วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มนุษย์ต่างดาวกับการเตือนภัยบนโลกใบนี้


มนุษย์ต่างดาว....กล่าวถึง....ภัยพิบัติ

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

เป็นชื่อกลุ่ม  ที่มนุษย์ต่างดาวสื่อสารข้อมูลมาให้ใช้ชื่อนี้  ตั้งแต่วันที่ เมษายน  2547  เป็นต้นมา

เรียกว่า.....เป็นวันแรกของการเข้าสู่ระบบทำงาน.....ร่วมกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา
เพราะก่อนหน้านั้น  อยู่ในขั้นตอนการเรียน  การคัดเลือกบุคคล การฝึก  
ซึ่งมีปฏิบัติธรรม  การฝึกจิตเพื่อปล่อยวาง   และการฝึกรับข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาว  ควบคู่กันไป
โดยการฝึกแบบเป็นกลุ่ม....เริ่มต้นที่เขากะลา  
และการฝึกเดี่ยว....ของบุคคลมากมายที่ระบบวางไว้  กระจายอยู่ทั่วไปตามจุดต่าง ๆ ทั่วโลก 
 
 

ชื่อ   กลุ่มเขากะลา  เริ่มมีการใช้มา  ตั้งแต่ปี   2541  ซึ่งเป็นที่ตั้งของ  กองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว  บนเขากะลา
 
มาเปลี่ยนใช้ชื่อเป็น  กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)  เมื่อวันที่  1 เมษายน  2547
 
ประเดิมเริ่มแรก  ของชื่อกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
 
ปีแรกที่เปลี่ยนชื่อ  คือเข้าสู่ระบบการเตือนภัย  ก็เกิดสึนามิครั้งใหญ่ขึ้นมา

วันที่   26 ธันวาคม 2547  เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ให้เห็น  ในเอเซียนี่เอง  
ทั้งในประเทศไทย  และอีกหลายประเทศ  มีการสูญเสียกันมากมาย
 
ซึ่งระบบ  ให้กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ไปออกรายการ V.I.P. เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2547  ตามที่ได้ติดต่อมา  พร้อมกับ ศ.ดร.นพ.เทพนม  เมืองแมน   เรื่องการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา  และการมาโลกมนุษย์เพื่อเตือนภัยพิบัติ  และให้ความช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติบนโลกใบนี้

ตอนสัมภาษณ์นั้น  ใครจะรู้บ้างว่า   ภัยพิบัติทางน้ำครั้งใหญ่กำลังใกล้จะมาถึง
 
สัมภาษณ์และบันทึกรายการ  16 ธันวาคม 2547  
สึนามิถล่มชายฝั่งอันดามัน  26  ธันาคม  2547
 
ห่างกันเพียง 10  วัน  

 
การกล่าวถึงภัยพิบัตในวันนั้น  จึงเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า
การรู้ล่วงหน้า ...... มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
 
 

เพียงแต่  การที่จะเข้าไปแทรกแซงในแรงกรรม  ตามกาลเวลาที่ต้องเกิดขึ้น  ณ ที่นั้น ๆ   มันทำไม่ได้  มันช่วยกันไม่ได้   ไปขัดขวางไม่ได้  เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด   
 
กลไกของธรรมชาติ  ของไกของจักรวาล   เป็นกลไกที่ยิ่งใหญ่  ต้องเป็นไปตามกรรม  วิบากกรรมนั้น ๆ 
 
ซึ่งตอนนี้  แรงกรรมทั้งหลาย  ได้กระจาย  ได้ส่งผลไปทั่วโลกแล้ว  ภัยพิบัติได้ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นมากมาย   กรรมทั้งหลาย  จึงให้ผล   จึงมุ่งไปในประเทศที่สร้างแรงกรรมเหล่านั้น
  

แม้จะช่วยไม่ได้  เพราะมนุษย์โลกส่วนใหญ่ต้องไปตามกรรมเหล่านั้น
 
แต่ยังมีผู้ที่มีบารมี  ผู้ที่สร้างกรรมดีไว้อีกมากมาย  ที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องสูญสลายไปกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น  ยังมีบารมีมากพอที่จะอยู่ต้องอยู่  เพื่อดำรงรักษาเผ่าพันธ์ของมนุษยชาติไว้  และเริ่มเข้าสู่กลไกของธรรมชาติ   ยกระดับจิตเพื่อการคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้ง
 
กฏของธรรมชาติ  ก็ต้องดูแล  รวมถึงเทพทั้งหลาย  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย  ก็ต้องดลใจให้บุคคลนั้น ๆ  ระลึกรู้และ ตระหนักถึงเรื่องของภัยพิบัติ   แล้วหันหน้าเข้าหาธรรมเป็นที่พึ่ง  มาเรียนรู้กฏธรรมชาติ  มาปฏิบัติตามบารมีเก่าที่สะสมมา  เพื่อจะนำพากันเข้าสู่ยุคใหม่   เข้าสู่ยุคศิวิไล  คือยุคทองอีกครั้งหนึ่ง
 
 
และนับจากนั้นมา ภัยทางธรรมชาติเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง  เรื่อยมา   จนหลายคนเริ่มตระหนักว่า  ธรรมชาติที่เคยสงบ  เคยร่มเย็น   จะไม่กลับมาให้เห็นอีกแล้ว  มีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น  มากขึ้น
 
จนถึงปัจจุบัน  ภัยทั้งหลายในธาตุทั้ง 4 กลายเป็นภัยพิบัติรายวันไปแล้ว
 
มนุษย์ต่างดาว  เคยกล่าวถึงเรื่องของภัยพิบัติในภาพรวมของโลกใบนี้ไว้หลายครั้ง  เมื่อมีผู้ถาม  ว่าต่อไปเหตุการณ์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นมากมาย   ตั้งแต่ในตอนที่ยังไม่เคยมีเหตุการแผ่นดินไหว  ภูเขาไฟระเบิด  น้ำท่วม  หรือทอนาโด พายุถล่มมากมายอย่างในวันนี้
 
จะขอนำการกล่าวถึงภัยพิบัติบนโลกใบนี้  ของมนุษย์ต่างดาว  ที่ได้เคยกล่าวไว้  ในปี 2541  บนเขากะลา
 
 

และบอกถึง ที่มาของเหตุภัยพิบัติ  ว่าเกิดจากอะไร  แรงกรรมมีอานุภาพมากแค่ไหน  มนุษย์จึงต้องเผชิญกับมหันตภัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นนี้.
 

 
ขอให้ท่านผู้อ่าน  ใช้วิจารณญาณในการอ่าน  ในการรับรู้ข้อมูล  แล้วไตร่ตรองในข้อมูลที่ได้รับมานี้  ควรเชื่อหรือไม่  อย่างใด

อย่าได้ตื่นตระหนกใด ๆ   ควรทำความเข้าใจ  ว่าเหตุใด ...ภัยพิบัติจึงต้องเกิดขึ้นกับโลกใบนี้

แล้วถามตัวเองว่า  ถึงเวลาหรือยัง  ทีเราจะหันมาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังสักที.

................................


การให้โอวาท  จากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  บนเขากะลา  เมื่อวันที่  5 กันยายน  2541
การให้โอวาทในวันนี้  มีการเปิดมิติให้เห็นกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว  เป็นครั้งแรกด้วย

ขอนำการตอบคำถาม  ในเรื่องราวของภัยพิบัติต่าง ๆ มาให้ได้รับทราบในบางส่วนค่ะ

......................

(คุณภัทรพล)  สงครามโลกเกิดก่อน  หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดก่อนครับ

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้น  ทางด้านการเกิดเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเจ้าที่มีบารมีก็จะรับรู้   จะสังเกตุได้    เริ่มเตือนจากทางน้ำ  ทางดิน  ทางลม มีอยู่แล้ว  แต่ภัยพิบัติที่เป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่  ยิ่งใหญ่ถึงจะกวาดล้างมนุษยชาติไปเกือบ 100 %  นั้น  จะต้องเกิดหลังสงครามโลกของเจ้า  รบราฆ่าฟันกันลงไป  ทำให้ภัยพิบัตินั่นคือจุดสูงสุด  สุดขีดของแรงกรรม  กฎของธรรมชาติจึงจะกวาดล้างอีกครั้งหนึ่ง
 
นั่นคือสงครามโลกของเจ้าจะเกิดขึ้นก่อน   ซึ่งตอนนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว  แต่เป็นลักษณะของการเตรียมการ  การรวบรวม  การประมวลผล  การทดสอบ  การหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน....

................................


(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) สิ่งที่เจ้าได้เคยพูดมา  ที่เจ้าได้เคยศึกษามา   แกนโลกเอียง  มันไม่ใช่เอียงโดยไม่มีสาเหตุหรอกนะ  เนื่องจากแรงกรรมอันสูงสุด  ทำให้วงโคจรของโลกของเจ้า  ของดวงดาวของเจ้าในระบบสุริยะ  มันเกิดการแปรปรวน  เหตุเกิดจากกรรม  ....  กรรมดำ ... ที่สะสมกันมามากกว่า 70 % มันส่งผล  ส่งผลระดับโลก  ระดับจักรวาล  
 
สิ่งที่พวกเจ้าคิดไม่ถึง  คิดว่าเป็นธรรมชาตินั้น  มันไม่ใช่  จุดกำเนิดเกิดจากกรรมดำ มันมีอำนาจมากเพราะสั่งสมกันไปทั้งโลก  มันก็เลยส่งผลถึงจักรวาล  ทำให้เดือดร้อน ทำให้แกนโลกของเจ้าเอียง  
 
มันมาจากจุดเล็ก ๆ เหมือนน้ำหยดหนึ่ง  หยดกันเข้าไป  เป็นเดือนเป็นปี  มันก็เต็มโอ่ง  เป็นปี  เป็นหลายสิบปี  มันก็เต็มแท็งก์  แต่กรรมที่พวกเจ้าทำกันไว้นั้น  เป็นปี  เป็นหลายสิบปี มันก็รวมกัน  จากกระแสกรรมของต่างคนเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมกันส่งผลถึงทั้งโลก  ส่งผลถึงทั้งจักรวาล  มันไม่น่าเกี่ยวกันได้  แต่มันก็เกี่ยวกัน   
 
ตอนนี้มันกลียุค  มันสั่นสะเทือนไปทั้งจักรวาลแล้ว  ไม่งั้นข้าพเจ้าคงไม่มาหรอก  ข้าพเจ้าอยู่โน่น  ไกลกว่าเจ้า  เทคโนโลยีของพวกเจ้าไปไม่ถึงข้าพเจ้า  แต่กรรมของเจ้ามันไปถึงแล้ว  มันเป็นเรื่องเหลือวิสัยของพวกเจ้าที่จะคิดกัน  เทคโนโลยี ยานอวกาศของพวกเจ้ากี่หมื่นกี่แสนปีก็ไปไม่ถึงข้าพเจ้า  เป็นจุลไปหมดก่อนที่จะไปถึง  
 
แต่กรรม  กรรมมันไปถึงแล้ว  มันกระจายไปทั่วจักรวาลแล้ว  มันส่งผลถึงสนามแม่เหล็กบิดแกนโลกเอียง  เออ...กรรมดำนี่มันมีอานุภาพนะ
 
 

(คุณภัทรพล)  ..... ร้ายแรงกว่าปรมณู
 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  .... นั่นแหละ  มันร้ายแรง  อะไรที่เป็นคนกดจุดปรมณูเจ้ารู้ไหม ก็กรรมนั่นแหละ  กรรมดำนั่นแหละมันไปกด  กด  กด  และปรมณูมันก็ระเบิด   สิ่งที่เป็นเหตุ  มันอยู่ที่กรรมดำ  เพราะฉะนั้น  ไอ้คนที่กดนั่นแหละมันก็มีกรรมดำเป็นเหตุอยู่  มันถึงสามารถกดได้
 
แต่สิ่งนี้  ทวยเทพที่เขามาแก้นี้  จะมาแก้กรรมดำ  เรามาช่วยกัน....แก้กรรมดำ ...แต่มันไม่สามารถหยุดยั้งกรรมดำทั้งมากได้หรอกนะ
 
 

(คุณภัทรพล) ที่ว่าภัยจากน้ำนี้  ไม่ทราบว่าอันดับต่อไป  น้ำนี้จะทำยังไงบ้างครับ  เพราะภัยจากน้ำ  มีหลายแบบเหลือเกิน  น้ำท่วม  คลื่นสึนามิ  ลานีย่า
 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ไอ้เศษ ๆ ที่มันเกิดขึ้นเป็นการเตือนนั้น  มันไม่ได้ 10 ส่วน ใน 100 ส่วนหรอกนะ  มันไม่ถึง   ไอ้คลื่นที่ชาวต่างชาติของเจ้าได้รับการประสบนั้น  มันเป็นการทำตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของธรรมชาติ  ที่ถึงกำหนดแรงกรรมของเขา  

 
แต่ผู้มีบารมี  ได้รับรู้  รับเห็น  จากการสื่อสารของเจ้า  ก็จะเป็นเครื่องเตือนใจ  เป็นตัวอย่างให้เห็น  เพราะสิ่งที่พวกเจ้าจะไม่เคยพบเคยเห็นนั้น  จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า  
 
 
ไม่ว่าความเจริญทางด้านเทคโนโลยีสูงสุดจากต่างจักรวาล  

และภัยพิบัติสูงสุดจากโลกของเจ้า

.........................................


(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)   ข้าพเจ้าได้บอกไปในกาลก่อนแล้วว่า  ภัยธรรมชาตินั้น  มันจะมีขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ทุกวินาที  มันเกิดขึ้นอยู่  เมื่อโลกของเจ้านะ  กลม ๆ อย่างนี้นะ  จุดตรงกลางเจ้ารู้มั๊ย...จุดกลางมันเป็นความร้อน  ความร้อนอย่างมาก  เมื่อได้เวลาของกรรมดำของเจ้า  มันจะปะทุจากข้างในออกมา  จนถึงผิวเปลือกของเจ้า  ข้างนอกของเจ้าเป็นน้ำ  เป็นดิน  เป็นธาตุเย็น  แต่ข้างในล่ะ  มันเป็นธาตุร้อน   เพราะฉะนั้น ธาตุร้อนที่อยู่ในพื้นพิภพนั้น  พอได้เวลาที่กรรมดำของพวกเจ้ามันรวมกันไปในส่วนมาก  มันก็จะดึงดูดเอาธาตุร้อนนั้นมาปะทุ  ในจุดที่มันเป็นกรรมหนัก  อย่างที่พวกเจ้าพบกันว่า  เป็นภูเขาไฟใต้น้ำนั่นแหละ  มันคือการปะทุของแรงกรรม
 
เพราะฉะนั้น  ทั่วโลก  ทั่วสากลจักรวาลของเจ้า  มันสามารถปะทุได้ทุกที่  ทั้งประเทศที่ไม่มีภูเขาไฟ  หรือประเทศที่มีภูเขาไฟ  ทั้งในใต้น้ำ  ทั้งในใต้พื้นดิน   มันจะมีรอยแตก  รอยปะทุนั้นเป็นไปได้ทั้งหมด
 
 
........
 
(คุณภัทรพล)  ....ที่ว่าน้ำจะกระฉอกทั้งโลก

 
 

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  .... น้ำที่มันจะกระฉอกไปทั่วทั้งโลกนั้น  โดยทั่วถึงกัน  พร้อมกัน   ในเวลาใกล้เคียงกันนั้น  มันต้องมาจากแรงกรรมของพวกเจ้า  ที่ดึงดูดวัตถุที่มาจากนอกโลก  วัตถุนั้นมันมาตามกรรมดำของพวกเจ้านั่นแหละ
 
(คุณสมจิตร)  ที่ว่าดาวหางหรือคะ
 
 

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ...มันไม่ใช่ดาวหางหรอกนะ  มันเป็นสะเก็ดดาว  เป็นอุกกาบาต  มันมาตามแรงกรรม  มันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง  
 
เหมือนต้นไม้  เหมือนก้อนหินในโลกของเจ้าน่ะแหละ  แต่มันลอยอยู่นอกโลก  รอเวลา  ไอ้โลกอันไหนมันถึงเวลาข้าก็จะไป  โลกอันนี้ถึงเวลาข้าก็มา..ตูม..ตูม
 
เพราะฉะนั้น  เจ้าได้ถามถึงเรื่องของน้ำ  ธาตุน้ำจะกระฉอกกันทั่วทั้งโลกนั้น  ถ้าทั่วทั้งโลกในเวลาใกล้เคียงกันนั้น  ข้าพเจ้าก็จะบอกสาเหตุ  ว่ามาจากวัตถุที่มาจากนอกโลก  นั่นคือธรรมชาติอันหนึ่ง  เขามาตามแรงกรรมของเขา  ไม่มีใครกลั่นแกล้งเจ้า  แต่พวกเจ้าสั่งสมแรงกรรมกันเป็นส่วนมากถึง 70 % หรือมากกว่านั้น  เขาจึงดึงดูดแรงกรรม  แต่นั่นจะมาในระยะท้ายของภัยพิบัติ  เพราะฉะนั้น  สิ่งที่เขามานั้น  มันจะกวาดล้าง  กวาดล้างกันไปเกือบทุกชีวิต  ยกเว้นในบางชีวิตที่มีการเตรียมการอยู่ในที่ที่ปลอดภัย  โดยเทพที่มีญาณหยั่งรู้  มีการเตรีมการไว้ก่อน  
 
แต่ชีวิตที่เหลือโดยบังเอิญนั้น  ก็จะเป็นบ้าเป็นบอกันไป  เพราะทนไม่ได้ในการที่ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนร่วมประเทศ  เพื่อนร่วมจังหวัด  เพื่อนร่วมตำบล  เพื่อนร่วมหมู่บ้านต้องตายไปต่อหน้าต่อตา  สติก็จะวิปลาศ.
   


..............................


(คุณภัทรพล) ท่านครับ  กลียุคจบแล้ว  เขาว่าก็ต่อด้วย.."ยุคทอง"    ยุคทองของโลกเรายังมีไหมครับ?
 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  .... ยุคทอง  เป็นคำเปรียบเปรย  ไม่ใช่ยุคที่มีทองหรอกนะ  เป็นยุคที่มีความศิวิไลในด้านจิตใจ  นั่นยิ่งกว่าทองในประเทศของเจ้าเสียอีก  เพราะฉะนั้น  ในเมื่อเกิดกลียุค  คนชั่ว 70 % ถูกกวาดล้างลงไป  คนดีที่ยังเหลือรอดอยู่  เจ้าก็คำนวนเปอร์เซ็นต์ดูสิ  พอคนชั่วตายไป  คนดีตอนแรกมี 30 %  พอตอนหลังก็จะกลายเป็น 80 - 90 %  เพราะว่าคนชั่วมันตายลงไป  เข้าใจไหม? 

ในเมื่อเหลือแต่คนดี  ธรรมชาติ  ก็เป็น "กฏธรรมชาติ"  เมื่อเหลือแต่คนดีในส่วนมาก  เหลือแต่ผู้มีบารมีในส่วนมาก  ก็จะมี "ปาฏิหาริย์ทางธรรมชาติ"

ในสมัยก่อนธรรมชาติมันไม่ร้อนอย่างนี้  แดดของเจ้ามันไม่ร้อนอย่างนี้  ต้นไม้ของเจ้ามันไม่แห้งแล้งอย่างนี้  แต่เพราะบุญบารมีของพวกเจ้าม้นน้อยลง  ธรรมชาติมันก็เลยแปรปรวน  ดินก็แห้งแล้ง  น้ำก็มาในวาระที่ไม่ควรจะมา  ในที่ที่จะเพาะปลูกก็ไม่มา  มาในที่ที่ไม่ต้องการ  เพราะอะไร?   ก็เพราะแรงกรรมของพวกเจ้า

เพราะฉะนั้น  "ยุคทอง"  มันไม่ต้องรอเวลานานหรอกนะ  หลังจากภัยพิบัติของพวกเจ้า  ได้เกิดการกลียุคขึ้น  มีภัยพิบัติกวาดล้างคนเลวลงไปจนเกือบหมดแล้ว  และผู้ที่ยังรับเศษกรรมจากความชั่วของตัวเอง  ได้มีการได้รับกรรมไปในระยะหนึ่งแล้ว  ยุคทองนั้น  ก็จะมีปาฏิหาริย์อื่น ๆ ผุดขึ้นมา  ทรัพย์สินเงินทองจะผุดขึ้นมาจากดิน  เจ้าก็คงนึกภาพกันไม่ออก  ทองจะผุด  แร่ธาตุทองจะผุดขึ้นมาจากดิน  ต้นไม้ใบหญ้าแปลก ๆ จะขึ้นมาให้พวกเจ้าได้รับรู้  เจ้าเคยได้ยินไหมล่ะเจ้าก็ศึกษามามาก  ในสมัยก่อน  ต้นไม้เกิดขึ้นวันเดียวให้พวกเจ้าได้กินผลกันได้  อะไรนะ  ข้าวอะไรของพวกเจ้าน่ะ  มันมีจริง ๆ นะ  แต่ในสมัยนั้น  ผู้มีบารมี....มีอยู่เยอะ  

เพราะฉะนั้น  ไม่ต้องมาปลูกข้าว  ทำนา ใช้แรงควาย  ใช้แรงวัวอย่างพวกเจ้านี้หรอก  จะทำมาหากินยังต้องไปรังแกสัตว์  มันก็กรรมของพวกเจ้าที่ต้องเกิดมาในยุคนี้   จะประกอบอาชีพสุจริตยังต้องมีการทำกรรมเข้าไปในส่วนหนึ่ง  เพราะฉะนั้น ในยุคของเจ้าเป็นกลียุค  มันหลีกเลี่ยงไม่ได้   

ในสมัยก่อน ไม่ต้องไปทำกรรมหรอก  อยู่ดี ๆ ต้นไม้ก็ขึ้นมา  เจ้าก็กินได้  เหมือนในสมัยนี้  ต้นไม้ที่มีผลกินได้เลยก็มีไม่ใช่รึผลไม้ของเจ้า  เจ้าไม่ต้องไปหุงหา  เจ้าก็กัดกินได้เลย  ข้าวในสมัยก่อนก็เหมือนกัน  เขาไม่ต้องไปหุงหา  เขาก็สามารถกินได้เลยเหมือนกัน  มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นนิยาย  หรือเขาแต่งมาหลอกพวกเจ้าหรอกนะ  มันเป็นเรื่องจริง. 

..............................


(คุณภัทรพล)  เชื่อแล้วครับว่า  ปัญญาของดาวพลูโตนี้ไม่ธรรมดา  เหนือกว่าโลกมนุษย์มาก
 
... ผมจะได้แก้ไขในอินเตอร์เน็ตภาษาไทยว่า  ... วิธีแก้..ก็คือปฏิบัติธรรม 
 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ... ข้าพเจ้าจะขอให้ความกระจ่างในแง่ธรรมะกับเจ้านะ.... ที่เจ้าบอกนั้นว่า "ปฏิบัติธรรม"  นั้น  ในฐานะที่เจ้าเป็นประชาสัมพันธ์  เจ้าควรจะได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องของจุดมุ่งหมาย  นอกจากผู้ที่มีบารมีจะต้องรู้ถึงการปฏิบัติธรรมนั้น  ไม่ใช่แค่สวดมนต์นะ  ปฏิบัติธรรมนั้น  เจ้าก็จะต้องรู้เหตุ  เจ้าไปบอกกับพวกเขานะ  ถ้าเจ้ามีโอกาส  บอกกับผู้ที่มีความรู้  ไม่ว่าระดับไหนก็ตาม  ต้องรู้เหตุ...รู้เหตุของภัยพิบัติ..ว่าเกิดจากอะไร ? 
 
เขาจะปฏิบัติธรรมได้  เขาต้องรู้เหตุภัยพิบัติครั้งนี้  เมื่อเข้าใจแล้ว และรู้ว่าเหตุนั้นเกิดจาก "กรรมดำ" ที่ทำกันเป็นส่วนมาก   และผู้ที่มีบารมีที่จะรอดพ้นภัยนั้น  นั่นก็คือเหตุที่ดี  ทำไมต้องมีการช่วยเหลือจากผู้ที่มาจากต่างจักรวาล  หรือจากเทวโลก  ก็เพราะว่าผู้ที่มีบารมี  ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้ก่อกรรมดำขึ้นนั้น  และเป็นผู้ที่มีบารมีเก่าอยู่  สมควรได้รับการช่วยเหลือนั้น  นั่นก็คือ...เป็นผล...จากการที่เขาได้ทำเหตุที่ดีอยู่แล้ว  
 
เพราะฉะนั้น  ภาษิตของเจ้าว่าไงนะ....คนดีตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้..ใช่ไหม?   เจ้ากำลังจะตกไฟกันนะ  เจ้ากำลังจะตกน้ำ  กำลังจะตกไฟกันอยู่   .... ไฟจากฟากฟ้า  มันตกลงมาได้ทุกที่นะ  อุกกาบาตที่มันหล่นลงมานั้น  และที่มันชนกันนอกจักรวาลนั้น  จะทำให้เป็นสะเก็ดไฟ  เพราะฉะนั้น  ภาษิตนี้นะ  เจ้าเอาไปบอกเขาได้  คนดีตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้  .... เจ้าจะได้ประสบกันในอนาคตอันใกล้นี้
 
 

เพราะอะไร  เพราะเจ้าอยู่ในที่นั้น  ถ้าเจ้าไม่ได้รับการเตือน  ถึงเจ้าจะมีบารมีแต่อยู่ในกรุงเทพฯ เจ้าเหลือไหม เจ้าเหาะได้ไหมเจ้าเหาะไม่ได้ เจ้าก็ต้องจมน้ำไป  แต่ตกน้ำไม่ใหลเพราะอะไร  เพราะเจ้าอยู่ในที่ที่เจ้าจะต้องตกน้ำอยู่แล้ว  แต่มันไม่ใหลไปเพราะเทพเขาดึงตัวเจ้าขึ้นมาบนเขานี้  
 
ตกไฟไม่ไหม้เพราะอะไร  ถ้าเจ้าอยู่ในสถานที่ที่จะต้องมีลูกไฟจากฟากฟ้า  หรือมีอัคคีภัยเกิดขึ้นแล้ว  เจ้าตกอยู่ในสถานที่นั้นก็ต้องไหม้นะ  แต่ตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้เพราะอะไร  เพราะเทพเขาดลใจให้ผู้ที่มีบารมี  ให้มาอยู่ในสถานที่ที่มันปลอดภัย  
 
เพราะฉะนั้น  คำภาษิตนี้เป็นคำโบร่ำ โบราณ  แต่มันใช้ได้จริงนะ  แต่อย่าไปเถรตรงนะว่า หล่นลงไปในน้ำแล้วมันไม่ใหล  หล่นลงมันก็ต้องใหลไป  แต่การตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้ ข้าพเจ้าขออธิบายอย่างนี้
 
 

เพราะฉะนั้น  การปฏิบัติธรรมให้เป็นคนดี  ที่จะตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้นั้น  เจ้าก็ต้องไปบอกเขา  ให้ปฏิบัติธรรมรู้หลัก  อนิจจัง ทุกขัง  อนัตตา.....  นั่นก็คือ  "แก่นแท้.....ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนมากที่สุด"  ไม่มีธรรมะไหน  สั่งสอนมากที่สุดเท่าธรรมะนี้
 
เพราะฉะนั้น  อนิจจัง...คืออะไรอนิจจังคือความไม่เที่ยง  ให้เขารู้เหตุของความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง   ไม่ว่าจะเป็นโลกมนุษย์  บ้านเรือนของเจ้า  หรือแม้แต่สวรรค์วิมาน  มันก็ไม่เที่ยง    ทุกขัง...คือมันเป็นทุกข์   ความเป็นทุกข์ในหลักของพระพุทธศาสนา  ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้  คือความทนอยู่ไม่ได้  มันไม่เป็นอย่างนี้   ความไม่เที่ยง  มันก็คือความเป็นทุกข์ในตัวอยู่แล้ว   ร่างกายของเจ้าที่มันเป็นทุกข์  เพราะต่อไปมันก็ต้องแก่   ต้องตาย นั่นแหละ  คือมันเป็นทุกข์
 
เพราะฉะนั้น  เจ้าอย่าว่าแต่ร่างของเจ้าเลยนะ .... ไอ้โลกใบนี้  ที่มันเป็นที่รองรับทุกสิ่งทุกอย่างนั้น    มันก็เป็นทุกข์นะ    ตอนนี้มันกำลังจะบิดตัวอยู่แล้ว  เพราะมันเป็นทุกข์  มันต้องเปลี่ยนแปลง
 


แล้วคำว่า ..อนัตตา...คือไม่มีตัวตน  คือมันไม่ใช่ของแท้แน่นอน    เพราะฉะนั้น  สิ่งที่เป็น " ธรรมะ "  .. ให้เจ้าบอกเลย    ...ว่าที่ข้าจะมาช่วยเหลือผู้คนนี้  คนที่มีธรรมะ  ไปรู้หลักนี้  ไปเรียนรู้เหตุ  ไปเรียนรู้หลัก  เพราะพอเขาปฏิบัติธรรม  นั่งสมาธิเพื่อพิจารณา  ไม่ใช่นั่งสมาธิเฉย ๆ มันช่วยอะไรไม่ได้  นั่งสมาธิแล้วต้องพิจารณาถึงหลักนี้ด้วย  
 
แล้วผู้มีบารมีที่ปฏิบัติธรรมนั้น  เทพทั้งหลายก็จะลงรักษา  แล้วจะดลบันดาลให้ได้รับรู้ข่าวสาร  ถึงการช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติในศาสตร์ต่าง ๆ ที่มีในหลายสถานที่  แล้วเขาก็จะได้รับการช่วยเหลือมากันในสถานที่ปลอดภัยเอง
 
เจ้าต้องบอกเขาถึง  "แก่นแท้"  นะ  ถ้าบอกปฏิบัติธรรม  ปฏิบัติธรรม  บางคนก็บอกว่า  ข้าก็เข้าวัด  เข้าวัดอยู่  ไม่เห็นรู้เรื่องเลย   มันก็ต้องมีหลาย ๆ อย่างนะ  ปฏิบัติธรรมนั้น  ก็คือต้องรู้หลักที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา  ... เออ..มี 3 คำเท่านั้น..
 
(คุณภัทรพล)..ท่านครับ  ทุกอย่างวันนี้เคลียร์  ผมจะเป็นคนดีที่สุด  จนถึงสิ้นสุดลมสุดท้าย.

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  เออ..เจ้าจะถามอะไรอีกเป็นวาระสุดท้าย  แต่ข้าพเจ้าก็จะขอบอกว่า  ทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดเวลา  แม้แต่ยานอวกาศของข้าพเจ้า  ที่ให้ร่างองค์อินทร์เห็นน่ะ  มันก็ตื่นเต้นนะ  เพราะมันมีความชื่นชอบในเทคโนโลยี่  อยากจะส่องกล้องไป อยากจะส่องกล้องมา  

(คุณภัทรพล)..ตรงเขามียอดแหลม ๆ สีตะกั่วนั้น  ท่านทราบไหมครับว่า...นั่นคืออะไร ?

 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ... เออ  เจ้าพิจารณากันต่อไปละกัน  มันต้องใช้ความอดทนในการสังเกตุ  การดู  ทำไมต้องทำอย่างนี้  เพราะต่อไปเจ้าต้องใช้ปัญญาในการสั่งสอนคน  ในการรู้เหลี่ยมคนอีกเยอะ  ถ้าสงสัยก็มาดูไป  มันจะหายไปไหม  หรือจะมาใหม่  หรือจะมาเพิ่ม...

(คุณภัทรพล)..ขนาดจานบินยังไปบ้านผมเลย  ไปเฉพาะเวลาที่ผมเดินออกมา  แปลกมาก

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  มันไม่แปลกหรอกนะ  ไปเพื่ออะไร สักวันหนึ่ง  เจ้าก็จะต้องมีความฉุกคิด....สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้จึงมาหาเรา ..... เจ้าไปคิดเอา

(คุณภัทรพล)..ความรู้ที่ท่านให้  มากกว่าทองที่ได้รับ  ทรัพย์สินที่ข้าพเจ้ามี

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ขอสรุปแค่นี้  รับบารมีจากข้าพเจ้านะ..

....................



........................................


จบการให้โอวาทจาก "ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต"

วันที่  5  กันยายน  2541  เวลา  17.30  นาฬิกา

ณ เขากะลา  จังหวัดนครสวรรค์.