่เราคิด
(มีคนถาม) แล้วสามารถสเก็ตภาพมนุษย์ต่างดาวได้อย่างไร?
(อ.วาสนา ตอบ) ก่อนหน้านั้นก็จะมีคุณพ่อ (จ่าสิบเอกเชิด ชื่นสำนวน) รับคลื่นจากทางโทรจิต คือจริงๆผู้ที่มีสมาธิที่สามารถรับคลื่นจากมนุษย์ต่างดาวได้มีเยอะ บางท่านก็อาจจะทำการติดต่อกัน แต่อาจจะเป็นในรูปแบบที่ท่านไม่ได้เปิดเผย.. ต่อไปข้างหน้าเราก็จะได้เห็นมนุษย์ต่างดาวออกมาช่วยคนเยอะ เพราะว่าถึงเวลาที่เขาต้องช่วย เขาจะมาปรากฏ
..............................