วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต


ลองไปฟังการให้โอวาทในเรื่องเกี่ยวกับ แก่นแท้ของสมาธิ  ของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  ที่ผ่านข้อความเสียงมาให้มนุษย์โลกได้รับฟัง  เป็นคำกล่าวง่าย ๆ แต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ต้องใช้ปัญญาเห็นธรรม  เห็นธรรมชาติ  ซึ่งเหมาะสมกับการทำงานที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย  ได้เป็นอย่างดี


วันที่ 10 ตุลาคม 2541 ที่เขากะลา จังหวัดนครสวรรค์ 


(คุณอภิชาติ) ท่านครับ ท่านจะกรุณาสอนวิธีนั่งสมาธิที่ถูกต้องได้ไหมครับ ?

(ผู้สูงสุดฯ) เอาอีกแล้ว ไอ้พวกศาสตร์นี้นะ ข้าพเจ้าจะบอกนะ ข้าพเจ้ามาโลกมนุษย์ของเจ้าก็ได้สอดส่อง เพราะข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่งที่ปฏิบัติสมาธิ จะเรียกว่าพอสมควรก็ไม่ได้นะ เพราะข้าพเจ้าทำมานาน เพราะอายุมันนาน

เพราะฉะนั้น วิชาสมาธิที่พวกเจ้าได้ร่ำเรียนกันมา ได้มีแนวคิดในการปฏิบัติสมาธิกันมานั้น วิชานั้น ที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนมี 40 วิธีนั้น นั่นก็เป็นหนึ่งในการฝึกปฏิบัติสมาธิ ตามจริตของดวงจิตของพวกเจ้ากัน

แต่ในค่านิยมของสมาธิ เรียกว่า ค่านิยมการฝึกปฏิบัติสมาธิ ค่านิยมของผู้ปฏิบัติธรรมแล้วสมาธิดี จะต้องถอดญาณ หรือจะต้องมองเห็นในสิ่งที่ตาธรรมดามองไม่เห็น ก็มัวไปเพ่ง ไปฝึกตามค่านิยมกันไป ประโยชน์มันมี แต่มันมีน้อย และพวกเจ้าลองคิดดูว่า เขาฝึกสมาธิกันมา 10 ปี 20 ปี ยังถอดญาณกันไม่ได้เลย แล้วเวลาที่เหลือนิดเดียว ถ้าเจ้าไปฝึกสมาธิในวิธีอย่างนั้นมันจะได้ผลไหม ? ต้องคิดดู


ข้าพเจ้าจะบอกเคล็ดลับของการฝึกสมาธิ ซึ่งเป็นจุดที่เป็นแก่น จุดแก่นละนะ....

ข้าพเจ้าจะบอกนะ เจ้าเห็นไหม? ไอ้ที่กลม ๆ เจ้าเห็นไหม? ที่เวลาพวกเจ้ายิงธนู หรือปาลูกดอก เรียกว่า เป้าใช่ไหม? 
 
เจ้าดูนะ มันจะมีวง ๆ วงนอก...วงที่ 1 วงที่ 2 วงที่ 3 ว งที่ 4 วงที่ 5 แล้วไปถึงจุดตรงกลาง เป็นจุดเล็ก ๆ

เพราะฉะนั้น เวลาที่พวกเจ้าปากัน เจ้าก็อยากปาเป้าไปตรงจุดตรงกลาง ๆ ถูกไหม? นั่นเรียกว่า แม่นสุด เด็ดสุด ใช่ไหม? ถ้าใครปาเข้าไปกลางเป้า

เพราะฉะนั้น เจ้าจะให้ข้าพเจ้าสอนวิชาไหน?..... วิชาปาเป้ารอบนอก หรือวิชาปาเป้ากลางแก่น 


(ตรงกลางครับ...)

ตรงกลางนะ.... เออ .. ถ้าสอนแล้วนะ อย่าไปเอาวิชาปาเป้านอกแก่นอีกนะ รู้หรือเปล่า เรียนรู้เรื่องแก่นแล้วก็ทำเรื่องแก่นไป เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นแก่นนั้น คือ สิ่งที่ข้าพเจ้าจะสอนสมาธิที่เป็นแก่นนั้น ฟังกันให้ดีนะ

สิ่งที่เป็นแก่นนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้สอนสมาธิที่เป็นแก่นนะ เพราะว่าสมาธินั้น มันต้องตามจิต จริตของแต่ละคน มันไม่ได้ให้ใคร มันไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียว มันมีหลายอย่าง


แต่วิชาที่มันเป็นแก่นนั้น ก็คือวิชา ลด...ละ...เลิก เจ้าเข้าใจไหม? ไอ้ที่มีอยู่ ลด ละ เลิก

ความจริงแล้ว การที่เจ้าจะเดินทาง แล้วเจ้าแบกสัมภาระไป กับการที่เจ้าวางสัมภาระเพื่อให้ตัวเจ้าเบานั้น มันง่ายกว่าการที่จะไปยกสัมภาระ เพิ่มสัมภาระใช่ไหม?

แต่ตอนนี้ค่านิยมของคนที่จะปฏิบัติธรรมของพวกเจ้าเป็นอย่างไร การปฏิบัติธรรม แก่น....ก็คือ ลด ละ เลิก แต่พวกเจ้าปฏิบัติธรรมแล้วต้องไปแบกเอาภาระ ตาทิพย์ หูทิพย์ ต้องไปแบกเอาภาระเหาะเหินเดินอากาศ หรือว่าจะต้องไปแบกเอาภาระ มีวิชาอะไร เห็นโน่น เห็นนี่ จะต้องไปแบกเอาภาระกันทำไม? ถ้าไม่เห็น เขาก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมที่เป็นแก่นก็คือ การลดที่มีอยู่ กิเลสที่มีอยู่ ลดลงได้ไหม? "ละลง" ได้ไหม?.... การยึดถือที่มีอยู่ ละลงได้ไหม? การปฏิบัติผิดศีลผิดธรรมที่มีอยู่ ... เลิก ได้ไหม? 3 วิธีนี้ พวกเจ้าจะหลุดกันอย่างสบาย ๆ 


ถ้าเจ้ามานั่งนึกถึงความจริงนะ อันนี้ข้าใช้ปัญญาของร่างนี้ที่มันอ่านหนังสือชาดก เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟังเป็นตัวอย่าง

....... การที่มีนางคนหนึ่ง เจ้าอาจจะได้เคยอ่านนะ ใครที่เคยอ่านพระไตรปิฎก หรือชาดกน่ะ.... นางคนหนึ่งซึ่งมีสามี และมีบุตร 2 คน แล้วสามีถูกงูกัดตาย แล้วลูก 2 คนก็ต้องมาตาย ด้วยการจมน้ำตาย และการถูกเหยี่ยวคาบเอาไป ชื่อนางอะไรนะ...? ใครตอบได้ ...


(คุณวิโรจน์) นางปตาจาลาครับ....

เจ้าดูในวาระจิตของคน ๆ นั้น สามีเพิ่งตาย ลูกอีก 2 คน มันทนแทบจะไม่ได้ใช่ไหมจิตใจ เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นบ้า บ้านี่คือเสียสติสัมปชัญญะชั่วครู่ อย่างที่เพื่อนมนุษย์ของพวกเจ้าจะเป็นกันในข้างหน้านี้แหละ เสียสติสัมปชัญญะชั่วครู่ ไม่ใช่คนบ้าถาวรนะ

ในวาระจิตตรงนั้น แต่ในวาระตรงนั้น เจ้าคิดว่าสมาธิของเขาจะมีไหม? สมาธิก็ไม่มี เสียสติคิดถึงลูก คิดถึงสามี กระเซอะกระเซิงเข้ามาในวิหาร ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเป็นประธานอยู่ ในเมื่อท่านแผ่บารมีให้ได้สงบสติอารมณ์ได้ เพราะฉะนั้น บุคคลนั้น ในวาระนั้น ก็จะมีแค่สติที่รู้ตัวเองอยู่เท่านั้น การที่จะไปทำสมาธิ ถอดฌาณ หรือว่าจะไปเห็นโน่น เห็นนี่ หรือว่าจะไปเหาะเหินเดินอากาศนั้น คน ๆ นั้นเขาทำได้ไหม? .... เขาทำไม่ได้ เพราะแค่สติตัวเอง แค่ประคองไว้ให้ได้ก็ดีแล้ว 

แต่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงมอบให้เขา นั่นคืออะไร? นั่นคือการเตือนสติเขา การให้ปัญญาบารมีแก่เขา การเทศนาธรรมสั่งสอนให้เขาระลึกรู้ ในพระปัญญาบารมีที่ท่านสอนถูกตรงวาระจิตคน

เพราะฉะนั้น คน ๆ นั้น บรรลุธรรมเป็นอะไร? บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ในฉับพลันเลยนะ มันมีความฟลุ๊คได้ไหม? อรหันต์เนี่ย มันฟลุ๊คไม่ได้...

แต่เกิดจากบุคคลคนนั้น เขาพุ่งเป้าไปตรงแก่น เป้าใหญ่ ๆ นั้น พระพุทธองค์สอนแก่นให้เขา ตรงกับเป้าที่เขาต้องการจะรู้พอดี ด้วยพระปรีชาญาณของท่าน


เพราะฉะนั้น เจ้าอยากได้อะไรล่ะ อยากได้แก่นใช่ไหม? เพราะฉะนั้น การบรรลุธรรม มันไม่ใช่ต้องนั่งสมาธิเชี่ยวชาญจึงจะบรรลุได้ อันนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง 

แต่สิ่งที่บรรลุกันนั้น ในสมัยที่พระพุทธองค์ลงมาโปรดนั้น ก็คือ การใช้ปัญญาไตร่ตรอง และปฏิบัติตามปัญญาที่ไตร่ตรองนั้น ปฏิบัติจริงนั้นก็จะเห็นผลได้ในไม่ช้า

เพราะฉะนั้น สิ่งที่บุคคลนั้นบรรลุได้ ...คือการบรรลุได้ด้วยปัญญาใช่ไหม? เพราะมีปัญญารู้ว่า เออว่า....นี้มันไม่ใช่ลูกของเรา สามีไม่ใช่ของเรา ตัวเราไม่ใช่ของเรา จึงบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ 

..... ถ้าบุคคลฝึกสมาธิ เข้าฌาณแล้วไปอยู่พรหมโลก พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเจ้าก็เคยอยู่พรหมโลกกันมาก่อน ก่อนจะมาเวียนว่ายตายเกิดนั้น และไปฝึกสมาธิ เข้าฌาณ บนพรหมโลก .... ไปเท่าทุนทำไม 

ข้าพเจ้าให้พวกเจ้าย้อนคิดสักนิดหนึ่งว่า พวกเจ้าจะฝึกสมาธิเพื่อความเชี่ยวชาญ และไปเท่าทุกอยู่พรหมโลกกันทำไม ...เวียนว่ายตายเกิดลงมานี่ไม่เบื่อรึ? 

เพราะฉะนั้น .... ปัญญาเท่านั้น.... ตอนนี้มีผู้ที่ชี้แนะปัญญา มีผู้รู้จริงหลายท่านมาชี้แนะปัญญา.... ปัญญาอย่างนี้มันหาไม่ได้ 


แต่การฝึกสมาธินั้นมันหาได้ ในศาสนาพราหมณ์ก็มี เพราะฉะนั้น การฝึกปฏิบัติตอนนี้ เน้นปัญญา

ในการฝึกความอดทนในการสร้างบารมีเป็นอันดับที่ 2 รองลงมา มีปัญญาแล้วไม่มีขันติรองรับนั้น มันก็มาไม่ถึงที่เขานี่แหละ เพราะว่ามันต้องใช้ความอดทนมาก

และการฝึกปฏิบัติจิตนั้น พวกเจ้าที่มีวาระจิตตรงกับการฝึกสมาธิแบบไหน ยุบหนอ พองหนอ หายใจเข้า หายใจออก หรือการเพ่งอะไรก็แล้วแต่ 


แต่การฝึกปฏิบัติสมาธินั้น ให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองดูว่า สมาธิที่ข้าพเจ้าฝึกปฏิบัตินี้ เพื่อความสงบแห่งจิตใจในการที่จะได้มีใจที่สงบ และไตร่ตรองในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อการบรรลุธรรม ลด ละกิเลส ให้เราคิดกันอย่างนี้นะพวกเจ้า... อย่างนั้นซิ ที่เรียกว่า..... สมาธิที่เป็นแก่น 

แต่ถ้าเจ้าฝึกสมาธิหน้าดำคร่ำเครียด เพ่งกสิณ เพ่งแล้วเพ่งอีก ไอ้พวกหมอผีละนะ มันยังถอดญาณมาคุยได้เลย มันสมาธิดีกว่าพวกเจ้าอีก 

ถ้าเจ้าจะเอาสมาธิที่เป็นเป้าปลาย ๆ ออกไปนะ ไอ้พวกหมอผีนะ สมาธิมันเก่งนะ มันเพ่งเสียจนมันถอดจิตออกมาได้นะ แต่มันขาดอะไร ? มันขาดปัญญา สมาธิของมันทำให้มันไปสู่นรกขุมที่ลึกที่สุดเพราะอะไร ? เพราะมีสมาธิแต่ไม่มีปัญญา 
  

เพราะฉะนั้น พวกเจ้าต้องเอาตัวรอดกันก่อนด้วยปัญญา ประกอบด้วยกันกับสมาธิ จึงจะเป็นสมาธิที่เป็นแก่น 

เพราะฉะนั้น การนั่งสมาธิครั้งใด พวกเจ้าทั้งหลายเอ๋ย.... นึกอยู่ในใจ ข้าพเจ้าขอแค่ความสงบแค่นั้นแหละ ไม่ขอเห็นมนุษย์ต่างดาวในสมาธิ ไม่ขอเห็นตาทิพย์... ไม่เอา ไม่ขอเห็นวิญญาณต่าง ๆ ถ้าการเห็นนั้น นั่นคือส่วนประกอบที่เขามาอนุโมทนาก็แล้วไป แต่จิตจำนงค์ของพวกเจ้าต้องหวังแค่ความสงบของจิตใจ 

สมาธิที่เป็นแก่นเป้าหมายใจดำ .... เจ้าดูเป้าในการยิงธนูของเจ้า มีจุดนิดเดียวจึงจะได้รางวัลแจ๊คพ็อต ... แนะนำไปแล้ว บอกไปแล้ว ลด ละ เลิก

การลด การวาง การละ การเลิกนั้น ความจริงแล้วมันง่าย แต่สิ่งที่พวกเจ้าทำนั้น .... พวกเจ้าทำของยาก เจ้าต้องไปหามาเพิ่ม เรียกว่า ต้องไปหาแว่นขยายมาใส่ สมาธิที่พวกเจ้าคิดกันอยู่นี้นะ เหมือนหาแว่นมาใส่อีกอันหนึ่ง เอาเพิ่มน้ำหนักไปอีก ดีไม่ดีหากล้องส่องทางไกลเอามาเพิ่มน้ำหนักเข้าไปอีก เฮ้อ... ยังงั้นนะ ค่านิยมของสมาธิ

แต่ผู้ที่ปฏิบัติ ลด ละ เลิก มีปัญญา เขาจะมีอานิสงส์ของสมาธิที่จิตนิ่ง เป็นการเห็นภพวิญญาณต่าง ๆ อย่างเช่น มีทิพยจักขุ นั่นเป็นผลพลอยได้ของสมาธิ 

เพราะฉะนั้น เจตน์จำนงค์กับผลพลอยได้ไม่เหมือนกัน เจตน์จำนงค์จะฝึกเพื่อเห็นนั้น เจ้าเสียเวลาเปล่า ๆ แต่เจตน์จำนงค์ฝึกเพื่อลด ละ เลิก และได้เห็นในสมาธิ หรือการมีหูทิพย์ ตาทิพย์ อันนั้นเป็นส่วนประกอบในสิ่งที่เจ้าจะได้ในสิ่งที่เป็นธรรมดา

เพราะฉะนั้น การฝึกสมาธิ ฝึกได้ทุกวิธี ไม่มีวิธีไหนได้เปรียบเสียเปรียบกว่าใคร แต่อยู่ที่จริตและวิธี ในการที่เราคิดว่า การที่วิธีเราหายใจเข้า หายใจออกนั้น มันเหมาะสมกับจริตของเราไหม ? ต้องลองทดสอบด้วยจิตใจของเจ้า วิธีนี้ทำแล้วง่วงนอนมาก วิธีนี้ ทำแล้วตาแจ้ง เดินจงกลมก็ได้

จริง ๆ แล้วนะ การลด ละ เลิก ทำไมพระพุทธองค์ท่านไม่บัญญัติวิธีเดียวที่มันเด็ด ๆ ให้พวกเจ้าเลย ก็พวกเจ้ากรรมแต่ละคนไม่เหมือนกัน ร้อยคนก็ร้อยกรรม แสนคนก็แสนกรรม มันไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น 40 วิธีในสมาธินั้น เป็นวิธีที่ถูกต้อง ท่านบัญญัติไว้เป็นกลาง ๆ ไปศึกษาเอา 

ใครที่รักสวยรักงามมาก ก็ไปเพ่งพิจารณาเอาอสุภะ หรือนึกถึงความดีงาม ความไม่สวยไม่งามในร่างกาย ทำไมท่านจึงทำอย่างนี้ การนึกถึงความไม่สวยไม่งามของร่างกาย มันไม่ใช่การเข้าฌาณได้ แต่วิธีนี้เป็นการ ลด ละ เลิกได้ เจ้าเข้าใจไหม? 

เพราะฉะนั้น ทำไม ทำไมถึงมีวิธีนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย นึกถึงคุณ ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในวิธีนึกถึงเทวดา ในวิธีนึกถึงพระพุทธเจ้า มันไม่ใช่วิธีที่จะเข้าฌาณได้ลึกหรอกนะ แต่มันเป็นวิธี เป็นอุบายวิธีที่จะลด ละ เลิกได้ 

เพราะฉะนั้น เจตน์จำนงค์ของพระพุทธองค์ที่ท่านสอนวิธีละกิเลสอันนี้ คือ..สุดยอดของใบไม้ทั้งป่า.... เหลือวิธีเดียว ละกิเลสแต่พวกเจ้า....พวกเจ้า....พวกเจ้า ปากบอกว่าละกิเลส แต่มันยังมีแอบแฝง อยากจะหาเครื่องมือมาละกิเลส ปากบอกว่า ถือของที่มันถืออยู่นี่นะมันหนัก สัมภาระนี่มันบอกว่าหนัก ......... แทนที่จะวางมันลงไป.... กลับจะหาเครื่องมือมายก มันยุ่ง มันยากนะ มนุษย์นะ ข้าดูแล้วนะ

แต่ว่าจะไปว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะเขาเรียนรู้ในยุคเสื่อม เจ้าเข้าใจไหม ? พวกเจ้าเรียนรู้วิชายุคเสื่อม เพราะฉะนั้น ใครที่ไปเรียนรู้วิชาที่ผิด ๆ ก็ไปว่าเขาไม่ได้ เพราะเขาเรียนรู้มาแบบนั้น

เพราะฉะนั้น ค่านิยมของสมาธิในยุคปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้ามาเล็งเห็นแล้วในส่วนนี้ ก็จะเป็นส่วนที่เป็นค่านิยมเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเจ้าควรทำก็คือ นั่งสมาธิฟังธรรมไปด้วย นั่งสมาธิไปด้วย ธรรมะของภิกษุสาวกที่เจ้าศรัทธา ตามวัดต่าง ๆ ก็ดี พิจารณาธรรมไปด้วย เจ้าจะได้ทั้งสมาธิ ทั้งขันติ ทั้งปัญญาครบถ้วนเลยนะ

เพราะฉะนั้น สิ่งนี้คือ .... สิ่งที่ผู้ที่ยังไม่ได้สมาธิในขั้นลึกนั้น ควรจะทำในขั้นแรก เพราะเวลานิดเดียว เจ้าฝึกสมาธิอย่างเดียวไม่มีปัญญานั้น เจ้าก็ไม่ได้สมาธิมากมายอะไร เพราะเวลาเกิดภัยพิบัตินั้นมาถึง เจ้ามีสมาธิได้ในขั้นหนึ่ง แต่ถ้าลูกเจ้า เมียเจ้า หรือว่าลูกหลานเจ้าต้องพลัดพรากจากไป สมาธิเจ้าอยู่ได้ไหม? .. ไม่ได้ ... สมาธิแตก 

แต่ถ้าเจ้ามีปัญญาประกอบกับสมาธิด้วย ปัญญารู้หลักกฏแห่งกรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้หลักการมาการไปของบุญบารมีลูกหลานเจ้า ของพ่อแม่เจ้า ของสามีภรรยาเจ้า แล้วไตร่ตรอง แล้วทำใจไปตามกฏแห่งกรรม อย่าไปฝืนกระแสกรรม เพราะฉะนั้น เจ้าจะมีสมาธิประกอบกับปัญญา การเสียใจของเจ้ามันจะไม่มากมาย ก็จะไม่บ้าบอไป
สอนแล้วนะ...เดี๋ยวจะหาว่าข้าพเจ้าไม่สอน.


ข้อความส่วนหนึ่ง ในการให้โอวาทเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2541 ณ เขากะลา


.....................................




การยกระดับจิต  เพื่อติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์นั้น  มนุษย์ต่างดาวยังคงดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง

การมาปรากฏของจานบิน  ในแต่ละครั้งนั้น  มิใช่มาแบบเลื่อนลอย  ย่อมมีจุดประสงค์  ย่อมมีความสำคัญ  

นั่นคือเพื่อยืนยันให้มีความมั่นใจในสิ่งที่ระบบได้ถ่ายทอดไว้  จานบินมีจริง  มนุษย์ต่างดาวมาจริง และมาเตรียมการแล้วจริง ๆ 

เป็นการรับรองในข้อมูลที่มองเห็นได้  สัมผัสได้  ด้วยรูปธรรม    
ดังนั้น  สิ่งที่ระบบได้กล่าวไว้  อาจแตกต่างในรูปแบบ  แต่ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากกฏของธรรมชาติเลย

ดังนั้น  จึงขอนำข้อมูลของมนุษย์ต่างดาว  ที่ส่งผ่านข้อความเสียงผ่านมายังมนุษย์โลก  ให้รับรู้ในโครงการนี้
ซึ่งมีการกล่าวถึงเรื่องของการเตรียมการ  การวางโครงข่าย  การร่วมมือกันทั้ง 3 ภพ  ให้ได้รับทราบ

การกล่าวถึงนี้  แม้ผ่านมามากกว่า 10  ปี  การเปิดเผยให้เห็นเทคโนโลยี  เริ่มปรากฏมากขึ้น มากขึ้น  เพื่อเป็นการยืนยันในข้อมูลที่ได้เคยกล่าวไว้

ในเวลาที่มีการถ่ายทอดคลื่นเสียงจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  ที่เขากะลาแต่ละครั้ง  มักจะปรากฏจานบิน 1 - 2 ลำ  มาลอยอยู่ด้านบน   ให้ผู้รับฟังได้เห็นด้วย  
เสมือนเป็นการยืนยันว่า  "ข้อมูลที่ส่งมานั้น  มาจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต" จริง  


.................................

การถ่ายทอดข้อความจาก....ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  


จากเทปบันทึกเสียงการสนทนา วันที่ 5 กันยายน 2541 เวลาประมาณ 17.00 นาฬิกา
หัวหน้ากลุ่มอภิจิต 2000 คุณภัทรพล เจษฏาอภิบาล 
(ซึ่งในช่วงหลังจากนั้น ท่านได้เห็นจานบินไปลอยอยู่ที่บ้านท่าน แถวบางนา-ตราด อยู่เสมอ) 

  

( คุณภัทรพล) ฟังจากทางกลุ่มเขากะลา บอกว่าให้มนุษย์เข้าทางคุณธรรม คือทางปฏิบัติธรรม   แล้วพวกท่านจากต่างดาวจะมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากภัย อย่างนี้ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ    คือไม่ต้องแก้ทางโลก คือให้หมั่นฝึกทางด้านปฏิบัติธรรม เดี๋ยวท่านก็จะมีโอกาสช่วยตามบารมีของบุคคลท่านนั้น

(คลื่นจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ข้าพเจ้าจะขอบอกถึงภารกิจของข้าพเจ้า ในการที่จะช่วยเหลือภพมนุษย์ของเจ้าให้รอดพ้นจากภัยพิบัติตามส่วนของผู้ที่มีบารมีเท่านั้น 

สิ่งที่เจ้าได้พูดมาข้าพเจ้าจะขออธิบายเพิ่มเติมว่า    ภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงยิ่งที่จะเกิดกับโลกของเจ้าทั้งโลกนั้น   ถ้าไม่มีเทพที่จะลงมาช่วยเหลือภพมนุษย์ มันก็แทบจะไม่มีเหลือ ทั้งผู้ที่ไม่มีบารมี และผู้ที่มีบารมีเก่า ก็จะตายกันมากกว่านี้    จะไม่มีการเตรียมการ จะไม่มีการรวมคนที่มีบารมี และที่จะเหลืออยู่ก็แทบจะเป็นบ้าเป็นบอกันไปหมด 
และผู้ที่มีบารมีเมื่อสิ้นชีวิตก็ขึ้นสวรรค์ไป แต่ผู้ที่จะดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ดำรงต่อไปนั้นก็แทบจะไม่มีคุณภาพ ภพมนุษย์ก็แทบจะสูญสิ้นกันไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว 

เพราะฉะนั้น จึงเป็นกฏของธรรมชาติ เป็นกฎของจักรวาล ซึ่งยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งใด ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เจ้าเคยรับรู้ ได้เห็น ได้สัมผัส เพราะนั่นอยู่เหนือวิสัยของมนุษย์ที่จะคิดได้ 
กฎของจักรวาลนั้น เป็นสิ่งที่ทวยเทพ และต่างจักรวาลทั้งหลายต้องลงมาช่วยกันเพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีคุณภาพ ให้มีการเตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ รวมทั้งมีการสืบทอดพระธรรมคำสั่งสอน จะหล่อเลี้ยงจิตใจพวกเขาให้อยู่ต่อไป 

ดังนั้นในประเทศนี้ ซึ่งเป็นประเทศที่มีพระธรรมคำสั่งสอนของพุทธศาสนา เป็นประเทศที่มีบารมีคุ้มครอง ทวยเทพทั้งหลายได้ให้ความร่วมมือ รวมทั้งต่างจักรวาล รวมทั้งข้าพเจ้า และต่างดาวที่มาจากจักรวาลอื่น ได้ประชุมรวมกัน เห็นพ้องต้องกันก่อนที่พวกเจ้าจะลงมาเกิดนี้ 
ข้าพเจ้าก็ได้เล็งพระญาณเลือกสถานที่ที่เจ้านั่งกันอยู่นี้ เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการที่เทพทั้งหลายจะอธิษฐานจิตกันลงมา อุบัติลงมาจากเทวโลก 

พวกเจ้าคิดรึ ถ้าพวกเขาๆไม่อุบัติลงมาจากเทวโลก ภพมนุษย์ก่อนเก่านี่จะสามารถรักษาธรรมะอันทรงคุณค่าที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ให้อยู่เหลือรอดต่อไปได้   มันไม่ได้หรอกนะ   มันต้องได้รับการรักษาจากผู้ที่มีบุญบารมีจากเทวโลกที่อธิฐานจิต อุทิศตนลงเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้ดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้อยู่ต่อไป   นั่นคือผู้ที่เสียสละ ให้ภพมนุษย์ได้ยืนหยัดอยู่ต่อไป 

ถ้าภพมนุษย์ไม่ยืนหยัดอยู่ต่อไป ก็ไม่มีโอกาสที่เทวโลกพรหมโลก จะลงมาสร้างบารมี มันต้องมีการช่วยเหลือกันทั้ง 3 ภพนั้น   มันเกี่ยวข้องกันอย่างแยกกันไม่ออก 

ฉะนั้นพวกเจ้าที่ได้มานั่งกันอยู่ที่นี้   รวมทั้ง100 ครอบครัว   ที่ได้เคยบอกไปแล้วนั้นก็คือครอบครัวจากเทวโลกทั้งสิ้น   ครอบครัวที่มีการอธิฐานจิต   มีการอาสา   มีการรับรู้ในโครงการที่จะมาช่วยเหลือในภพมนุษย์   ฉะนั้นผู้ที่มีจิตใจสูงเท่านั้นจึงจะสามารถมาพบในสถานที่นี้ได้  เข้าถึงพระธรรมและดำรงรักษาพระธรรมในสถานที่ที่พวกเขาได้พบกันอยู่นี้   
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ   มันเป็นการกำหนดจากเทวโลก เป็นการเตรียมการ เป็นการสมัครใจของพวกเขาและพวกเจ้าที่นั่งกันอยู่ที่นี้ 

แต่ปัญญาในภพมนุษย์มันมีขีดจำกัดในการรับรู้   เจ้าไม่สามารถรำลึกไปถึงอดีต ไม่สามารถมองถึงอนาคต  เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเจ้าทำด้วยความศรัทธานี้   มันไม่ใช่ความศรัทธาที่ไม่มีเหตุ  มันมีเหตุเก่ากันมา จึงมาเป็นพวกเจ้ามาที่ ณ ปัจจุบันนี้ 

เจ้าไม่ต้องแปลกใจ   ต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้   พวกเจ้าก็จะได้พบสิ่งปาฏิหารย์ที่ข้าพเจ้า และดวงดาราอื่น ๆ  จะมาร่วมกัน   เพื่อที่จะทำให้ภพมนุษย์ของเจ้าได้ดำรงอยู่ต่อไป

สิ่งที่ทวยเทพทั้งหลายที่ได้ลงมานั้น  เป็นความอนุเคราะห์  ความกรุณาความเมตตาของท่าน  ได้ลงมาเตือนสติพวกเจ้า แต่จะลงมาอย่างไรเล่า   จะลงมาเป็นมนุษย์อย่างเจ้าท่านก็สามารถทำได้  แต่เจ้าจะเชื่อไหมล่ะ   ทั้งที่ผู้ที่เจ้านับถือจะเป็นรูปของบรรพชิตก็ตาม คนส่วนใหญ่แม้จะรู้ว่าท่านดี  แต่ก็ไม่สามารถจะปฏิบัติตามคำที่ท่านสั่งสอนได้ ไม่สามารถที่จะรับฟังธรรมของท่านได้


เพราะฉะนั้น ในการไตร่ตรองของเทวโลก   วิธีการที่จะมาผ่านร่างของมนุษย์ และมาทำปาฏิหารย์ต่าง ๆ  เป็นวิธีการที่เทวโลกเขาไตร่ตรองลงมาแล้ว  เป็นวิธีการที่ดี และสามารถกระทำการหลาย ๆ อย่างได้ โดยไม่ต้องมีขอบเขตของกฎของนักบวช   ที่พระพุทธองค์ท่านได้ทรงบัญญัติไว้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่พวกเจ้าพูดกันมา  ขีดจำกัดของมนุษย์รับได้เพียงบางอย่าง   เชื่อได้เพียงบางอย่าง  สิ่งที่เหลือที่เขารับไม่ได้  แต่ไม่รู้เท่าทันหรอกว่าอวิชชามันบังเอาไว้ ให้รับได้เท่านี้  ให้รับได้เท่านั้น จำกัดอย่างนั้น  จำกัดอย่างนี้  อวิชชามันบังพวกเขาเอาไว้ 


สิ่งทั้งหลายทั้งปวง   ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และตรัสสั่งสอน  ที่พวกเจ้าอาจจะเคยได้ยินว่า ใบไม้ทั้งป่าพระพุทธองค์นำมาตรัสสอนพวกเจ้าแค่กำมือเดียว   แต่กำมือเดียวนี้พวกเจ้าก็ยังกีดกั้นกันเอง  ยังมีปัญญาไม่สามารถรับรู้ได้ในทั้งหมดที่พระพุทธองค์ท่านตรัสสอน   

แล้วพวกเจ้าคิดรึว่า ใบไม้ทั้งป่า ที่ท่านไม่ได้ตรัสสอนนั้น มันจะมีอะไรอีกบ้าง  มันเหลือวิสัยที่พวกเจ้าจะคิดคำนึง เหลือวิสัยที่พวกเจ้าจะไตร่ตรอง เพราะฉะนั้นธรรมของพระพุทธองค์ ไม่ได้เป็นไปด้วยตรรกะ

ตรรกะคืออะไร? ตรรกะ คือการคิดคำนวณตามเหตุตามปัจจัย  หรือตามวิทยาศาสตร์ของเจ้านั้น   มาใช้กับวิธีของท่านนั้นมันยังไม่ถึง  เพราะฉะนั้น สิ่งเหลือวิสัยของวิทยาศาสตร์  สิ่งเหลือวิสัยของญาณของมนุษย์ทั้งหลายที่จะพึงรู้ยังมีอีกมาก  ทั้งในเรื่องที่พวกเจ้าจะเชื่อได้ หรือจะเชื่อไม่ได้นั้น แต่สิ่งนั้นมีอยู่แล้ว  มีอยู่มาก่อน และจะมีอยู่ในอนาคตข้างหน้า  พวกเจ้าก็จะได้รับการถ่ายทอดตามแต่สติปัญญาของพวกเจ้าที่จะรับรู้ได้

ข้าพเจ้าได้เคยกล่าวไว้ในกาลก่อนนั้นว่า  ข้าพเจ้าจะนำเทคโนโลยีมาเปิดเผย  มาสั่งสอน  มาบอกกับพวกเจ้าตามแต่บารมีของเจ้าที่จะรับได้  ไม่ใช่ว่าเอามาสั่งสอน  เอามาเปิดเผยทั้งหมด  มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนเด็กเล็ก ๆจะให้มารู้วิชาของปริญญาเอกนั้น สอนให้ตายมันก็ไม่รู้ 
เพราะฉะนั้น สอนได้ ก ไก่ ขไข่ ก็สอนกันไป ในส่วนที่พวกเจ้าได้รับรู้นี้ ในวาระจิตของบางคนก็สามารถเรียนได้ป.1 ป.2 บางคนก็สามารถเรียน ป.3 ป.4 เราก็ต้องสอนไปตามแต่บารมี 

ดังนั้น จึงต้องมีการคัดแยกให้ผู้ที่มีบารมีเข้าถึงแก่นของธรรม ก็แยกกันไปส่วนหนึ่ง  ผู้ที่มาใหม่ยังอยู่ในเปลือกนอกของยานต่างดาว ก็แยกกันไปอีกพวกหนึ่ง  เพื่อที่เขาจะได้สมความปราถนาของเขา ไม่มีการสับสนปะปนกัน

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เจ้าคิดถึงเรื่องของภัยพิบัตินั้น ซึ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เกิดขึ้นมากกว่าที่พวกเจ้าคิดคำนึงถึงเสียอีก แต่ถึงเวลานั้นแล้วพวกเจ้าจะรับรู้ได้เฉพาะสิ่งที่เจ้าอยู่   ส่วนอีก70 – 80 % ของโลกของเจ้าเกิดภัยพิบัติขึ้นนั้น พวกเขาก็รับกันไป  โดยที่การสื่อสารของพวกเจ้าจะไม่ได้สื่อสารกันได้อีกนั้น  ความน่าอเน็จอนาถ  ความน่าสลด น่าสังเวช   พวกเจ้าก็จะได้เห็นได้รับรู้เฉพาะหน้าของพวกเจ้าเท่านั้น   ส่วนที่เหลือพวกเจ้าก็จะไม่มีโอกาสได้รับรู้  พวกเขาก็ต้องได้รับกรรมของพวกเขาไป

ข้าพเจ้าคิดว่าเจ้าก็คงจะเข้าใจในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้บอกกับเจ้า   จุดสำคัญของที่นี่ เน้นในด้านธรรมะ เพราะธรรมะก็คือตัวแก้ ที่จะจากหนักเป็นเบา   

วิทยาศาสตร์เป็นตัวตามรู้ เขาไปถึง 1,000 เมตร ตามรู้ได้ 10 กว่าเมตร ก็คิดว่าตนเองรู้มาก

วิทยาศาสตร์ของพวกเจ้านั้นมันล้าหลัง  มันเทียบไม่ได้กับญาณหยั่งรู้ของเทพทั้งหลาย  มนุษย์คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ คิดว่าตัวเองรู้มาก  แม้กระทั่งต่างชาติที่เจริญสูงสุดในโลกมนุษย์ของเจ้า พวกนั้นมันก็ยังล้าหลังอยู่มาก  พวกเจ้าเทคโนโลยีน้อยกว่าพวกเขา   พวกเขาก็คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่  พวกเจ้าไม่รู้หรอกในใจของพวกเขานั้นคิดจะอยู่เหนือโลกทั้งโลก  พวกเจ้าเข้าใจไหม ผู้ที่สูงสุดทางเทคโนโลยีในโลกของเจ้า เขาคิดจะอยู่เหนือโลกของเจ้า 

เพราะฉะนั้น ความคิดนี้มันเป็นอันตราย   มันเป็นจุดก่อกำเนิดให้ถึงความวิปริตถึงสูงสุด  ทำให้ต้องมีการรบราฆ่าฟันกันเป็นสงครามโลกครั้งที่ ของพวกเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   เพราะไม่มีใครยอมหรอกเพราะว่าผู้ยิ่งใหญ่เพียงไหน ก็ต้องมีผู้ยิ่งใหญ่อย่างอื่น ต้องต่อสู้กันไปเหมือนในพุทธทำนาย ยักษ์นอกศาสนาต่อสู้กันไป ตายไปอย่างละครึ่ง   มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ. 


............................................................



อาจจะเป็นการตอบข้อสงสัยให้กับหลาย ๆ ท่าน  ว่า....ทำไม? จึงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายสื่อสารลงมาในโลกมนุษย์ในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา เทพ พรหม พระอาจารย์ที่ละสังขารไปแล้ว หรือแม้กระทั่งมนุษย์ต่างดาว ที่มากันมากมายทั่วโลกในยุคนี้ 

ก็เพราะมีเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้ว มนุษย์จะเชื่อได้หรือไม่ก็แล้วแต่มนุษย์ 

แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านสื่อสารลงมาก็ดี มนุษย์ต่างดาวก็ดี ก็ยังคงดำเนินงานช่วยเหลือมนุษย์โลกไปตามหน้าที่เช่นเดิม 

กับคำถามอื่น ๆ มีอีกมาก ที่ได้มีการบอกล่วงหน้าไว้ 10 ปีแล้ว ทั้งเรื่องของภัยพิบัติบนโลกใบนี้ เรื่องของกฏธรรมชาติ เรื่องการเตรียมการ และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย  ดังนั้น เขากะลา จึงเป็นจุดที่เน้นในด้านธรรมะ เป็นจุดหลัก เรื่องมนุษย์ต่างดาว ก็เป็นเรื่องที่เข้ามาร่วมช่วยเหลือในด้านรูปธรรม สามารถกระทำการช่วยเหลือได้จริง 

คนที่เดินทางไปเขากะลาเมื่อปี 2541 ก็จะไปปฏิบัติธรรม ฟังธรรม และชม UFO ด้วยพร้อม ๆ กันไป และในบางครั้งก็จะมีคลื่นจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต มาตอบข้อข้องใจ และข้อซักถามของคนจำนวนมากเหล่านั้น 

ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่มีการส่งคลื่นผ่านอุปกรณ์ที่เป็นเทคโนโลยี เชื่อมต่อกับมนุษย์ และสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากมนุษย์ต่างดาวได้ 


และอย่างที่กล่าวเน้นแต่ต้นว่า
 
ขอให้ท่านที่อ่านข้อความเหล่านี้ ควรอ่านอย่างพิจารณา และมีสติไตร่ตรอง เพราะเป็นเรื่องราวเฉพาะกลุ่มฯ ที่ได้รับการถ่ายทอดข้อมูลลงมาเท่านั้น มิได้หมายความว่าท่านต้องเชื่อ หรือไม่เชื่อ หรือจะต้องตระหนกตกใจใด ๆ ทั้งสิ้น 

ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต มีอายุยืนหลายหมื่นปี ดาวของเขามีอากาศหนาวเย็นติดลบมาก จึงต้องอยู่ใต้พื้นดิน และอยู่ในรูปแบบของกายละเอียด เนื่องจากมีอายุยืนมาก ระยะเวลาที่ยาวนานของชีวิต จึงมีการทำสมาธิเป็นหลัก มีความเจริญทางจิตสูง และรู้เห็นความเป็นมาของโลกมนุษย์ใบนี้ ที่มีการเปลี่ยนแปลงมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว 

เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่นำมาให้ได้รับทราบกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ต่อให้ยิ่งใหญ่เพียงไหน ก็ไม่อาจยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติได้ ไม่อาจต้านแรงกรรมได้ ดังนั้นเทคโนโลยีที่เราค้นคว้า ไขว่หาแทบตายนั้น ที่แท้ก็ต้องเริ่มต้นจากจิตที่เจริญแล้วทั้งสิ้น 

จึงเป็นเรื่องที่ว่า ทำไมมนุษย์ต่างดาวจึงต้องมาสอนเรื่องของทางจิตก่อนในระดับแรก เพราะต้องมีการยกระดับจิตเข้าสู่กฎของธรรมชาติในระดับสากลก่อน เพราะการที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้นั้น ต้องมีระดับจิตใจที่พร้อมจะรับได้นั่นเอง . 


................................................


ปาฏิหาริย์.... ของขันธ์ 5
จากมุมมองของมนุษย์ต่างดาว


ข้อความบางส่วนของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  ถ่ายทอดข้อความเป็นคลื่นเสียงไว้  ณ เขากะลา   เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2542 

...................................

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)    จิตมนุษย์นะ ...มันดูไม่ยาก พวกมีกิเลสนะ มันดูไม่ยาก ทำไมผู้ที่วาระจิตสูง สามารถมองผู้ที่มีวาระจิตต่ำได้    มองได้ง่าย เพราะมองที่กิเลสนั่นแหละ กิเลสมันไม่ไปยังไงหรอก ในเมื่อเราเคยผ่านการมีกิเลส และผ่านการละ ๆ ๆ มาแล้ว เราจะรู้ เราจะรู้ความอยากของมนุษย์ เราจะรู้มันต้องไปยังงี้  ยังงี้ 

ในส่วนที่เป็นหยาบๆ เจ้าก็พอจะมองออก เออ มันอยากยังงี้ มันคิดยังงี้ ง่ายๆ เจ้ามองออก 
เมื่อแยบคายขึ้น เจ้าก็ต้องมีจิตที่สูงขึ้น ขยับขึ้น เจ้าจึงจะมองออก 

เพราะฉะนั้น   จึงเป็นกฎธรรมดา    มิใช่ปาฏิหาริย์อะไรมากมาย    


ถ้าเจ้าจะเอาปาฏิหาริย์กันมากๆ นะ เห็นได้เลย    ปาฏิหาริย์สุดขีด 
นั่นคือ ร่างกายของเจ้านี่แหละ ปาฏิหาริย์สุดขีดแล้ว 

อะไรกันเนี่ย มันทำงานกันยังไงเนี่ย มันยังไงเนี่ยะ 

อย่างนี้มันบังคับกันได้ไหม ?   วิ่งกันเป็นระบบนะ   ไอ้นี่วิ่งไป   ไอ้นั่นวิ่งมานะ ย่อยกันเป็นระบบนะ 

โอโห้ สุดยอด ไม่ต้องดูไกล  ถ้าจะคิดว่าปาฏิหาริย์นะ  ร่างกายของพวกเจ้านี่ปาฏิหาริย์มากกว่า มันทำงานของมันเองนะ ไอ้ตัวเจ้าของมันยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ไม่งั้นจะต้องไปเรียนรึว่า ... . ไอ้นี่แขน   ไอ้นี่ขา .. ข้างในมีกระเพาะ... ทำงานยังไง 

ถ้ามันรู้แล้วว่าโรคอะไร   ทำไมต้องไปให้คนอื่นเขาดู   ฉันเป็นอะไรเนี่ย ฉันเป็นอะไรเนี่ย  ทำไมมันงอกออกมาในนี้ 
บังคับไม่ได้ ตรงนี้มหัศจรรย์สุดๆ แล้ว  ต้นไม้หรือสัตว์อื่นยังไม่ซับซ้อนเท่าพวกเจ้า 


กายยังซับซ้อนแล้ว จิตยังซับซ้อนหนักเข้าไปอีก 

เพราะฉะนั้นเมื่อเราปฏิบัติ   เราดูแค่ตัวเราสุดยอดนะ   เมื่อกระจ่างในตัวเราทุกอย่างสว่างไปหมด หมดความยาก แค่นี้ 

เพราะฉะนั้น   อรหันต์ก็อาจมิได้รู้หนังสือก็ได้ ถ้าเขารู้ด้วยตัวของเขาเอง แต่ต้องฟังธรรมเข้าใจนะ พูดไม่ได้ ฟังไม่ได้ นี่มันก็ยาก   
บุคคลที่หูหนวกก็บรรลุอรหันต์ยาก เพราะพิจารณาธรรมไม่ได้   
ตาบอดบรรลุอรหันต์ยาก เพราะเปรียบเทียบธรรมไม่ได้ 
ยกเว้นบุคคลที่เคยตาดี หูดี ปฏิบัติธรรมะนะ ต่อไปในภายหลังมีวิบากต่างๆ ถ้ายังมีปัญญานะทำได้ถ้ามีโอกาส มิใช่เรื่องที่มันเกินไป หรือปาฏิหาริย์เกินไป ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของธรรมดา


เออ.... ถ้าเจ้าเห็นว่าจานบินปาฏิหาริย์น่ะ มันไม่ใช่.....ร่างของเจ้าปาฎิหาริย์ยิ่งกว่าจานบินที่มันบินอีก....ตรงนั้นเป็นกลไกธรรมดา โลหะวัตถุผสานกับพลังจิต มันยังไม่เหนือร่างกายของเจ้าเลย แต่มันเป็นสิ่งที่แปลกสำหรับภพมนุษย์มันไม่เคยเห็น 

จึงไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มนุษย์ต่างดาวไม่ใช่ปาฏิหาริย์


แต่มนุษย์ ... อัตตาของมนุษย์ แค่ระลึกชาติเก่าได้ ก็ปาฏิหาริย์สุดขีดแล้ว
 ..... มันอะไรกัน ?   แค่รู้ว่าเราเคยเป็นอะไรกันในอดีต   ก็ปาฏิหาริย์สุดขีด 

เพราะฉะนั้นตรงนี้นะ ขอให้เรารู้หลักธรรม   เราจะเจอสิ่งที่ประเสริฐสูงสุด จะไม่ทบทวนของเก่า ทบทวนทำไม มันเคยผ่านไปแล้ว

และเราจักเป็นผู้ฟื้นฟูสภาพของพวกท่านนะ ฟื้นฟูธรรมของพวกท่าน  ฟื้นฟูพลังจิต  พลังสมาธิ  พลังฌานของท่าน 

ตรงนี้ต้องเอาของเก่ามาใช้ในการสร้างบารมีใหม่นะ และรับเพิ่มในส่วนเทคโนโลยี่ ตรงนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราจะมีอะไรมาให้ท่าน แต่เป็นส่วนที่ท่านเคยมีมาก่อนแล้ว ตรงนี้มันผสานกันนะ 


...........................

เป็นการถอดเทปคลื่นเสียงที่บันทึกไว้ของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
ถ่ายทอดข้อความไว้  ณ เขากะลา   เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2542 


....................................................



ดังนั้น  ถ้าใครเคยรู้จักพี่สุดใจ ถ้าใครรู้จักกลุ่มเขากะลา หรือถ้าใครรู้จักกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ที่ทำเกี่ยวกับเรื่องของการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว - จนถึงปัจจุบันนี้

ก็จะรับรู้ว่า ถ้าไปคุยเรื่องมนุษย์ต่างดาว เรื่องภัยพิบัติกับบุคคลกลุ่มนี้ เขาก็จะพูดให้ฟังแค่เล็กน้อย แค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เหลือ 70 เปอร์เซ็นต์ ก็จะกลายเป็นเรื่องของธรรมะล้วน ๆ เรื่องของการปล่อยวาง เรื่องของการละอัตตาตัวตนเสียเป็นส่วนมาก

ซึ่งหลายคนที่สนใจเรื่องของมนุษย์ต่างดาวอย่างเดียว ก็จะค่อย ๆ หายหน้าหายตากันไป ผู้ที่อยู่ได้ ก็คือผู้ที่สนใจธรรมะเท่านั้น

แต่สิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่เข้าใจคือ ทำไมมนุษย์ต่างดาวต้องมาสอนให้ปฏิบัติธรรม เพื่ออะไร ?

มนุษย์ต่างดาว ที่มีความเจริญทางจิต และทางเทคโนโลยีสูงนั้น กลับให้ความสำคัญกับการฝึกจิต การปล่อยวางอัตตาตัวตน ให้ความสำคัญกับพัฒนาจิตวิญญาณ โดยไม่ได้เห็นสิ่งใดเป็นสิ่งปาฏิหาริย์เลย

ระบบมุ่งเน้น ให้มองเข้าไปในตนเอง ให้อยู่กับตนเอง ให้ดู ให้รู้ในสภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในทุกขณะจิต ให้รู้เท่าทันในอุปปาทานขันธ์ห้า

และสุดท้ายเมื่อละเอียดขึ้น แม้แต่ตัวจิตเองก็ต้องปล่อยวางเช่นกัน เพราะจิตก็คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

มนุษย์ต่างดาวไม่เคยสอนให้ส่งจิตออกไปอยู่นอกตัว ให้อยู่แต่กับปัจจุบันเท่านั้น ไม่ให้หันไปสนใจศึกษาเรื่องจานบิน และมนุษย์ต่างดาวเลย 

เพราะมนุษย์ต่างดาวจะกล่าวเสมอว่า ไม่มีสิ่งใดเป็นปาฏิหาริย์ ทุกอย่างล้วนแต่เป็นธรรมชาติ ที่มนุษย์ยังคิดค้นไปไม่ถึงเท่านั้นเอง


..................................................


การเดินทางมายังเขากะลา .....ของมนุษย์ต่างดาว

ข้อความส่วนหนึ่งของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
ถ่ายทอดข้อความเป็นคลื่นเสียงไว้  ณ เขากะลา
วันที่ 10 ตุลาคม 2541
.............................


(คุณภัทรพล) ท่านพาราซิสทัลนั้นบอกว่า ร่างกายของเขามีทั้งรูปขันธ์และกายทิพย์ เขาสามารถถอดจิตเป็นว่าเล่น ท่านหมายถึงอย่างนี้ใช่ไหมครับ? ที่ท่านถอดจิตกันมา

(ผู้สูงสุดฯ) มนุษย์ต่างดาว ก็เป็นมนุษย์ที่มีกายเนื้อเหมือนอย่างพวกเจ้านี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวจากดาวอังคาร หรือจากดาวโลกุกะตาปากะดิกอง หรือว่าข้าพเจ้า 

แต่ว่ากายเนื้อนั้นมันไม่ใช่ธาตุทั้ง 4 ซึ่งเป็นธาตุหยาบ หรือว่าจะเป็นเหมือนเจ้าแบบนี้ มันอธิบายไม่ถูกหรอกนะ เพราะธาตุของแต่ละมนุษย์ต่างดาวนั้นจะมีกายเนื้อ เจ้าเข้าใจไหม มีกายเนื้อนะ แต่กายเนื้อนั้น มันจะไม่มี ดิน น้ำ ลม ไฟ ผสมกันเป็นธาตุเหมือนกับพวกเจ้า มันจะเป็นกายเนื้ออีกแบบหนึ่ง แต่ละแบบกันไป มันจะมีรายละเอียดมากกว่านี้ 
พวกเจ้านี้เรียกกันว่าหยาบสุดละนะ ก็กายหยาบของเจ้าน่ะแหละ 

เพราะฉะนั้นในกายของมนุษย์ต่างดาว ไม่ว่าจะเป็นดาวอังคาร เขาก็จะมีกายเนื้อของเขา และมีการที่จะถอดในกายละเอียดออกไปได้อีกส่วนหนึ่ง สำหรับข้าพเจ้าก็จะมีกายเนื้อ และจะมีกายละเอียดอีกส่วนหนึ่ง 

แต่การที่มานี้ มีทั้งกายเนื้อ แต่ไม่สามารถที่พวกเจ้าทุกคนจะเห็นกันได้นั้น เพราะในกายเนื้อนั้นก็สามารถที่จะเข้าไปในมิติ หรือพวกเจ้าจะเรียกกันว่า มิติที่ 4 ก็ได้ ทำให้พวกเจ้าซึ่งเมื่อเขาบังมิติแล้วก็ไม่สามารถเห็นพวกเขาเหล่านั้นได้ .... เจ้าจะเข้าใจไหมล่ะ?

(คุณภัทรพล) แล้วทำไมในรายงานบอกว่า มนุษย์ต่างดาวผ่านทะลุกำแพงได้

(ผู้สูงสุดฯ) เดินทะลุกำแพงนั้น เป็นสิ่งที่เขาทำกายละเอียดทะลุกำแพง แต่ในกายละเอียดของเขานั้น ทำให้พวกเจ้าเห็น เจ้าเข้าใจไหม กายละเอียดของเขานะ สมมุติว่า.... สิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่าวิญญาณของพวกเจ้าน่ะแหละ เขาทำให้พวกเจ้าเห็นเป็นตัวก็ได้ถ้าเขามีฤทธิ์  

เพราะฉะนั้น มนุษย์ต่างดาว เขาก็เป็นมนุษย์มีหลายประเภทด้วยกัน แต่สำหรับที่มาสื่อสาร และมาช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้ อย่างเช่นข้าพเจ้านี้ ก็จะมีทั้งกายละเอียด และกายหยาบ แต่ในกายละเอียดนั้น สามารถทำให้เจ้าเห็นได้ หรือทำให้เจ้าไม่เห็นก็ได้และในกายหยาบนั้น สามารถที่จะบังมิติ ให้เจ้าเห็นก็ได้ ไม่เห็นก็ได้

เพราะฉะนั้น การที่มนุษย์ต่างดาวเดินทะลุกำแพง มันมีได้ 2 ลักษณะ คือ เอากายหยาบทะลุลงไป โดยการที่เรียกว่า สลายมวลสารหรือว่า เอากายละเอียดของเขาทำให้เจ้าเห็น และก็เดินทะลุผ่านไป มันอยู่ที่ว่าสถานการณ์ไหน จะใช้สิ่งใดเหมาะสมที่สุด 


(คุณวิโรจน์) ท่านผู้สูงสุดครับ ผมเพิ่งมาเป็นครั้งที่สอง ผมอยากถามท่านผู้สูงสุดว่า ท่านหยั่งรู้ด้วยญาณว่าจะเกิดภัยพิบัติ ว่าจะต้องมาช่วยแก้ไข ท่านมาด้วยยานฯ ที่เป็นวัตถุจากดาวพลูโต มาถึงโลกต้องใช้เวลานานเท่าใดครับ.. จะอยู่ช่วยนานเท่าใด... จึงจะแก้ไขให้ผ่านพ้นไป และก็เมื่อไรจะสำเร็จ จะได้ให้ชาวโลกสบายใจตั้งตัวใหม่ได้


(ผู้สูงสุดฯ) เข้าใจถามนะ ข้าพเจ้ามาจากดาวพลูโตน่ะ ในแผนที่จักรวาลก็มีนะ อยู่ในจักรวาลเดียวกัน มีดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน มีดวงดาราซึ่งเป็นสาขา และมีการใช้วงโคจรในแรงดึงดูดของสนามแม่เหล็กในแนวเดียวกันนะ

การเดินทางมาใช้เวลาไม่นาน เพราะอะไร? เพราะมีวิธีลัดน่ะ... วิธีลัดคือผ่านมิติมา อันนี้เป็นความรู้ชั้นสูง อธิบายก็คงไม่เข้าใจ เรียกว่า... วิธีผ่านมิติก็แล้วกันนะ

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ระยะเวลา ระยะทางไกลขนาดไหน ไม่ใช่สำคัญ เหมือนดวงจิตของพวกเจ้านะ นึกถึงอเมริกา กับนึกถึงบ้านของเจ้า เพราะฉะนั้น การนึกถึงก็เท่ากัน ไม่เกี่ยวกับระยะเวลา ไม่ใช่นึกถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้ระยะเวลานานกว่าจะนึกถึงได้ คงไม่ใช่อย่างนั้นละนะ

เพราะฉะนั้น วิธีลัดของข้าพเจ้า หรือพระญาณของข้าพเจ้า หรือเทคโนโลยีราชองครักษ์ที่ข้าพเจ้าได้นำมาด้วยนั้น ก็จะใช้วิธีที่เรียกว่า ผ่านมิติเข้ามา ใช้เวลาไม่นาน

แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจะอยู่ช่วยเหลือพวกเจ้านั้น ได้เคยกล่าวไว้แล้วในกาลก่อน มีในบันทึกนะ ก็จะบอกอีกสักครั้งหนึ่งว่า ข้าพเจ้าจะมาช่วยทั้งเทคโนโลยี ซึ่งเป็นวัตถุที่เจ้าเห็นกัน และมาทั้งพระญาณ ซึ่งผ่านร่างที่เป็นมนุษย์เพื่อสื่อสาร

การอยู่ช่วยเหลือของข้าพเจ้า ก็จะช่วยเหลือตั้งแต่ก่อนเกิดภัยพิบัติ อย่างเช่นในขณะนี้ มาให้พวกเจ้าเห็น มาให้พวกเจ้าเชื่อตามแต่บารมี ท่านที่มีบารมีตามแต่วาระจิต ก็จะได้เห็นข้าพเจ้าในความชัดเจน

เจ้าคนที่ถามครั้งก่อนนี้ ก็ไปถามเขาดู เขาได้เห็นความชัดเจนมาก

และสำหรับการที่จะอยู่ช่วยเหลืออันดับแรกนอกจากในขั้นต้นนี่นะ.... มาให้พวกเจ้าเห็นกันนะ
สงครามโลกของพวกเจ้าก็ต้องได้รับความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว ไม่อย่างนั้นแล้ว โลกมนุษย์ของเจ้ามันคงพังพินาศกันไปมากกว่านี้ ถ้าไม่ได้รับการสกัดกั้นด้วยเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว จากจักรวาลโลกุกะตาปากะดิกอง และจักรวาล และจากพระญาณ และยานฯ อวกาศของข้าพเจ้า

ส่วนที่ 3 ก็คือ ช่วงในการเกิดภัยพิบัติ จะมีความโกลาหลวุ่นวายมากมายกันเหลือเกินในโลกมนุษย์ของพวกเจ้า ตอนนี้ก็ถือดีกันอยู่ แต่พอตอนนั้นจะเหมือนลูกหมาตกน้ำ... หมดแล้ว...ลาภยศ...ไอ้ที่มันลดยาก มันจะลดลงไป หลุดลงไปเลย มันไม่มีแล้ว เหลือแต่ตัว ตัวเองก็แทบจะมากันไม่ถึง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก็จะกระเซอะกระเซิง เป็นที่น่าเวทนา

เพราะว่าพวกข้าพเจ้า เมื่อหลังเกิดภัยพิบัติ และจะอยู่ช่วยเหลือพวกเจ้าจนสามารถตั้งตัวกันได้ แล้วก็จะต้องถอนทัพกลับไป เพราะไม่สามารถจะอยู่ได้เลยตามกฎธรรมชาติ

เพราะฉะนั้น การมาช่วยเหลือนั้น ตั้งแต่ก่อนเกิด จนเกิดภัยพิบัติ จะอยู่กับเจ้านี่แหละ.....และหลังจากเกิดภัยพิบัติ ก็จะอดอยาก ยากแค้น แร้นแค้นกันแล้ว เทคโนโลยีของข้าพเจ้า ก็จะนำมาให้พวกเจ้าในการดำรงชีวิตอยู่ในปัจจัย


....................................................



ข้อความส่วนหนึ่งของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
ถ่ายทอดข้อความเป็นคลื่นเสียงไว้  ณ เขากะลา

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2542
......................



(คุณพิสมัย) อยากเรียนถามอีกอันหนึ่งค่ะ.... ถามว่า ที่ยานอวกาศของท่าน ที่ท่านอยู่มีกลางวันกลางคืนหรือเปล่าคะ ?

(ผู้สูงสุดฯ) ในโลกข้าพเจ้ารึ ? กลางวัน กลางคืนน่ะ แสงสว่างก็มีนะ แต่มันไม่เหมือนโลกมนุษย์ของเจ้า เพราะว่าถ้าตามระบบที่เจ้าเห็นกันอย่างง่าย ๆ ดวงอาทิตย์ส่องแสงไปถึงข้าพเจ้านะ มันไกลมาก เพราะฉะนั้น โลกของข้าพเจ้าก็มีแสงสว่าง มีความมืด มีความสว่างเหมือนกัน แต่ในอากาศมันจะหนาวเย็นกว่าถ้าเทียบกับอากาศของพวกเจ้าที่วัดกันนะ มันลบไม่รู้จะกี่ร้อยองศาของเจ้านะ พวกเจ้าไปอยู่กันไม่ได้หรอก แข็งตาย ... แข็งตาย วันเวลาก็ไม่เท่ากันนะ อายุของข้าพเจ้าก็ยืนยาวกว่าพวกเจ้ามากมายนัก

(คุณสำราญ) ท่านอายุเท่าไรแล้วคะ ?

(ผู้สูงสุดฯ) เออ.....เป็นหมื่นปีนะ

(คุณสำราญ) งั้นก็แก่กว่าองค์อินทร์ซิคะ

(ผู้สูงสุดฯ) ความแก่ความอ่อนนั้น มันนับกันไม่ได้หรอก เพราะอะไร? เพราะพวกเจ้าเวียนว่ายตายเกิดกันมากี่แสนปีแสนชาติมาแล้ว เจ้าไม่ใช่อายุแค่ 60 – 70 ปีนะ ถ้าจะนับอายุแล้ว เป็นแสน ๆ ปี ล้าน ๆ ปี ใครจะแก่กว่าใครล่ะ มันแก่ที่ภูมิธรรม ภูมิปัญญา

เพราะฉะนั้น การที่บุคคลอายุน้อย แต่สามารถให้ธรรมกับเจ้าได้ คือเขามีภูมิธรรมที่มากกว่าเจ้า นั่นเป็นบุคคลที่ควรเคารพ เพราะฉะนั้น พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า บางท่านบวชตั้งแต่อายุยังน้อย บางท่านบวชตั้งแต่เป็นสามเณร แต่ภูมิจิตภูมิปัญญาของท่านมาก เพราะฉะนั้น เจ้าก็ควรเคารพสักการะด้วยจิตใจ นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เขานับที่อายุธรรมะกันนะ ไม่ได้นับที่อายุแก่ แก่กะโหลก กะลา มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร

(คุณวิโรจน์) ท่านครับ มนุษย์ในโลกนี้ ที่แก่เพราะเกิดมานานกว่า ผมแก่นี่แสดงว่าผมเกิดมาก่อน

(ผู้สูงสุดฯ) แก่เพราะเกิดมานาน เป็นสมมุติของอายุมนุษย์ในโลกนี้ตามธรรมเนียมธรรมดา เอาไว้นับว่าใครแก่กว่าใครเท่านั้น แต่ถ้าแก่กันจริง ๆ แล้ว นับตามการเคารพ ต้องนับในคุณธรรมของเขา 

เพราะฉะนั้น ข้าไม่อยากจะว่านะ พวกนักการเมือง นักบริหารประเทศของพวกเจ้าน่ะ แก่ ๆ ก็มี 70, 80 ที่เล่นการเมือง จนตายคาการเมืองไปก็มี แต่มันน่านับถือไหม ? ถ้าวาระจิตของเขาไม่ดี เพราะฉะนั้น ถึงเขามีบารมีทางโลก เขามีอายุมากทางโลก แต่ในวาระจิตในภูมิธรรมของเขาแล้ว มีความโลภโมโทสัน ก็ไม่น่าเชื่อถือละนะ ไม่น่าที่จะไปกราบไหว้

เพราะฉะนั้น บุคคลที่มีอายุไม่มากไม่น้อย หรือว่าอายุน้อยกว่าพวกเจ้า แต่เขาสามารถให้ธรรมที่เขาปฏิบัติดี ประพฤติดี ประพฤติชอบ นั่นแหละ เป็นสิ่งที่พวกเจ้าสมควรนับถือ เคารพในภูมิปัญญาของเขา ในสิ่งที่เขาจะให้ปัญญากับพวกเจ้า นั่นแหละเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า... 


การที่จะสั่งนำยานอวกาศมาอนุโมทนานั้น มาจากวาระจิตของพวกเจ้านั่นแหละ ไม่ได้สั่งจากไหนเลย ไม่ได้สั่งจากวาระจิตของข้าพเจ้า สั่งจากวาระจิตของพวกเจ้า จะเล็งในวาระจิตของพวกเจ้านั่นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าดวงจิตของพวกเจ้ามีความประภัสสร มีจิตเบิกบาน มีความสงบ มีความสำรวม มีความละมานะทิฐิของตัวเอง มีจิตจำนงมุ่งตรงสู่พระนิพพาน ซึ่งเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตัวเอง ข้าพเจ้าก็จะสั่งมาตามวาระจิตในส่วนรวม

เพราะฉะนั้น เจ้าเป็นผู้กำหนด กำหนดว่ายานอวกาศมาใกล้มาไกล เพราะฉะนั้นจะไปโทษใครไม่ได้ ตอนนี้นะโทษผู้อื่น .... ทำไมไม่มานะ..ใช่ไหม? แหม ... ท่านใจร้ายจังเลย ทำไมไม่มาใกล้ ทำไมมาไกล มิใช่ข้าพเจ้า ขอกล่าวนี้เป็นสัจจะวาจา 

เพราะฉะนั้น ทุกอย่างอยู่ในความสามัคคีของพวกเจ้าในวาระจิตของพวกเจ้าที่มีความสามัคคี รวมพลังเป็นหนึ่งเดียว เพราะการที่จะเป็นผู้นำ เป็นทหารในกองทัพของข้าพเจ้า จะต้องมีความสามารถ รวมทั้งเป็นหนึ่งเดียวกัน จะเป็นพลังซึ่งส่งมา และข้าพเจ้าจะประเมินเอง เพราะฉะนั้น ตรงนี้ให้รับทราบโดยทั่วกันว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพวกเจ้า ขึ้นอยู่กับวาระจิตของพวกเจ้า

จากการที่มีเทพต่าง ๆ หรือผู้ที่มีความเจริญจากต่างจักรวาลมาคอยดูแลพวกเจ้านั้น ก็มาตามบารมีของพวกเจ้านั่นเอง เจ้าเป็นผู้ที่มีบารมี จึงต้องมีผู้ที่มาประคับประคองให้เจ้ามาสร้างบารมีกันต่อไป เป็นการเกื้อหนุนของกันและกันของธรรมชาติ มันมิใช่เป็นการบังเอิญ หรือเป็นความฟลุค หรืออะไรต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากกฎธรรมชาติ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย อันนี้พูดถึงเรื่องระบบร่างกายของเจ้า ก็จะมี...เออ..นี่มันลึกไป แต่มันคงไม่ลึกไปเท่าไรหรอกนะ เซลล์มันจะขาว ๆ ในการที่จะปกป้องหรือมากำจัดเชื้อโรค อันนี้ก็คือเป็นสิ่งที่อัตโนมัติ ในกฎของธรรมชาติ

เพราะฉะนั้น ร่างกายของเจ้าเอง มันทำงานยังไง มันมีระบบการบังคับบัญชาอย่างไร .... พวกเจ้าก็ไม่สามารถไปสั่งได้ ... เอ้า..กล้ามเนื้อหัวใจเต้นช้าลงหน่อยซิ ตอนนี้ใจมันสั่น .. มีแต่มันยิ่งสั่นยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ถ้าคิดว่าร่างของเจ้า เป็นของเจ้า มันไม่ใช่ มันเป็นของธรรมชาติทั้งหมด

สิ่งนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยนนะ ขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งรวมกันแล้วก็คือตัวเจ้า ความรู้สึก ความนึกคิดทั้งหลายทั้งมวล ซึ่งอยู่ในร่างของเจ้า   ซึ่งจริง ๆ แล้ว มันก็ไม่ใช่ตัวเจ้าเลย. 


 .......................................

(ข้อความส่วนหนึ่ง ในการให้โอวาท เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2542) 


..................................................



ข้อความจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  ที่ได้นำมาแจ้งให้ทราบนี้  
คาดว่าน่าจะมีการเปิดมุมมอง  ให้บางท่านได้มองเห็น
ความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติได้มากขึ้น  

รวมถึงได้รับรู้ถึงโครงการ และจุดมุ่งหมาย  ของการมาโลกมนุษย์เพื่ออะไร?

ยังมีข้อความการให้โอวาทอีกเป็นจำนวนมาก   หากมีเวลาจะทยอยถอดเทปเสียง  เพื่อนำข้อมูลที่สำคัญมาให้รับทราบต่อไป

ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ติดตามอ่านข้อความอย่างต่อเนื่องค่ะ

............................................



ข้อความส่วนหนึ่ง   
การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  
เมื่อวันที่ มีนาคม  2542  
ที่เขากะลา  


.......


(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)วาระจิตของมนุษย์  พวกเจ้าปิดบังวาระจิตน่ะ  ปิดบังข้าพเจ้าไม่ได้นะ  เดี๋ยวนี้มีวิวัฒนาการเครื่องจับเท็จ  ขนาดต่างประเทศ  ซึ่งมันมีวาระจิตที่ไม่มีโทรจิต  มันยังรู้กันเลย  มีเครื่องจับเท็จน่ะ  

....แล้วทำไม  ข้าพเจ้านะ  ผู้ซึ่งมีเทคโนโลยีในขั้นที่จะมาช่วยเหลือพวกเจ้าได้  แล้วทำไมจะไม่รู้  ตรงนี้นะ  หากเรามีความจริงใจในการปฏิบัติธรรมนะ  สงสัย หรือคิดอย่างไร  ในการที่เราเป็นแบบนี้  มันถูกต้องมั๊ย  สอบถามในผู้ที่เป็นอาจารย์  หรือผู้ที่เป็นหัวหน้าอาจารย์นะ  ไปสอบถามเขานะ  ขอความกระจ่างกับเขา  เราทำอย่างนี้มันถูกตรงมั๊ยนะ  สอบถามเขา  เพราะเขาจะให้คำตอบกับพวกเจ้าได้ในส่วนหนึ่ง
 
แต่คำตอบนั้น  ถ้ายังไม่กระจ่างกับพวกเจ้าทั้งหลาย  จงมาถามข้าพเจ้า  เพราะข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าของหัวหน้าอาจารย์อีกทีหนึ่ง 
 
ตรงนี้นะ  เป็นส่วนที่เราต้องการคนจริงนะ  เพราะข้างหน้ามันวิบัติแน่นอนโลกของเจ้า  ถ้ายังสงสัยกันอยู่ ก็หายสงสัยกันซะ  มันวิบัติแน่นอน  

และเจ้าจะต้องปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่นะ  ยิ่งใหญ่ 
 
 
ภารกิจนี้  เป็นภารกิจเฉพาะกิจ  ต้องใช้เทวดาที่มีภูมิธรรม  มีจิตใจกล้าหาญ  ลงมาปฏิบัติภารกิจนี้ล้วน ๆ   เพราะฉะนั้น  ภูมิจิตต่าง ๆ ในการที่พวกท่านทั้งหลายได้อธิฐานจิตกันลงมาก็ดี  ในการที่ท่านทั้งหลายได้มีการคัดเลือก จากภูมิจิตของมนุษย์  จากภูมิจิตของเทวดาชั้นที่ เทวดาชั้นที่ 2 หรือเทวดาชั้นที่ หรือผู้ที่เป็นบุตรบริวารของผู้ที่มาจากต่างดวงดารา  หรือต่างจักรวาลก็ตาม  มาผสมรวมกัน ณ ที่นี้  จะต้องมีการคัดความสุดยอดของในภพนั้น ๆ มาประสมรวมกันนะ  ถึงจะมาปฏิบัติภารกิจอันสำคัญนี้ได้  
 
เพราะฉะนั้น  ตรงนี้เรียกว่ารวมของผู้สุดยอด  รวบรวมมา  ต้องใช้ของเก่า  มาเอาชาตินี้มันไม่ทัน  เพราะอะไร  เพราะเกิดมามันก็จะวิบัติแล้ว  มิได้เรียนรู้อะไรกันเลย   แต่เราต้องมีภูมิจิตเก่าในการที่จะมาพบ  ผู้ที่จะนำภูมิจิตเก่าของท่าน  ดึงภูมิจิตเก่าของท่านออกมา  ในการที่ข้าพเจ้าจักให้แก่ท่าน  

 
ข้าพเจ้า  ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  คือผู้ที่จะเปิดวาระจิต  หรือเปิดภูมิเก่าของพวกท่านทั้งหลาย  ในการที่ท่านทั้งหลายได้ผ่านสิ่งใด ๆ มาก็ตาม  ได้ผ่านในบารมีใด ๆ มาก็ตาม  ข้าพเจ้าจะเป็นผู้นำในการที่จะให้พลังต่าง ๆ   ซึ่งนั่นก็คือของเก่าในส่วนหนึ่งของพวกท่านทั้งหลายที่มีอยู่แล้ว  เอาของเก่ามาเล่ากันใหม่  แล้วเอาของใหม่ที่ยังไม่มีสมทบขึ้นไปอีกทีนึ่ง  ตรงนี้จะเป็นความสมบูรณ์ในการที่จะช่วยเหลือ... 



.......................................




ข้อความส่วนหนึ่ง   
การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  
เมื่อวันที่ มีนาคม  2542  
ที่เขากะลา  

...................

เดินตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์
 
 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  การที่เราทำไมถึงต้องเดินตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์  ตรงนี้นะ เข้าใจให้ง่าย ๆ นะ  
 
เดินตามรอยบาทนั้น  ก็คือพระพุทธองค์ท่านมี 2 เท้าเหมือนเรา  ท่านเดินก้าวเท้าขวา เท้าซ้าย  รอยพระบาทนั้นจะเป็นแนวเดียวถูกมั๊ย  จงนึกถึง อย่าไปคิดอะไรที่มากมาย  การที่ท่านเดินตรงไปทางไหน  เดินเท้าซ้าย เท้าขวา  รอยพระบาทจะเป็นแนวเดียวนะ  ตรงนี้อุปมาอุปไมยให้เห็นชัดในกาลก่อน  เมื่อท่านเดินไปในแนวทางไหน  ขอให้เราสาวกทั้งหลายดูแนวทางของท่านแล้วก็เดิน  ซึ่งใครเดินได้ใกล้  หมายถึงใกล้ชิด  นั่นก็คือ  ท่านเดินเท้าซ้าย  เท้าขวาเนี่ย  เราห่างท่านไม่เกิน 2 - 3 ก้าวนี้  จักไม่ค่อยพลาด  แต่ถ้าท่านเดินไปแล้วประมาณ 1 กิโลเมตร   เรามาเดินนะ  คลำทางนะ  มันจะตรงมั๊ย  มันก็ต้องมีการเลี้ยวไปทาง  คนโน้นตะล่อมเข้ามาตรง  แล้วมันยาก  

มันยากเพราะอะไร  เพราะเราไม่เห็นของจริง  ไปนู้นแล้ว  ลิบแล้ว  ตรงนี้มันจึงเป็นการยาก  ยากที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพานเป็นกาลเวลาอันเนิ่นนาน  ถ้าเทียบกับอายุของเจ้าไม่รู้หลายช่วงตัว  
 
แต่การที่ท่านได้ทรงตรัสไว้  ในการที่จะให้คำสั่งสอนของท่านในการบัญญัติหรือบันทึกไว้นั้น  เป็นศาสดาแทนองค์ท่านนะ   ตรงนี้ ถ้าเรามีความจริง  หรือเป็นคนจริง   ในการที่จะปฏิบัติตามในวาระของการที่จะเดินตามรอยบาทของพระพุทธองค์นะ  ถ้าเป็นคนจริง
 
ดังนั้น  การที่ท่านบัญญัติไว้ว่า  สิ่งทั้งหลายในพระไตรปิฎกนั้น  ท่านให้เรานับถือเหมือนการที่ท่านเป็นพระศาสดา  สั่งสอนเอาไว้  เพราะฉะนั้น  ตรงนี้เราต้องมาดูว่าในพระไตรปิฎกนั้น   ท่านสั่งสอนอะไรไว้บ้าง   ประมวลเหตุ ประมวลผล  ประมวลดูนะ   
 

หลักใหญ่ใจความก็ไม่พ้นไปจากตัวของเรานี่เลย  ไม่พ้นจากการพิจารณา  อนิจจัง  ทุกขัง อนัตตา ของตัวเรานี่เลย  ไม่พ้นจากธาตุ ขันธ์ พิจารณาความทุกข์
 
 
เพราะฉะนั้น  ทุก ๆ คนในที่นี้  หากจิตยังไม่ถึงอรหันต์  จะยังเป็นผู้ที่ไม่สามารถพ้นไปจากความทุกข์ไปได้ทุกคน  เพราะหากเราคิดว่า   ตัวเรานี้สุขแล้ว    ตรงนี้ขอให้ระลึกในวาระของท่านว่า  มันไม่จริงหรอกนะ  เพียงแต่ท่านอาจจะมีความทุกข์ที่มันผ่อนขึ้น  ถ้าเทียบกับผู้ที่ทุกข์แสนสาหัสในโลกมนุษย์ของท่าน  ท่านอาจจะผ่อนกว่าเขาหน่อย  แต่มันยังไม่พ้นความทุกข์  มันท่วมหัวนะ
 
แล้วก็ท่วม  ถ้าพูดถึง  ถ้าเรียกว่า   พวกชั้นบรรยากาศของพวกเจ้านะ  ความทุกข์มันครอบคลุมอยู่ในชั้นบรรยากาศนะ  คลุมอยู่  เพราะฉะนั้น  พวกเรายังจมอยู่ในกองทุกข์กันทุกคน  
 
เพราะฉะนั้น  ขอให้ตระหนักกันไว้ หากประมาทนิดเดียว  ความทุกข์มันจะกดหัวเรา  อยู่มันอย่างนี้แหละนะ  วนกันอยู่นี่แหละ  เพราะความทุกข์มันท่วมนะ   เรียกว่าชั้นบรรยากาศของเจ้าก็ได้ เพราะพวกที่ยังอยู่ในโลกีย์วิสัย  ลาภ ยศ สรรเสริญ  วนเวียนกันอยู่อย่างนี้  มันน่าเบื่อเหลือเกิน  
 
แต่เพราะว่าไม่สามารถระลึกกันไปถึงชาติอดีตได้  ก็ยังคิดว่ายังสด  ยังใหม่กันอยู่นี่แหละ  หือ... เพิ่งเจอครั้งแรก  กามฉันทะ หรืออะไรก็ตาม  ยังคิดว่าครั้งแรก  มันไม่ใช่  

ในเมื่อญาณของผู้ระลึกรู้ได้แล้วท่านจะรู้ว่า  โอ๊ย...วนเวียน  วนเวียน  เดี๋ยวก็ซ้ำกันอีก  ซ้ำกันอีก  วนเกิด เวียนตาย  เดี๋ยวเป็นพี่ เป็นน้อง  เดี๋ยวเป็นพ่อเป็นแม่  เดี๋ยวเป็นเพื่อน  จากเพื่อนที่เคยโกรธเคืองกัน  อาจจะไปเป็นพี่น้องที่คับข้องหมองใจกันก็ได้  หรือจะมาเป็นพ่อแม่  หรือพ่อลูกที่มีความขุ่นข้องหมองใจ  ตรงนี้มันวนเวียน ปนเปกันเหลือเกิน
 
เพราะฉะนั้น  ญาติทั้งหลายนะ  ก็ต้องเคยเกิดมาเป็นญาติกันสักชาติหนึ่งนั้นแหละ ในการพูดตรงนี้  พวกท่านจงมีจิตที่เมตตาซึ่งกันและกัน  เวลานี้ไม่ใช่อื่นไกล  เรานี้ไม่ใช่ใครที่ไหน  พี่น้องกันทั้งนั้น     ในภพของร่างของมนุษย์ซึ่งพบเจอกันในตาเนื้อมนุษย์นี้  พี่น้องกันทั้งนั้น   หรืออาจจะเป็นญาติกันทั้งนั้น  เพราะฉะนั้นตรงนี้เรามิอาจรู้ได้
 
แต่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า  การเวียนว่ายตายเกิดของเรานี้  นับภพนับชาติไม่ถ้วน  มันสาหัสนะ  นับภพนับชาติไม่ถ้วนเนี่ย    แต่ตอนนี้คนที่เขาประมาทก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  เพราะอะไร....  เพราะเขาคิดว่าเขาเพิ่งเกิดมาได้ 30 ปี , 40 ปี หรือ  50 ปี  เขาคิดว่าใหม่  แต่จริง ๆ แล้วไม่
 
อายุของข้าพเจ้าเป็นหมื่น ๆ ปีนั้น  ยังไม่เท่าอายุของการเวียนว่ายตายเกิดของพวกเจ้า  เพราะฉะนั้น  การจะนับอายุ  หรือจะนับเรื่องอาวุโสในเรื่องของอายุมนุษย์นั้น  มันนับไม่ได้  พระพุทธองค์ท่านจึงทรงนับอายุ หรือบารมีของทางธรรมะตรงนี้  อายุทางโลกีย์วิสัย  มันนับไม่ได้  มันเวียนเกิดเวียนตายนะ  เดี๋ยวเป็นเทวดา  เดี๋ยวเป็นพรหม  อุบัติลงมาเวียนว่ายตายเกิดมันไม่รู้จักเท่าไร  ตรงนี้  เมื่อไม่มีการจำ หรือการระลึกชาติได้  ก็ยังคิดว่าสิ่งที่เราได้รับมานี้ใหม่อยู่เสมอนะ.



......................................



การให้โอวาท  จากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  บนเขากะลา  เมื่อวันที่  5 กันยายน  2541
การให้โอวาทในวันนี้  มีการเปิดมิติให้เห็นกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว  เป็นครั้งแรกด้วย

ขอนำการตอบคำถาม  ในเรื่องราวของภัยพิบัติต่าง ๆ มาให้ได้รับทราบในบางส่วนค่ะ

......................

(คุณภัทรพล)  สงครามโลกเกิดก่อน  หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดก่อนครับ

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้น  ทางด้านการเกิดเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเจ้าที่มีบารมีก็จะรับรู้   จะสังเกตุได้    เริ่มเตือนจากทางน้ำ  ทางดิน  ทางลม มีอยู่แล้ว  แต่ภัยพิบัติที่เป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่  ยิ่งใหญ่ถึงจะกวาดล้างมนุษยชาติไปเกือบ 100 %  นั้น  จะต้องเกิดหลังสงครามโลกของเจ้า  รบราฆ่าฟันกันลงไป  ทำให้ภัยพิบัตินั่นคือจุดสูงสุด  สุดขีดของแรงกรรม  กฎของธรรมชาติจึงจะกวาดล้างอีกครั้งหนึ่ง
 
นั่นคือสงครามโลกของเจ้าจะเกิดขึ้นก่อน   ซึ่งตอนนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว  แต่เป็นลักษณะของการเตรียมการ  การรวบรวม  การประมวลผล  การทดสอบ  การหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน....

........................................


(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) สิ่งที่เจ้าได้เคยพูดมา  ที่เจ้าได้เคยศึกษามา   แกนโลกเอียง  มันไม่ใช่เอียงโดยไม่มีสาเหตุหรอกนะ  เนื่องจากแรงกรรมอันสูงสุด  ทำให้วงโคจรของโลกของเจ้า  ของดวงดาวของเจ้าในระบบสุริยะ  มันเกิดการแปรปรวน  เหตุเกิดจากกรรม  ....  กรรมดำ ... ที่สะสมกันมามากกว่า 70 % มันส่งผล  ส่งผลระดับโลก  ระดับจักรวาล  
 
สิ่งที่พวกเจ้าคิดไม่ถึง  คิดว่าเป็นธรรมชาตินั้น  มันไม่ใช่  จุดกำเนิดเกิดจากกรรมดำ มันมีอำนาจมากเพราะสั่งสมกันไปทั้งโลก  มันก็เลยส่งผลถึงจักรวาล  ทำให้เดือดร้อน ทำให้แกนโลกของเจ้าเอียง  
 
มันมาจากจุดเล็ก ๆ เหมือนน้ำหยดหนึ่ง  หยดกันเข้าไป  เป็นเดือนเป็นปี  มันก็เต็มโอ่ง  เป็นปี  เป็นหลายสิบปี  มันก็เต็มแท็งก์  แต่กรรมที่พวกเจ้าทำกันไว้นั้น  เป็นปี  เป็นหลายสิบปี มันก็รวมกัน  จากกระแสกรรมของต่างคนเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมกันส่งผลถึงทั้งโลก  ส่งผลถึงทั้งจักรวาล  มันไม่น่าเกี่ยวกันได้  แต่มันก็เกี่ยวกัน   
 
ตอนนี้มันกลียุค  มันสั่นสะเทือนไปทั้งจักรวาลแล้ว  ไม่งั้นข้าพเจ้าคงไม่มาหรอก  ข้าพเจ้าอยู่โน่น  ไกลกว่าเจ้า  เทคโนโลยีของพวกเจ้าไปไม่ถึงข้าพเจ้า  แต่กรรมของเจ้ามันไปถึงแล้ว  มันเป็นเรื่องเหลือวิสัยของพวกเจ้าที่จะคิดกัน  เทคโนโลยี ยานอวกาศของพวกเจ้ากี่หมื่นกี่แสนปีก็ไปไม่ถึงข้าพเจ้า  เป็นจุลไปหมดก่อนที่จะไปถึง  
 
แต่กรรม  กรรมมันไปถึงแล้ว  มันกระจายไปทั่วจักรวาลแล้ว  มันส่งผลถึงสนามแม่เหล็กบิดแกนโลกเอียง  เออ...กรรมดำนี่มันมีอานุภาพนะ
 
 

(คุณภัทรพล)  ..... ร้ายแรงกว่าปรมณู
 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  .... นั่นแหละ  มันร้ายแรง  อะไรที่เป็นคนกดจุดปรมณูเจ้ารู้ไหม ก็กรรมนั่นแหละ  กรรมดำนั่นแหละมันไปกด  กด  กด  และปรมณูมันก็ระเบิด   สิ่งที่เป็นเหตุ  มันอยู่ที่กรรมดำ  เพราะฉะนั้น  ไอ้คนที่กดนั่นแหละมันก็มีกรรมดำเป็นเหตุอยู่  มันถึงสามารถกดได้
 
แต่สิ่งนี้  ทวยเทพที่เขามาแก้นี้  จะมาแก้กรรมดำ  เรามาช่วยกัน....แก้กรรมดำ ...แต่มันไม่สามารถหยุดยั้งกรรมดำทั้งมากได้หรอกนะ
 
 

(คุณภัทรพล) ที่ว่าภัยจากน้ำนี้  ไม่ทราบว่าอันดับต่อไป  น้ำนี้จะทำยังไงบ้างครับ  เพราะภัยจากน้ำ  มีหลายแบบเหลือเกิน  น้ำท่วม  คลื่นสึนามิ  ลานีย่า
 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ไอ้เศษ ๆ ที่มันเกิดขึ้นเป็นการเตือนนั้น  มันไม่ได้ 10 ส่วน ใน 100 ส่วนหรอกนะ  มันไม่ถึง   ไอ้คลื่นที่ชาวต่างชาติของเจ้าได้รับการประสบนั้น  มันเป็นการทำตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของธรรมชาติ  ที่ถึงกำหนดแรงกรรมของเขา  

 
แต่ผู้มีบารมี  ได้รับรู้  รับเห็น  จากการสื่อสารของเจ้า  ก็จะเป็นเครื่องเตือนใจ  เป็นตัวอย่างให้เห็น  เพราะสิ่งที่พวกเจ้าจะไม่เคยพบเคยเห็นนั้น  จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า  
 
 
ไม่ว่าความเจริญทางด้านเทคโนโลยีสูงสุดจากต่างจักรวาล  

และภัยพิบัติสูงสุดจากโลกของเจ้า

.................................


(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)   ข้าพเจ้าได้บอกไปในกาลก่อนแล้วว่า  ภัยธรรมชาตินั้น  มันจะมีขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ทุกวินาที  มันเกิดขึ้นอยู่  เมื่อโลกของเจ้านะ  กลม ๆ อย่างนี้นะ  จุดตรงกลางเจ้ารู้มั๊ย...จุดกลางมันเป็นความร้อน  ความร้อนอย่างมาก  เมื่อได้เวลาของกรรมดำของเจ้า  มันจะปะทุจากข้างในออกมา  จนถึงผิวเปลือกของเจ้า  ข้างนอกของเจ้าเป็นน้ำ  เป็นดิน  เป็นธาตุเย็น  แต่ข้างในล่ะ  มันเป็นธาตุร้อน   เพราะฉะนั้น ธาตุร้อนที่อยู่ในพื้นพิภพนั้น  พอได้เวลาที่กรรมดำของพวกเจ้ามันรวมกันไปในส่วนมาก  มันก็จะดึงดูดเอาธาตุร้อนนั้นมาปะทุ  ในจุดที่มันเป็นกรรมหนัก  อย่างที่พวกเจ้าพบกันว่า  เป็นภูเขาไฟใต้น้ำนั่นแหละ  มันคือการปะทุของแรงกรรม
 
เพราะฉะนั้น  ทั่วโลก  ทั่วสากลจักรวาลของเจ้า  มันสามารถปะทุได้ทุกที่  ทั้งประเทศที่ไม่มีภูเขาไฟ  หรือประเทศที่มีภูเขาไฟ  ทั้งในใต้น้ำ  ทั้งในใต้พื้นดิน   มันจะมีรอยแตก  รอยปะทุนั้นเป็นไปได้ทั้งหมด
 
 
........
 
(คุณภัทรพล)  ....ที่ว่าน้ำจะกระฉอกทั้งโลก

 
 

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  .... น้ำที่มันจะกระฉอกไปทั่วทั้งโลกนั้น  โดยทั่วถึงกัน  พร้อมกัน   ในเวลาใกล้เคียงกันนั้น  มันต้องมาจากแรงกรรมของพวกเจ้า  ที่ดึงดูดวัตถุที่มาจากนอกโลก  วัตถุนั้นมันมาตามกรรมดำของพวกเจ้านั่นแหละ
 
(คุณสมจิตร)  ที่ว่าดาวหางหรือคะ
 
 

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ...มันไม่ใช่ดาวหางหรอกนะ  มันเป็นสะเก็ดดาว  เป็นอุกกาบาต  มันมาตามแรงกรรม  มันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง  
 
เหมือนต้นไม้  เหมือนก้อนหินในโลกของเจ้าน่ะแหละ  แต่มันลอยอยู่นอกโลก  รอเวลา  ไอ้โลกอันไหนมันถึงเวลาข้าก็จะไป  โลกอันนี้ถึงเวลาข้าก็มา..ตูม..ตูม
 
เพราะฉะนั้น  เจ้าได้ถามถึงเรื่องของน้ำ  ธาตุน้ำจะกระฉอกกันทั่วทั้งโลกนั้น  ถ้าทั่วทั้งโลกในเวลาใกล้เคียงกันนั้น  ข้าพเจ้าก็จะบอกสาเหตุ  ว่ามาจากวัตถุที่มาจากนอกโลก  นั่นคือธรรมชาติอันหนึ่ง  เขามาตามแรงกรรมของเขา  ไม่มีใครกลั่นแกล้งเจ้า  แต่พวกเจ้าสั่งสมแรงกรรมกันเป็นส่วนมากถึง 70 % หรือมากกว่านั้น  เขาจึงดึงดูดแรงกรรม  แต่นั่นจะมาในระยะท้ายของภัยพิบัติ  เพราะฉะนั้น  สิ่งที่เขามานั้น  มันจะกวาดล้าง  กวาดล้างกันไปเกือบทุกชีวิต  ยกเว้นในบางชีวิตที่มีการเตรียมการอยู่ในที่ที่ปลอดภัย  โดยเทพที่มีญาณหยั่งรู้  มีการเตรีมการไว้ก่อน  
 
แต่ชีวิตที่เหลือโดยบังเอิญนั้น  ก็จะเป็นบ้าเป็นบอกันไป  เพราะทนไม่ได้ในการที่ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนร่วมประเทศ  เพื่อนร่วมจังหวัด  เพื่อนร่วมตำบล  เพื่อนร่วมหมู่บ้านต้องตายไปต่อหน้าต่อตา  สติก็จะวิปลาศ.
   


..................................


(คุณภัทรพล) ท่านครับ  กลียุคจบแล้ว  เขาว่าก็ต่อด้วย.."ยุคทอง"    ยุคทองของโลกเรายังมีไหมครับ?
 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  .... ยุคทอง  เป็นคำเปรียบเปรย  ไม่ใช่ยุคที่มีทองหรอกนะ  เป็นยุคที่มีความศิวิไลในด้านจิตใจ  นั่นยิ่งกว่าทองในประเทศของเจ้าเสียอีก  เพราะฉะนั้น  ในเมื่อเกิดกลียุค  คนชั่ว 70 % ถูกกวาดล้างลงไป  คนดีที่ยังเหลือรอดอยู่  เจ้าก็คำนวนเปอร์เซ็นต์ดูสิ  พอคนชั่วตายไป  คนดีตอนแรกมี 30 %  พอตอนหลังก็จะกลายเป็น 80 - 90 %  เพราะว่าคนชั่วมันตายลงไป  เข้าใจไหม? 

ในเมื่อเหลือแต่คนดี  ธรรมชาติ  ก็เป็น "กฏธรรมชาติ"  เมื่อเหลือแต่คนดีในส่วนมาก  เหลือแต่ผู้มีบารมีในส่วนมาก  ก็จะมี "ปาฏิหาริย์ทางธรรมชาติ"

ในสมัยก่อนธรรมชาติมันไม่ร้อนอย่างนี้  แดดของเจ้ามันไม่ร้อนอย่างนี้  ต้นไม้ของเจ้ามันไม่แห้งแล้งอย่างนี้  แต่เพราะบุญบารมีของพวกเจ้าม้นน้อยลง  ธรรมชาติมันก็เลยแปรปรวน  ดินก็แห้งแล้ง  น้ำก็มาในวาระที่ไม่ควรจะมา  ในที่ที่จะเพาะปลูกก็ไม่มา  มาในที่ที่ไม่ต้องการ  เพราะอะไร?   ก็เพราะแรงกรรมของพวกเจ้า

เพราะฉะนั้น  "ยุคทอง"  มันไม่ต้องรอเวลานานหรอกนะ  หลังจากภัยพิบัติของพวกเจ้า  ได้เกิดการกลียุคขึ้น  มีภัยพิบัติกวาดล้างคนเลวลงไปจนเกือบหมดแล้ว  และผู้ที่ยังรับเศษกรรมจากความชั่วของตัวเอง  ได้มีการได้รับกรรมไปในระยะหนึ่งแล้ว  ยุคทองนั้น  ก็จะมีปาฏิหาริย์อื่น ๆ ผุดขึ้นมา  ทรัพย์สินเงินทองจะผุดขึ้นมาจากดิน  เจ้าก็คงนึกภาพกันไม่ออก  ทองจะผุด  แร่ธาตุทองจะผุดขึ้นมาจากดิน  ต้นไม้ใบหญ้าแปลก ๆ จะขึ้นมาให้พวกเจ้าได้รับรู้  เจ้าเคยได้ยินไหมล่ะเจ้าก็ศึกษามามาก  ในสมัยก่อน  ต้นไม้เกิดขึ้นวันเดียวให้พวกเจ้าได้กินผลกันได้  อะไรนะ  ข้าวอะไรของพวกเจ้าน่ะ  มันมีจริง ๆ นะ  แต่ในสมัยนั้น  ผู้มีบารมี....มีอยู่เยอะ  

เพราะฉะนั้น  ไม่ต้องมาปลูกข้าว  ทำนา ใช้แรงควาย  ใช้แรงวัวอย่างพวกเจ้านี้หรอก  จะทำมาหากินยังต้องไปรังแกสัตว์  มันก็กรรมของพวกเจ้าที่ต้องเกิดมาในยุคนี้   จะประกอบอาชีพสุจริตยังต้องมีการทำกรรมเข้าไปในส่วนหนึ่ง  เพราะฉะนั้น ในยุคของเจ้าเป็นกลียุค  มันหลีกเลี่ยงไม่ได้   

ในสมัยก่อน ไม่ต้องไปทำกรรมหรอก  อยู่ดี ๆ ต้นไม้ก็ขึ้นมา  เจ้าก็กินได้  เหมือนในสมัยนี้  ต้นไม้ที่มีผลกินได้เลยก็มีไม่ใช่รึผลไม้ของเจ้า  เจ้าไม่ต้องไปหุงหา  เจ้าก็กัดกินได้เลย  ข้าวในสมัยก่อนก็เหมือนกัน  เขาไม่ต้องไปหุงหา  เขาก็สามารถกินได้เลยเหมือนกัน  มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นนิยาย  หรือเขาแต่งมาหลอกพวกเจ้าหรอกนะ  มันเป็นเรื่องจริง. 

................................


(คุณภัทรพล)  เชื่อแล้วครับว่า  ปัญญาของดาวพลูโตนี้ไม่ธรรมดา  เหนือกว่าโลกมนุษย์มาก
 
... ผมจะได้แก้ไขในอินเตอร์เน็ตภาษาไทยว่า  ... วิธีแก้..ก็คือปฏิบัติธรรม 
 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ... ข้าพเจ้าจะขอให้ความกระจ่างในแง่ธรรมะกับเจ้านะ.... ที่เจ้าบอกนั้นว่า "ปฏิบัติธรรม"  นั้น  ในฐานะที่เจ้าเป็นประชาสัมพันธ์  เจ้าควรจะได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องของจุดมุ่งหมาย  นอกจากผู้ที่มีบารมีจะต้องรู้ถึงการปฏิบัติธรรมนั้น  ไม่ใช่แค่สวดมนต์นะ  ปฏิบัติธรรมนั้น  เจ้าก็จะต้องรู้เหตุ  เจ้าไปบอกกับพวกเขานะ  ถ้าเจ้ามีโอกาส  บอกกับผู้ที่มีความรู้  ไม่ว่าระดับไหนก็ตาม  ต้องรู้เหตุ...รู้เหตุของภัยพิบัติ..ว่าเกิดจากอะไร ? 
 
เขาจะปฏิบัติธรรมได้  เขาต้องรู้เหตุภัยพิบัติครั้งนี้  เมื่อเข้าใจแล้ว และรู้ว่าเหตุนั้นเกิดจาก "กรรมดำ" ที่ทำกันเป็นส่วนมาก   และผู้ที่มีบารมีที่จะรอดพ้นภัยนั้น  นั่นก็คือเหตุที่ดี  ทำไมต้องมีการช่วยเหลือจากผู้ที่มาจากต่างจักรวาล  หรือจากเทวโลก  ก็เพราะว่าผู้ที่มีบารมี  ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้ก่อกรรมดำขึ้นนั้น  และเป็นผู้ที่มีบารมีเก่าอยู่  สมควรได้รับการช่วยเหลือนั้น  นั่นก็คือ...เป็นผล...จากการที่เขาได้ทำเหตุที่ดีอยู่แล้ว  
 
เพราะฉะนั้น  ภาษิตของเจ้าว่าไงนะ....คนดีตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้..ใช่ไหม?   เจ้ากำลังจะตกไฟกันนะ  เจ้ากำลังจะตกน้ำ  กำลังจะตกไฟกันอยู่   .... ไฟจากฟากฟ้า  มันตกลงมาได้ทุกที่นะ  อุกกาบาตที่มันหล่นลงมานั้น  และที่มันชนกันนอกจักรวาลนั้น  จะทำให้เป็นสะเก็ดไฟ  เพราะฉะนั้น  ภาษิตนี้นะ  เจ้าเอาไปบอกเขาได้  คนดีตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้  .... เจ้าจะได้ประสบกันในอนาคตอันใกล้นี้
 
 

เพราะอะไร  เพราะเจ้าอยู่ในที่นั้น  ถ้าเจ้าไม่ได้รับการเตือน  ถึงเจ้าจะมีบารมีแต่อยู่ในกรุงเทพฯ เจ้าเหลือไหม เจ้าเหาะได้ไหมเจ้าเหาะไม่ได้ เจ้าก็ต้องจมน้ำไป  แต่ตกน้ำไม่ใหลเพราะอะไร  เพราะเจ้าอยู่ในที่ที่เจ้าจะต้องตกน้ำอยู่แล้ว  แต่มันไม่ใหลไปเพราะเทพเขาดึงตัวเจ้าขึ้นมาบนเขานี้  
 
ตกไฟไม่ไหม้เพราะอะไร  ถ้าเจ้าอยู่ในสถานที่ที่จะต้องมีลูกไฟจากฟากฟ้า  หรือมีอัคคีภัยเกิดขึ้นแล้ว  เจ้าตกอยู่ในสถานที่นั้นก็ต้องไหม้นะ  แต่ตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้เพราะอะไร  เพราะเทพเขาดลใจให้ผู้ที่มีบารมี  ให้มาอยู่ในสถานที่ที่มันปลอดภัย  
 
เพราะฉะนั้น  คำภาษิตนี้เป็นคำโบร่ำ โบราณ  แต่มันใช้ได้จริงนะ  แต่อย่าไปเถรตรงนะว่า หล่นลงไปในน้ำแล้วมันไม่ใหล  หล่นลงมันก็ต้องใหลไป  แต่การตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้ ข้าพเจ้าขออธิบายอย่างนี้
 
 

เพราะฉะนั้น  การปฏิบัติธรรมให้เป็นคนดี  ที่จะตกน้ำไม่ใหล  ตกไฟไม่ไหม้นั้น  เจ้าก็ต้องไปบอกเขา  ให้ปฏิบัติธรรมรู้หลัก  อนิจจัง ทุกขัง  อนัตตา.....  นั่นก็คือ  "แก่นแท้.....ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนมากที่สุด"  ไม่มีธรรมะไหน  สั่งสอนมากที่สุดเท่าธรรมะนี้
 
เพราะฉะนั้น  อนิจจัง...คืออะไรอนิจจังคือความไม่เที่ยง  ให้เขารู้เหตุของความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง   ไม่ว่าจะเป็นโลกมนุษย์  บ้านเรือนของเจ้า  หรือแม้แต่สวรรค์วิมาน  มันก็ไม่เที่ยง    ทุกขัง...คือมันเป็นทุกข์   ความเป็นทุกข์ในหลักของพระพุทธศาสนา  ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้  คือความทนอยู่ไม่ได้  มันไม่เป็นอย่างนี้   ความไม่เที่ยง  มันก็คือความเป็นทุกข์ในตัวอยู่แล้ว   ร่างกายของเจ้าที่มันเป็นทุกข์  เพราะต่อไปมันก็ต้องแก่   ต้องตาย นั่นแหละ  คือมันเป็นทุกข์
 
เพราะฉะนั้น  เจ้าอย่าว่าแต่ร่างของเจ้าเลยนะ .... ไอ้โลกใบนี้  ที่มันเป็นที่รองรับทุกสิ่งทุกอย่างนั้น    มันก็เป็นทุกข์นะ    ตอนนี้มันกำลังจะบิดตัวอยู่แล้ว  เพราะมันเป็นทุกข์  มันต้องเปลี่ยนแปลง
 


แล้วคำว่า ..อนัตตา...คือไม่มีตัวตน  คือมันไม่ใช่ของแท้แน่นอน    เพราะฉะนั้น  สิ่งที่เป็น " ธรรมะ "  .. ให้เจ้าบอกเลย    ...ว่าที่ข้าจะมาช่วยเหลือผู้คนนี้  คนที่มีธรรมะ  ไปรู้หลักนี้  ไปเรียนรู้เหตุ  ไปเรียนรู้หลัก  เพราะพอเขาปฏิบัติธรรม  นั่งสมาธิเพื่อพิจารณา  ไม่ใช่นั่งสมาธิเฉย ๆ มันช่วยอะไรไม่ได้  นั่งสมาธิแล้วต้องพิจารณาถึงหลักนี้ด้วย  
 
แล้วผู้มีบารมีที่ปฏิบัติธรรมนั้น  เทพทั้งหลายก็จะลงรักษา  แล้วจะดลบันดาลให้ได้รับรู้ข่าวสาร  ถึงการช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติในศาสตร์ต่าง ๆ ที่มีในหลายสถานที่  แล้วเขาก็จะได้รับการช่วยเหลือมากันในสถานที่ปลอดภัยเอง
 
เจ้าต้องบอกเขาถึง  "แก่นแท้"  นะ  ถ้าบอกปฏิบัติธรรม  ปฏิบัติธรรม  บางคนก็บอกว่า  ข้าก็เข้าวัด  เข้าวัดอยู่  ไม่เห็นรู้เรื่องเลย   มันก็ต้องมีหลาย ๆ อย่างนะ  ปฏิบัติธรรมนั้น  ก็คือต้องรู้หลักที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา  ... เออ..มี 3 คำเท่านั้น..
 
(คุณภัทรพล)..ท่านครับ  ทุกอย่างวันนี้เคลียร์  ผมจะเป็นคนดีที่สุด  จนถึงสิ้นสุดลมสุดท้าย.

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  เออ..เจ้าจะถามอะไรอีกเป็นวาระสุดท้าย  แต่ข้าพเจ้าก็จะขอบอกว่า  ทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดเวลา  แม้แต่ยานอวกาศของข้าพเจ้า  ที่ให้ร่างองค์อินทร์เห็นน่ะ  มันก็ตื่นเต้นนะ  เพราะมันมีความชื่นชอบในเทคโนโลยี่  อยากจะส่องกล้องไป อยากจะส่องกล้องมา  

(คุณภัทรพล)..ตรงเขามียอดแหลม ๆ สีตะกั่วนั้น  ท่านทราบไหมครับว่า...นั่นคืออะไร ?

 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ... เออ  เจ้าพิจารณากันต่อไปละกัน  มันต้องใช้ความอดทนในการสังเกตุ  การดู  ทำไมต้องทำอย่างนี้  เพราะต่อไปเจ้าต้องใช้ปัญญาในการสั่งสอนคน  ในการรู้เหลี่ยมคนอีกเยอะ  ถ้าสงสัยก็มาดูไป  มันจะหายไปไหม  หรือจะมาใหม่  หรือจะมาเพิ่ม...

(คุณภัทรพล)..ขนาดจานบินยังไปบ้านผมเลย  ไปเฉพาะเวลาที่ผมเดินออกมา  แปลกมาก

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  มันไม่แปลกหรอกนะ  ไปเพื่ออะไร สักวันหนึ่ง  เจ้าก็จะต้องมีความฉุกคิด....สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้จึงมาหาเรา ..... เจ้าไปคิดเอา

(คุณภัทรพล)..ความรู้ที่ท่านให้  มากกว่าทองที่ได้รับ  ทรัพย์สินที่ข้าพเจ้ามี

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ขอสรุปแค่นี้  รับบารมีจากข้าพเจ้านะ..

....................



........................................


จบการให้โอวาทจาก "ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต"

วันที่  5  กันยายน  2541  เวลา  17.30  นาฬิกา

ณ เขากะลา  จังหวัดนครสวรรค์. 

...............................




การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่ 1)  
.............
 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) เปล่งพระสุรเสียง(เสียงหัวเราะ) อันเป็นสัญญาลักษณ์ของท่านก่อนที่จะกล่าวให้โอวาท .....  สาวกใหม่  ไม่ต้องตกใจนะ  พระญาณของข้าพเจ้าจะต้องลงมาในสัญญลักษณ์นี้ทุกครั้งไป  ใครที่เคยได้ฟังบันทึกในพระญาณของข้าพเจ้านะ  ถ้าไม่ใช่สัญญลักษณ์นี้  ไม่ใช่ของจริง  สมาชิกใหม่มีหลายคนนะ
 
 
(จ.ส.อ.เชิด  ชื่นสำนวน) มีสมาชิกมาจากฝรั่งเศส จะมาพบท่าน ?
 
 

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ไหนล่ะ ... มาซิ  เจ้าไม่ใช่ใครอื่นไกลหรอกนะ   เป็นผู้ที่มีบารมีในการอธิฐานจิตลงมา  ยังไงซะก็ต้องมาเจอกัน  พรรคพวกเก่า     เจ้าเพิ่งมาสัมผัสที่นี่  อาจจะยังไม่รู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้ทำกันมาแต่ดั้งเดิม  
 
สำหรับข้าพเจ้า  ได้เคยกล่าวในกาลก่อนแล้ว  แต่ใน ณ ที่นี้  ก็จะกล่าวอีกครั้งหนึ่งว่า  ข้าพเจ้า " ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต "  ข้าพเจ้าได้นำพระญาณ และนำวัตถุที่พวกเจ้าเรียกกันว่า "ยานอวกาศ" นั้น  ข้าพเจ้า  อนุญาตให้สมาชิกของข้าพเจ้าซึ่งเป็นกองทัพ  ในโลกของเจ้าเรียกว่าทหาร  หรือเป็นราชองครักษ์ของข้าพเจ้า  เปิดให้ดูด้วยตาเนื้อของพวกเจ้า  จำนวนหนึ่ง  แต่ที่พวกเจ้าได้รับรู้ว่า  ข้าพเจ้าได้นำกองบัญชาการ   ซึ่งผู้ที่ได้พูดเมื่อสักครู่นี้  ข้าพเจ้าก็เล็งเห็นในวาระจิตว่าจะเป็นผู้เผยแพร่ข่าวสารให้มีคุณภาพ  มีความน่าเชื่อถือ  ก็ให้เขาสามารถบันทึกภาพกองบัญชาการของข้าพเจ้า  ครั้งที่พวกเจ้าได้เห็นกัน    ดังบันทึกในภาพของมนุษย์โลกที่เจ้าเรียกกันว่า วี.ดี.โอ. นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ข้าพเจ้า  ซึ่งเป็นทหารองครักษ์ของข้าพเจ้า
 
ทำไมต้องนำกองบัญชาการลงมาในโลกมนุษย์ด้วย  เพราะโลกมนุษย์ของเจ้าในภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น  นอกจากภัยจากธรรมชาติ   ยังมีภัยจากน้ำมือมนุษย์  นั่นก็คือ  มนุษย์พวกเดียวกับเจ้านี่เอง  การที่พวกเจ้าได้รับรู้จากคำทำนายในศาสตร์ต่าง ๆ  ในศาสนาต่าง ๆ นั้น  สงครามโลกซึ่งข้าพเจ้าได้เคยกล่าวไว้ในกาลก่อนนั้น  แต่ทั้งนี้พวกเจ้ายังมีความขัดข้องใจกันว่า  มันจะสามารถแก้ไขได้หรือไม่  ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างให้ฟัง  เปรียบเทียบให้ฟังกับมนุษย์โลกของเจ้า  
 
สมมุตินะ  อันนี้เป็นการเปรียบเทียบ  ในโลกมนุษย์ของเจ้ามีการสอบ  เปรียบเสมือนบุญบารมี  แต่ในยุคนี้คนส่วนใหญ่  ถ้าเทียบบารมีแล้วมันจะสอบตกในจำนวนมาก  มันไม่มีบารมี  มีแต่แรงกรรม  ที่ทำกรรมชั่วกันในส่วนมาก  ถ้าจะวัดกันก็คือ "สอบตก"  
 
ทีนี้  ในการ "สอบตก" ของพวกเจ้า  ถ้ามนุษย์ในส่วนใหญ่ปล่อยให้สอบโดยสติปัญญาของมนุษย์เองนั้น  มันก็สอบตกไปในส่วนมาก  หรือพวกเจ้าเรียกว่า "สอบไม่ผ่าน"  ถ้าเป็นชั้นของมนุษย์ก็ต้องเรียนซ้ำชั้นหรือไง
 
แต่การที่เป็นเรื่องของ  "ความเป็น ความตาย"  เป็นเรื่องของ "บุญบารมี"   เป็นเรื่องของ "กรรม" นั้น  มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่  เพราะฉะนั้น  การที่ทวยเทพทั้งหลาย  การที่พระญาณชั้นสูง ๆ ท่านเล็งเห็นว่า   มนุษย์ถ้าปล่อยให้ช่วยเหลือกันเองแล้ว  มันแทบจะช่วยตัวเองกันไม่ได้  เพราะฉะนั้น  การที่พระญาณทั้งหลายท่านได้ลงมาช่วยเหลือมนุษย์  มันก็เหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเจ้าได้มีการ "สอบซ่อม"   เจ้าเข้าใจไหม
 
 

ช่วงเวลานี้เป็นนาทีทอง   ให้พวกเจ้าได้มีการสอบซ่อมในบุญบารมี  เออ..เปรียบเทียบกันนะ  อย่าเอาไปคิดกันจนเกินตัวนะ  มันไม่ได้อย่างนั้นหรอก  
 
กับการที่ทวยเทพท่านมาบอก   ได้มีการอนุโมทนาจากญาณของข้าพเจ้า  และจากพระญาณของข้าพเจ้า  เหมือนการเปิดปัญญาให้พวกเจ้าได้มีโอกาสรับรู้  ได้มีโอกาสกลับใจ  ได้มีโอกาสกลับทั้งตัว  กลับทั้งใจ  ก่อนที่มหันตภัยครั้งใหญ่มันจะทำลายชีวิตมนุษย์ในส่วนใหญ่ไป
 
เพราะฉะนั้น  จะมีผู้เหลือรอดจากการสอบซ่อมในครั้งนี้  จากการเมตตาของพระพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า  จากธรรมของพระพุทธองค์
 
 
ในช่วงเวลานี้  เป็นเวลาที่ดี  ที่พวกเจ้าจะนำปัญญามาไตร่ตรองในสถานที่นี้ว่า  เขาทำอะไรกัน  เรื่องราวมาแต่หนใด    มันมีความน่าเชื่อถือได้หรือไม่  เพราะถ้าเจ้ามันเพลิดเพลินทางโลกกันแล้ว  เพราะโอกาสในระยะเวลากันใกล้นี้แล้ว    ก็จะไม่มีการที่จะสามารถกลับทั้งตัว  กลับทั้งใจ  เข้ามาสะสมบุญบารมี  มันเหลือเวลาอีกน้อยแล้ว      ในการที่ข้าพเจ้าได้เล็งพระญาณจากการที่พวกเจ้าสนทนากันนั้น  เออ...บางคนข้องใจ  ข้าพเจ้าก็จะตรัสในสถานที่นี้เลยว่า....สงครามโลกครั้งที่ 3 ที่พวกเจ้าเกรงกันนั้น  มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  เพราะถึงแม้ว่าจะมีการลงมาช่วยเหลือจากพระญาณของทวยเทพต่าง ๆ จำนวนมากมายนั้น  ก็สามารถจะสกัดกั้น  หรือช่วยได้กับผู้ที่มีบารมี  ที่จะช่วยจากหนักให้เป็นเบา  ดังที่องค์พระพิฆเณศร์  ได้รับสื่อพระญาณ   และได้ทำตามสื่อพระญาณนั้น ถูกต้องที่สุด  ท่านเป็นผู้เสียสละ  สมบูรณ์ที่สุดในส่วนของท่าน  

แต่สำหรับ  "กรรมดำ"  หรือ "อกุศลกรรม"  ที่รวมกันในส่วนมากนั้น  มันเกินจะต้านทานอยู่   เพราะฉะนั้น  การที่เทพทั้งหลายท่านได้ลงมาสร้างบารมี  รวมทั้งมนุษย์ต่างดาวจากดวงดาราต่าง ๆ  ที่ท่านได้ลงมาอนุโมทนา  ไม่ใช่แต่เฉพาะข้าพเจ้า  การที่ "ดาวอังคาร"  ที่พวกเจ้าได้รับการบอกเล่า  ซึ่งท่านได้ติดต่อสื่อสารกับผู้ที่มีบารมีท่านหนึ่งในโลกมนุษย์ของเจ้านั้น  ซึ่งบัดนี้  ผู้ที่ยิ่งใหญ่แห่งดาวอังคาร ซึ่งเจ้าเรียกกันว่า  "ชั้นยอด"  นั้น  ผู้ที่อยู่ยอดสุดนั้น  ก็ได้มาพำนักอยู่ที่กองบัญชาการของข้าพเจ้าแล้ว

เพราะฉะนั้น  ณ สถานที่นี้  มันไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว  พวกเจ้าได้มีโอกาสมา ณ สถานที่นี้  เป็นสถานที่รวมของบุญกุศล  เป็นสถานที่รวมของพระญาณอันศักดิ์สิทธิ์   แต่พวกเจ้าจะสามารถรับในความศักดิ์สิทธิ์นั้น  เป็นไปได้มากน้อยเท่าไร   นั่นก็ขึ้นอยู่กับอินทรีย์ หรือกำลังบุญของพวกเจ้า  จะสามารถเข้าใจได้ลึกซึงไหม  ถึงสิ่งที่ทำไมพระญาณต่าง ๆ ทั้งทวยเทพ  ทั้งมนุษย์ต่างดาว  จึงได้มารวมกันอยู่    ที่นี้  เขากำลังจะทำอะไรกัน  เขามีจุดประสงค์อะไรกัน.... 

...................................



การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่ 2)
ในปัจจุบันนี้  เจ้าอาจจะเห็นว่า  มีบุคคลน้อยนักถ้าเที่ยบกับความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่  แต่พวกเจ้าไม่ต้องหวั่นใจกันไปหรอกนะ   เพราะต่อไปสถานที่นี้ จะเป็นแหล่งรวมของสรรพวิชาในศาสตร์สาขาต่าง ๆ จะเป็นแหล่งรวมของผู้มีบารมีที่ได้ไปศึกษาในศาสตร์สาขาต่าง ๆ จะต้องมารวมกัน  

เพราะว่าในภัยธรรมชาติ  เภทภัยของสิ่งต่าง ๆ และจากบุญบารมีของพวกเขา  จะบีบให้มารวมกัน  ทำไมจึงต้องมารวมกันน่ะรึ....เพราะว่าโลกมนุษย์ต้องมีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  มีการแบ่งปันซึ่งกันและกัน  มีการต้องการช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันด้วยจิตใจของพวกเขาเอง   เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ผู้จะมีความทุกข์นานาประการจากภัยธรรมชาติ  และจากภัยทางสงครามโลก  ซึ่งอาวุธนิวเคลียร์ของพวกเจ้า กัมมันตภาพรังสีต่าง ๆ ผิวหนังของพวกเจ้ามันรับกันไม่ได้หรอกนะ  มันต้องมีการอนุโมทนาด้วยการปกป้องจากเทคโนโลยีของข้าพเจ้า  ซึ่งเผยแผ่ไปในนามของ "ใยแก้ว"  การสร้างใยแก้วก็คือ  การสร้างรังสี  การสร้างรัศมีในสถานที่ที่ปกป้องด้วยพระญาณที่มีอนุภาพมาก  
 
ข้าพเจ้า และมนุษย์ต่างดาวจากดวงดาราต่าง ๆ ที่มาอนุโมทนา  ก็จะได้นำในเทคโนโลยีรวมกันสร้างที่พวกเจ้าเรียกว่า "ใยแก้ว" แต่พวกเจ้ามองกันไม่เห็นหรอกนะ  เพราะมันไม่ใช่วัตถุ  หรือว่าเป็นแก้ว  อย่างที่พวกเจ้าคิดกัน   มันจะเป็นสิ่งที่ปกป้องรังสีจากอาวุธนิวเคลียร์  หรือจากเทคโนโลยีของพวกเจ้า  ซึ่งโง่เขลาเบาปัญญานำมาทำร้ายกันเอง  
 
เพราะฉะนั้น  สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคตกาลอันใกล้นี้  พวกเจ้าซึ่งเป็นมนุษย์โลกเอ๋ย....อย่าประมาทกันอยู่เลย  เจ้าลองมองดูรอบตัวเจ้า  ตั้งแต่แนวนี้ไปจนรอบนะ  จนสุดเขาเมืองลับแลที่บังอยู่  พวกข้าพเจ้าได้นำพระญาณ และได้นำยานอวกาศ  ซึ่งเป็นวัตถุลงมาปกป้องพวกเจ้าโดยรอบนี้แล้ว  

แต่พวกเจ้าล่ะ... นำธรรมะไปปกป้องดวงจิตของพวกเจ้าแล้วหรือยัง    
 
เพราะฉะนั้น  สิ่งตรงนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น  เวลาอีกไม่นานแล้ว  พวกเจ้าก็จะได้รับรู้ว่า  ภัยพิบัติตามธรรมชาติในรอบประเทศของเจ้า  และในประเทศของเจ้า  แม่พระธรณีเคลื่อนไหว  เพื่อเป็นการเตือนสำหรับผู้มีบารมีว่า  ควรจะ  ลด...ละ...เลิก  กันได้แล้ว  ชีวิตตัวเองก็จะเอากันไม่รอดอยู่แล้ว  ยังจะประมาทหลงยึดในลาภยศ...สรรเสริญ...กันทำไม
 
เจ้ายิ่งอายุมาก  การยึดติดของพวกเจ้ายิ่งมากตามวัย  ตามอายุ  เพราะฉะนั้น  ภัยพิบัติตามธรรมชาติ  คนที่จะตายก็คือ  คนที่อายุในวัยรุ่น  และอายุในวัยปลาย  เพราะอะไร... เพราะในวัยรุ่นนั้น  ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยรุ่น  ยังไม่สามารถที่จะสร้างบุญ  สะสมบุญกุศล  ก็จะตายกันในส่วนมาก  สำหรับวัยปลายนั้น  ซึ่งมีทั้งทำกุศลกรรม และอกุศลกรรม  และมีการยึดติดในพื้นที่ที่อยู่  ในการยึดติดความรู้ที่เจ้าสั่งสมกันมา  เพราะฉะนั้นก็จะตายกันไปในส่วนใหญ่  ที่เหลือรอดก็จะเป็นบุคคลในช่วงกลาง   ที่ได้เข้ามาปฏิบัติในธรรมะ  มีการปรับปรุงดวงจิต มีการละการยึดติด  ในการที่ได้รับการฟังธรรม  ได้รับความรู้ใหม่ ๆ  การยึดติดของเขานั้นยังน้อย  เขาก็จะสามารถปรับปรุงดวงจิตของเขาได้ นั่นก็จะรอดกันในเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่
 
เพราะฉะนั้น  พวกเจ้าที่อยู่ใน ณ สถานที่นี้  เป็นสถานที่ที่มีพระญาณมีบุญบารมีลงมาในส่วนมาก  เจ้าก็ต้องเปิดใจ  ใช้ปัญญาไตร่ตรองฟังดูในเหตุและผล  ซึ่งธรรมะที่เขามาบอกนั้น  มันจริงไหมมันเพี้ยนไปไหม....ในพระพุทธศาสนา   และเจ้าก็จงดูด้วยตาเนื้อของเจ้าในรอบ ๆ  ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดมีในโลกของเจ้า  ในวัตถุเทคโนโลยีของพวกเจ้า  ประกอบกัน  
 
เพราะฉะนั้น  สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้  ข้าพเจ้าได้รับความอนุเคราะห์จากพระญาณของเจ้าเมืองลับแล  ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่นี้  ในบริเวณนี้  เปิดโอษฐ์ให้ใช้ภาษามนุษย์ได้  เรียกว่าข้ามขั้นตอน  ไม่ต้องไปเรียนรู้ใหม่  


...............................



การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่ 3) 


.................

เพราะฉะนั้น  ธรรมะเป็นสิ่งเดียวที่จะเป็นตัวคัดแยกอย่างโดดเด่น  บุคคลใดเข้าถึงธรรมะมาก  บุคคลนั้นก็จะเป็นอันดับต้น ๆ   พวกเจ้าก็ต้องฝึกฝนธรรมะ  เรียนรู้ธรรมะ  ฝึกการทำสมาธิในการฟังธรรม  ในการตัดกรรม  ซึ่งได้มีการบอกกล่าวกันแล้วในพระญาณของทวยเทพ  อันนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  เพราะอะไร  เพราะบุญกุศลของพวกเจ้าจะสะสมได้ก็จากพระธรรมเท่านั้น  ที่ท่านมาชี้บอก  เจ้าจะไปสะสมจากเงินตรานั้น  จะนำมาใช้ในการคัดเลือกของข้าพเจ้าไม่ได้  
 
เพราะฉะนั้น  60  บุคคล  ต้องทนแรงเสียดทาน  ของลาภยศ สรรเสริญ  เสียดทานของแรงวิบัติในสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น  เพราะฉะนั้น  วาระจิตของพวกเจ้า  ปัญญาสำคัญอันดับ บางคนจะให้ฝึกสมาธิใน 1 ปี จะให้เชี่ยวชาญมันเป็นไปไม่ได้  แต่ปัญญาที่เจ้าได้รับฟังธรรมนั้น  เจ้าสามารถไตร่ตรองและคิดกันได้   

เพราะฉะนั้น  สิ่งนี้เรียกว่าปัญญา  ปัญญาเป็นเอก  ซึ่งพระพุทธองค์ท่านได้ทรงสรรเสริญว่า  ธรรมะทุก ๆ เหล่านั้น  ปัญญานับว่าเป็นที่ ขันตินับว่ารองลงมา  เพราะฉะนั้น  60  บุคคล  ในที่นี้มี 1 ใน 60 บุคคลเป็นจำนวนมากนะ   แต่ปัญญาและขันติเจ้ามีไหม  ธรรมะอันดับ ขันติอันดับ พวกเจ้าต้องไปฝึกฝนกันให้มากนะ  สมาธิเป็นอันดับ รองลงมา
 
เพราะฉะนั้น   พวกเจ้าไม่ต้องเสียใจนะ  ที่ไม่มีสมาธิ  ไม่มีตาทิพย์หูทิพย์ในปัจจุบันนี้ไม่เป็นไร  ถ้าได้รับการฝึกฝนจากข้าพเจ้าแล้ว  เจ้าจะสามารถรู้เห็นได้ในสิ่งที่มนุษย์โลกทั่วไป เขาไม่ได้รู้ได้เห็น  
 
เพราะอะไร  ...  เพราะหลังจากภัยพิบัติแล้ว  มิติต่าง ๆ จะเปิด  ศาสตร์ต่าง ๆ จะเปิด  จะเหลือแต่เฉพาะผู้ที่มีบารมี  เพราะฉะนั้น  อภิสิทธิ์ต่าง ๆ มิติต่าง ๆ ความรู้ต่าง ๆ วิชาต่าง ๆ  เหาะเหินเดินอากาศ  เรียนรู้ใจคน  เดินทะลุกำแพงอะไรน่ะ   ไม่ต้องไปมองดูมนุษย์ต่างดาวเขาหรอก  เจ้าก็ทำได้  เพราะฉะนั้น  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ  ต้องคัดเลือกกันอย่างสุดยอด  

เพราะฉะนั้นในทุก ๆ คน  ก็ให้ฝึกฝนกันในวาระจิตของตัวเอง  ปัญญาอันดับหนึ่ง  ขันติอันดับสอง  สมาธิอันดับสาม  ต้องเน้นปัญญากันก่อนนะ  เข้าใจหรือยัง...?

..............................


การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541


(ตอนที่ 4) 

...

(คุณวิโรจน์)  ท่านผู้สูงสุดครับ  อยากจะถามว่าการพิจารณาคัดเลือกคนนี้จะยากไหมครับ  เพราะว่าสมัยนี้  อย่างนักการเมือง  นักธุรกิจ  หากดูสีหน้าปากพูดอย่าง  แต่ลับหลังก็เปลี่ยนแปลงเชื่อไม่ได้เลย  บ้านเมืองก็แหลกราญลงไปทุกวัน พูดเก่งเหลือเกินในรัฐสภา  อันนี้อยากถามผู้สูงสุดว่า  ท่านจะคัดเลือกอย่างไร?
 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ไม่ต้องห่วงข้าพเจ้าหรอกนะ  ข้าพเจ้าไม่ได้ให้มาปราศรัยแข่งกัน  ...เอ้า..100  คนมาเรียงปราศรัย  ใครปราศรัยดี พูดดี  ได้ไป  ... ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ  เพราะฉะนั้นในวาระจิตของพวกเจ้า  ดวงจิตในส่วนลึกของพวกเจ้า มันโกหกข้าพเจ้าไม่ได้  

เพราะฉะนั้น เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง  ก็อย่างพวกนักการเมืองละนะ  ป่านนี้ อีก 3 ปีข้างหน้า  ไปอยู่ขุมไหนก็ไม่รู้  เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีลาภยศ..สรรเสริญหน้าตากันในที่นี้  มันเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น  อีกไม่กี่ปี  1 ปี 2 ปี 3 ปี  ถ้าพวกเขาดับชีวิตลงไป  ก็จะหายสมมุติกันไปแล้ว  ก็จะลงไปเจอของจริง นรกอเวจีมันมีจริง ๆ 
 
วันนี้เป็นวันดี  เป็นวันที่มีผู้ที่มีบารมีในเปอร์เซ็นต์แล้ว เรียกว่า 80%   เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าก็มีความยินดีที่จะให้ความกระจ่างกับพวกเจ้า  

แต่ขอให้อย่างที่พระภิกษุสงฆ์บอกไว้ 
" ธรรมะใด ๆ ก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ..."  รับรู้ไปแล้วเอาไปนอน  เอาไปฝัน  เอาไปนึกคิดคำนึง  มันไม่ได้ประโยชน์หรอกนะ  รับรู้ไปแล้วต้องไปไตร่ตรอง  ไปคิดกันให้มาก  ทำกันเลย  ดังที่องค์อัมรินทร์ท่านให้สาวกหลักนั่นน่ะ... ไม่ต้องรู้มาก  แต่ให้ทำจริง ๆ นะ  

เพราะฉะนั้น  ธรรมะในรายละเอียดที่พวกเจ้ารู้  มันเกินพอแล้ว   ให้ทำจริงกันเสียทีเถอะนะ  มีปัญหาอีกไหมในวาระจิตของพวกเจ้าที่ได้ถามมา หรือปัญหาไหนที่ข้าพเจ้าได้หลงลืมในการตอบไปบ้าง  หรือไม่เคลียร์ในจิตใจของพวกเจ้า  ให้ถามกันมาใหม่เลย

..............................


การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่ 5) 


...

(คุณวิโรจน์) ท่านผู้สูงสุดครับ... ตามที่ท่านบอกว่า 1 ใน 60 บุคคล ที่ได้รับเลือกไปนี้นับว่าเป็นการโชคดีมาก แต่ผมเองคิดว่า ใครที่ได้รับเลือกไปนี้มันคงจะไม่ใช่โชคดี แต่จะเป็นการเสียสละ ช่วยโลกและช่วยเพื่อนมนุษย์ชาติจริง ๆ มันคงไม่ใช่งานสนุก แต่ถ้าเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบด้วยกิเลส ว่าโชคดีได้ไปขึ้นบนจานบินของมนุษย์ต่างดาว มันคงไม่สำเร็จอะไร ก็คงมีบางคนคิดเล่น ๆ เหมือนกันนะ

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) ที่เจ้าถามมานะ พวกเจ้าคิดว่าผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์นั้น พวกเจ้าคิดว่าเขาโชคดี ฟลุ๊ค จึงได้บรรลุธรรมหรือ?..... หรือเป็นพระโสดาบัน โชคดีได้บรรลุธรรมหรือ?   ไม่ใช่นะ นั่นเป็นสิ่งที่เป็นเหตุ เป็นผล เป็นปัจจัย 

บุคคลที่เข้ามาเป็น 60 บุคคลนั้น จะไม่มีใครฟลุ๊ค ไม่มีใครโชคดีไปเห็นยานต่างดาว จะไม่ใช่แบบนั้นนะ  จะเป็นบุคคลที่ตั้งจิตอธิฐานลงมาตั้งแต่เขาอยู่บนเทวโลก และปวรณาตัวอธิฐานจิตลงมา เสี่ยงบารมีลงมาเพื่อที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ในภพมนุษย์ที่จะเกิดภัยพิบัติในครั้งนี้   แต่การที่ข้าพเจ้าบอกว่าโชคดีนั้น เพราะมนุษย์ถ้าได้รับการฝึกฝน อบรมแล้วมาช่วยเพื่อนมนุษย์นั้น เป็นโอกาสดี เพราะว่าอะไร? 


สมมุติเจ้าไปเรียนรู้วิชาแพทย์ แพทย์ในเมืองของเจ้านะ แล้วก็ไปอยู่ในหมู่บ้าน ตรงไปอยู่ในหมู่บ้านที่มีบุคคล 5 บุคคล หมู่บ้านนั้นมีบุคคล 5 คน เจ้าก็ได้ไปใช้วิชาแพทย์ เรียนมาเป็น ด๊อกเตอร์ ก็ได้ใช้วิชาด๊อกเตอร์กับคน 5 คน

แต่อีกคนหนึ่งเรียนวิชาแพทย์เหมือนกัน แต่ได้ไปอยู่ในหมู่บ้านที่ซึ่งมีบุคคล 1,000 คน หรือ 10,000 คน เจ้าว่าใครโชคดี 

(ตอบ....10,000 คน) 

โชคดีเพราะอะไร?

(ตอบ....เพราะช่วยเหลือได้หลายคน)

แต่มันสบายไหม?

(ตอบ....ไม่สบาย)

ปางตายเลยละ....... 

เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงต้องเปิดโรงพยาบาล ให้เครื่องมือกับแพทย์คนนั้น ซึ่งไปช่วยเหลือคน 10,000 คน 

พลังนั้น ที่ข้าพเจ้าจะต้องนำมาให้ อันนี้เป็นการเปรียบเปรยนะ ไม่ใช่ทุกคนจะลงมาเป็นหมอกันหมดนะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ 

แพทย์จบมาเหมือนกัน ก็เหมือนพวกเจ้าในปัจจุบันนี้ ผู้ที่สามารถจะสร้างบารมีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็มีในปัจจุบันนี้ 
แต่ผู้ที่ได้รับการฝึกอบรม และช่วยเหลือมวลมนุษย์ซึ่งเขาแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และมีจำนวนมากมายเหลือเกิน ที่จะให้พวกเจ้าลงไปช่วยเหลือนั้น 


โชคดีก็คือ พวกเจ้าน่ะจบเป็นแพทย์เหมือนในยุคนี้เหมือนกัน แต่ได้ไปปล่อยในหมู่บ้าน ซึ่งมีบุคคล 10,000 คน และมีแพทย์คือเจ้าคนเดียว เขาเจ็บป่วย เขาทุกข์ทรมาน เขาก็ต้องมาหาเรา 

ข้าพเจ้า เป็นผู้ซึ่งมาบำเพ็ญบารมีเหมือนกัน เพราะตามกฏของกรรม ข้าพเจ้าก็ต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นมนุษย์ต่างดาวแล้ว ลอยไป ลอยมา ไม่ต้องสร้างบารมี มันก็ทำไม่ได้
ข้าพเจ้าก็จะสร้างบารมี โดยการที่จะสงเคราะห์แพทย์ เรียกว่าแพทย์ชนบทได้ไหม?....แพทย์ต้องรักษา 10,000 คน แพทย์ชนบทนะ โดยการให้หูฟัง โดยการให้เครื่องมือตรวจ โดยการให้เครื่องมือเช็ค นั่นเรียกว่า พลัง 


เพราะฉะนั้น นี่เรียกว่าการเปรียบเปรย

ไม่ใช่ว่ามีพลังแล้ว เขาจะไม่ให้การบรรลุธรรมนะ การบรรลุธรรมนั้นต้องใช้ดวงจิตของแต่ละคน

เพราะฉะนั้น ถ้าแพทย์ซึ่งลงไปอยู่ในหมู่บ้านซึ่งมี 10,000 คน เขามีเครื่องมือพร้อมจากการอนุเคราะห์ และมีดวงจิตของเขา แต่ถ้าเขาไม่ใช้เครื่องมือ และใช้ความสามารถของเขา เขาก็ไม่ได้โอกาส
เพราะฉะนั้น ถ้าเขามีโอกาส และได้ใช้ความสามารถของเขา เขาก็สามารถบำเพ็ญบารมีได้มากมาย เรียกว่าโชคดีตรงนี้ ที่เรียกว่าโชคดีก็คือ ได้เหนื่อยแสนสาหัส ได้บารมี


มันแสนสาหัสนะ ถ้าใครทนความสาหัสไม่ได้ ก็ไม่ได้เป็น 1 ใน 60 บุคคล

เตรียมตัวเตรียมใจกันเถอะ เพราะว่าอะไร การที่พวกเจ้าจะไปช่วยเหลือบุคคลที่กระเซอะกระเซิง ภัยพิบัตินั้นมันต้องจากลูกจากหลาน จากภรรยาสามีไปตามกฏแห่งกรรม...ในหนึ่งครอบครัวมันจะเหลือกันไม่ครบทั้งครอบครัวหรอก ในส่วนมาก ฉะนั้นพวกเจ้า ต้องไปช่วยเหลือเขาทั้งทางร่างกายและจิตใจ 

เพราะฉะนั้น ศาสตร์ต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าจะอนุเคราะห์ให้พวกเจ้านั้น จะมีทั้งศาสตร์ทางเทคโนโลยีทั้งทางร่างกาย และจิตใจ นั่นคือ ธรรมของพระพุทธองค์ ซึ่งจะเป็นธรรมโอสถมันจะต้องผสมผสานไปในทางที่จะกลมกลืนกัน ให้ช่วยเหลือได้ผลเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ... เข้าใจหรือยังล่ะ.


...........................


การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่ 6)


.....

(คุณพิศมัย)  อยากถามว่า จะทำบุญแบบไหน  หรือนั่งสมาธิ  หรือถวายสังฆทานแบบไหน? ที่จะถวายพระองค์ท่าน
 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ถวายข้าพเจ้าน่ะรึก็ถวายปัญญาซิ  เจ้าก็ปฏิบัติซิ  สิ่งที่ข้าพเจ้าสอน  สิ่งที่ข้าพเจ้าเตือน  และโยงใยไปถึงธรรมะนั้น  เจ้าปฏิบัติเลย ข้าพเจ้ารู้นะ  ถ้าเจ้าปฏิบัติมาก  ไตร่ตรองมาก  เรียกว่า ถวายมาก  และข้าพเจ้าจะไปรอนะ...เออ...ไม่ต้องมาเป็นของ   เป็นวาระจิตของเจ้า  ซึ่งจะปฏิบัติถวายข้าพเจ้า   ดังนั้น  ข้าพเจ้าจะรู้ใครถวายมาก  ถวายน้อย  นับมานะแต่ละคนน่ะ  เดี๋ยวเล็งไปก่อนนะ  กลับไปถวายมาก ถวายน้อย  จะถวายข้าพเจ้านะ  ถวายอย่างนี้  ต้องถวายด้วยปัญญาของพวกเจ้า  ซึ่งจะต้องฟังธรรมสะสมบารมีให้มันมากขึ้น  รวมทั้งการเตือนจากผู้มีบารมี  ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสามัญธรรมดา  บุคคลซึ่งมีพระญาณของทวยเทพได้ผ่านพระญาณลงมาบอก  หรือบุคคลที่มีพระญาณของมนุษย์ต่างดาว  ได้ผ่านมาบอกนั้น  เป็นสิ่งสำคัญทั้งนั้น
 
เพราะฉะนั้น  เจ้านะ  ข้าเล็งไว้ก่อนนะ  จะถวายข้าพเจ้าใช่ไหมสร้างปัญญาถวายนะ
 
 

(คุณวรวิทย์)  ที่ท่านพูดถึงนี้  หมายถึงเวลานั่งสมาธิให้นึกถึงท่านใช่ไหม?
 
 

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ยังไม่เข้าใจอีกหรือไม่ใช่อย่างนั้น  ก็คือการที่เจ้าน่ะแหละไปไตร่ตรองเรียนรู้ในธรรมของพระพุทธองค์  แล้วก็จากการสร้างเสริมสติปัญญาของพวกเจ้า  แล้วก็ปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะเสียดทานทางโลก  เพื่อที่จะเข้ามาหาทางธรรมนั่นแหละ  เรียกว่าถวายข้าพเจ้าแล้ว  ไม่ต้องมานึกถึงข้าพเจ้าหรอก  ข้าพเจ้ารู้เอง
 
 

ธรรมชาติบอกว่า...มนุษย์นี้มีการเกิด ... ก็ต้องมีการแก่  เพราะฉะนั้น ถ้าใครแก่แล้วจะฝืนไม่ให้แก่  ก็ต้องมีความทุกข์  นั่นก็คือกฏธรรมชาติ  เพราะฉะนั้น  กฏธรรมชาติมีอยู่ทั่วแสนโกฏจักรวาล  เป็นหนึ่งเดียวกัน  แต่การที่ใครจะเป็นผู้ที่มีญาณหยั่งรู้มาบอกกฏของธรรมชาติให้ละเอียดยิบนั้น  มันไม่มีได้ทุกคน  
 
 

เจ้าลองคิดดูว่าใครที่จะรู้ลึก  ศาสนาทุกศาสนา  ก็เรียนรู้กฏธรรมชาติได้  แต่ใครจะรู้ได้ 100 %   ใครจะรู้ 50 %  ใครใครจะรู้ 20 %  ใครจะรู้ 5 %  ใครจะรู้ 1 %  หรือ 0 %  เพราะฉะนั้น  พวกเจ้าต้องไตร่ตรองในบารมีของพระพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า  ว่าท่านรอบรู้   "ใบไม้ในกำมือเดียว"  ท่านนำมาสอน  พวกเราก็ยังเรียนรู้กันไม่หมดแล้ว  เพราะฉะนั้น  ข้าพเจ้าเป็นสิ่งที่อยู่นอกกำมือท่าน  แต่นำมาประกอบการที่พวกเจ้าจะเรียนรู้ธรรมะที่พระพุทธองค์ได้ทรงนำมาสอน  
 
เพราะฉะนั้น  มนุษย์ต่างดาว    จริง ๆ ในหลักธรรมะของพระพุทธองค์ที่สอนใน 84000 พระธรรมขันธ์  ท่านไม่เน้นให้มานับถือมนุษย์ต่างดาว  หรือให้มาติดต่อมนุษย์ต่างดาวหรอกนะ  แต่ในเวลาวิกฤติอย่างนี้  มนุษย์ต่างดาวก็ลงมาอนุโมทนา   แต่นั่นก็เป็นในสิ่งหนึ่ง  ซึ่งท่านพูดไว้ในพระไตรปิฎก

 
เพราะฉะนั้น  ท่านได้รอบรู้ไปในแสนโกฏจักรวาล  ท่านรู้ท่านเห็น  แต่สิ่งที่มีประโยชน์กับพวกเจ้า  นั่นคือ 
"กฏแห่งกรรม"  

พระธรรมที่พวกเจ้าละเลยกันมาเป็นเวลานานหลายปีนั่นแหละ  เอามาเถอะ   นั่นคือสิ่งสุดยอดแล้ว  
 
เพราะฉะนั้น  ทำไมท่านไม่ไปสอนวิชามนุษย์ต่างดาว ตั้งแต่ 2,500 ปี เพราะอะไรเพราะตอนนั้นมันไม่มีประโยชน์  มันไม่มีประโยชน์กับดวงจิตของพวกเจ้า  เรียนรู้เรื่องโลกของข้าพเจ้า  แล้วพวกเจ้าก็ตายไปตกนรก  มันมีประโยชน์ไหม 
 
แต่เรียนรู้พระธรรม  เรียนรู้กฏธรรมชาติ  ตายไปแล้วได้เสวยสุขในทิพยสมบัติ  หรือได้บรรลุมรรคผลนิพพาน  อันไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน  เพราะฉะนั้น  สิ่งที่พวกเจ้าได้รู้ว่า  พระธรรมของข้าพเจ้าที่นำมานั้น  ก็คือ..."กฏธรรมชาติ"  นั่นคือกฏอันเดียวกัน  
 
เพราะฉะนั้น  ธรรมของพระพุทธองค์  นั่นก็คือ 
"กฏของธรรมชาติ"  ซึ่งท่านมีปัญญาหยั่งรู้มากกว่าข้าพเจ้ามากมายหลายร้อยหลายพันเท่านัก  เพราะฉะนั้น  เศษเสี้ยวที่ข้าพเจ้านำมาบอก  ก็จะมีอยู่ในพระธรรมของพระพุทธองค์ทั้งนั้น...เข้าใจหรือยังล่ะ.. 

................................


การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่ 7)


...

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  ธรรมะในสำนักไหนก็ตาม  ไม่ว่าจะสอนในสิ่งใด ๆ ก็ตาม  ให้นำไปเทียบเคียงกับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้  เรียกว่าธรรมะข้อไหนน่ะที่ให้เทียบเคียงว่า  ธรรมะสิ่งใด เป็นไปในทางที่จะปล่อยวาง  ในทางที่จะลด  ในทางที่จะไม่สะสม  หรือเป็นไปในทางที่จะไม่มักใหญ่ใฝ่สูง เป็นธรรมะที่ถูกต้อง  เจ้าไปศึกษากันนะ
 
เพราะฉะนั้น ในสำนักต่าง ๆ  การฝึกสมาธิให้เห็นสิ่งต่าง ๆ  เป็นอุบายนั้น    ถ้าฝึกสมาธิเริ่มจากวิธีนี้  การที่เราจะบรรลุธรรมในขั้นลึก ๆ นั้น  มันอดไม่ได้ที่มันอยากจะเห็น  มันก็จะจินตนาการ  ถ้ามันไม่ได้จริงมันก็จะจินตนาการไปก่อน  เพราะว่าเขาฝึกมาในแนวแบบนั้น  แล้วเจ้าคิดหรือ  แทนที่จะบรรลุธรรมเพื่อที่จะลดละเลิกนั้น  กับการจินตนาการสร้างเสริมเข้าไปนั้น มันสวนทางกัน  เพราะฉะนั้น ศีลธรรมขั้นพื้นฐานของสมาธิวิธีนี้ได้  แต่ที่จะให้บรรลุธรรมลึกในการลดละเลิกนั้น  มันเป็นไปได้ยากที่บุคคลจะไตร่ตรองด้วยปัญญาว่า  สมาธิที่เราฝึกมานี้  เมื่อเห็นแล้วจะไม่ลำพองว่าเรามีความสามารถเหนือมนุษย์  ถ้าจิตไปจับตรงนั้นแป๊บเดียวเอง  ไม่สามารถบรรลุธรรมได้  แล้วเจ้าจะเอายังไง  ตรงนั้นเป็นสมาธิที่ฝึกในเป้าน่ะนะ  แถบกลาง ๆ หรือแถบริม ๆ   
 
เพราะฉะนั้น ข้อดีข้อเสียแต่ละอย่างมันจะมี  แม้แต่เชื้อโรค  เชื้อโรคยังมีข้อดีข้อเสีย เชื้อโรคมีให้เป็นโรคกัน  กับเชื้อโรคมีการทำให้มันแก้โรคกันได้   เพราะฉะนั้น  สมาธินะ  อย่างพวกหมอผีมันเพ่ง ๆ ๆ สมาธิน่ะนะ  จิตมันหลุดมันได้ฌาณเลยนะ  แต่ว่าฌาณของมันเอาไปทำในการคุมพวกผี  เออ...มันก็เป็นไปได้นะ  เพราะฉะนั้น  สมาธิดำมันมี  แต่ถ้าเราจะไม่ให้สมาธิของเราเข้าไปในข่ายสมาธิดำ  เราก็เอาปัญญามาก่อนซิ  นั่งสมาธิไปด้วยฟังธรรมไปด้วย  เอาปัญญามาก่อน  ถ้าปัญญาที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว  ไม่มีทางที่จะเป็นสมาธิดำไปได้  ฟังธรรมประกอบปัญญา  นั่งสมาธิประกอบฟังธรรม
 
เพราะฉะนั้น  สำนักต่าง ๆ นั้น เขาจะทำดี หรือไม่ดีในความคิดของเรานั้น  เราก็ไปทำอะไรเขาไม่ได้  แต่ตัวเราล่ะ  เราทำดวงจิตของตัวเราได้นะ   เจ้าไตร่ตรองด้วยปัญญาของดวงจิตของเจ้า   ไตร่ตรองดูซิเราจะทำแบบนี้ดีไหม  มันเป็นการลด ละ เลิก ไหม  ต้องไตร่ตรองด้วยจิตของตัวเองจริง ๆ  เพราะว่าเราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดวงจิตของเรานะ  ถ้าเราพลั้งพลาดไปในการทำสมาธิ  หรือในการฟังธรรม  หรือในการปฏิบัติในสายใดก็แล้วแต่   แล้วมันเนิ่นช้าไป  เราก็ต้องรับผิดชอบในดวงจิตของเรา  เจ้าดูซิ...พระพุทธองค์ก็เป็นคนอย่างเรา  ท่านปฏิบัติจนเป็นพระพุทธองค์แล้ว  แล้วเราล่ะ
 
เพราะฉะนั้น  ท่านปฏิบัติถูกทางระยะเวลาเนิ่นนาน  ดวงจิตเรากับดวงจิตท่านก็ระยะเวลาไม่แพ้กันนะ  ไม่ใช่ท่านเกิดมาก่อนเรานะ    เพราะฉะนั้น การสร้างบารมีปัญญามันอยู่ตรงนี้  ใครไปทางตรงใครไปทางอ้อม   เจ้าไปในสมาธิ นึกหรือไปเห็นได้จริง  แต่มันอาจจะเป็นทางอ้อมก็ได้ใช่ไหม  ไปเห็นจนทั่วจักรวาลก่อนแล้วค่อยมาบรรลุธรรม  แต่ว่าตอนนี้  มัน 80, 90 ตายไปก่อน  ไปเกิดในประเทศที่เขาฝึกสมาธิกันอีก 3 ชาติ  แล้วค่อยมาเจอธรรมะ  มันวนกันไปน่ะ  แล้ววนกันมาสักเท่าไรแล้วเนี่ย...หา...
 
ตอนนี้ทางตรงมาแล้ว  ปัญญาในการที่ท่านสอนพวกเจ้าน่ะนะ  อย่าละเลยกัน   ข้าพเจ้าจะบอก  เจอเพชรแล้วไม่หยิบน่ะนะ  เขาเรียกว่า  ลิงได้แก้ว  ไม่อยากเป็นลิงกันใช่ไหม...  หรือว่า  ไก่ได้พลอย  อยากเป็นไก่กันมั๊ย   ตอนนี้ของจริงมาถึงแล้ว  ธรรมะเนื้อหาตัวเน้น ๆ ไม่ต้องไปไตร่ตรองกันนานนะ  ไตร่ตรองกันเป็น 10 ปี 20 ปี ไม่เอานะ  มันจะตายกันก่อน ฟังแล้วปฏิบัติเลย  ใครมีพ่อแม่ฟังธรรมแล้วตัดกรรม  ฟังแล้วปฏิบัติเลยนะ  เวลามันน้อยนะ  
 
ข้าพเจ้ามาบำเพ็ญบารมี  ก็มีความยินดีที่พวกเจ้าได้ฟังธรรม   ซึ่งข้าพเจ้าก็ต้องสั่งสมบารมีเหมือนกัน  เพราะฉะนั้นการฝึกสมาธิ  เออ...เจ้าฝึกไปกี่ปีล่ะจะได้เท่าข้าพเจ้า  เพราะข้าพเจ้าอยู่มานาน  เกิดมานานเป็นหมื่น ๆ ปีแล้ว  เพราะฉะนั้น  ให้จิตนิ่งได้  ถ้าใช้เวลานาน    แต่ปัญญาตรัสรู้ซิ  มันไม่ได้ทุกคน   เพราะฉะนั้นอินทรีย์แก่กล้าปัญญาตรัสรู้  ต้องใช้การไตร่ตรอง.     

...................................


การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่  8 )

..

(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  เพราะว่าภพมนุษย์ของเจ้า   มันสามารถมองเห็นคนที่มีความทุกข์กว่าเจ้า  มีความสุขกว่าเจ้า  คนรวยกว่าเจ้าคนจนกว่าเจ้า  สัตว์เดรัจฉานหรือสิ่งที่มีความแตกต่างนั้น จะทำให้เกิดปัญญาโดยแท้จริง  เพราะฉะนั้น ทำไมภพมนุษย์จึงเป็นภพที่สามารถบรรลุธรรมได้  ทั้งที่พวกเจ้าก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้วเนี่ย..  ทำไมพวกเจ้าจึงเป็นภพที่สามารถบรรลุธรรมได้มากที่สุด  สามารถสร้างบารมีได้มากที่สุด  เพราะอะไร  เพราะมันมีหนทางให้เกิดปัญญา  
 
เพราะฉะนั้นตัวของเจ้ามันก็ไม่ใช่ของเจ้า  เอาปัญญาไปไตร่ตรอง  แล้วลดละซะ  มันก็จะได้บรรลุธรรมไปเอง....เออ..เพราะฉะนั้น ยิ่งมีความเจ็บปวด ยิ่งน่าสร้างบารมีน่ะ  เพราะสร้างบารมีแล้วเจ็บปวด แต่อุตสาหะสร้างบารมี  นี่จะเป็นบารมีเสียดทานไป  แต่ถ้าเป็นเทวดาแล้ว  สร้างบารมียังไงก็ไม่เหนื่อย  ไม่หิว ไม่ต้องทำงาน  ไม่ต้องบากบั่น  ฝนตกก็ไม่เปียก  ลมพัดมาก็ไม่หนาวเกินไป  ไม่ร้อนเกินไป  สบาย   เพราะฉะนั้น เทวดาสร้างบารมีแล้ว  ก็ยังได้บารมีน้อยกว่าพวกเจ้า  
 
เพราะฉะนั้น พวกเจ้าฝนตกก็ยังมานั่งในศาลา  ยังอดทนกันไป  นี่คือการเสียดทานแรงบารมี  ต้องมีการเสียดทาน  ยิ่งใครเสียดทานมากก็ได้มาก  ทำไมพระพุทธองค์ท่านบารมีมากขั้นดุสิตเทพ  ลงไปแล้ว  ก็ยังเสียดทาน  เป็นมนุษย์ยังต้องไปลำบากลำบนอยู่ตั้ง ปี  เจ้าถึง 6 ปีกันมั๊ยเนี่ย...อีกไม่นานมันก็จะวิบัติกันอยู่แล้ว ทน ๆ กันหน่อย..
 
เพราะฉะนั้น สิ่งที่พวกเจ้าเนิ่นช้าไป  ทำไมต้นพุทธกาลเขาบรรลุธรรมกันง่าย ๆ ล่ะ  เขาเจอของจริง  แล้วเขาไม่รั้งรอ  เพราะเขาไม่มีวิชาสอนที่มันผิด  วิชาที่สอนกันในยุคเสื่อมมันสอนให้ยึดติดกันเยอะ สอนธรรมะแต่ให้ยึดติดวิชา  มันทำไมถึงเป็นอย่างนั้น... 
 
ในยุคของสมัยก่อน เขาสอนธรรมะบอกต่อกันไป  ไม่มีการเคลือบแคลง และก็บรรลุธรรมกันไปได้โดยเร็วไว  เพราะอะไร  เพราะเขาสั่งสมบุญของเขามาจนถึงที่สุด  พวกเจ้ามาถึงกึ่งพุทธกาลแล้ว  บุญไม่ใช่น้อย ๆ น่ะ  มาถึงตรงนี้ได้น่ะ ไม่ใช่บุญเล็กบุญน้อย  มากนะทำกันมาเยอะแล้ว  เนิ่นช้ามาถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่ได้บรรลุธรรม  ชาตินี้ต้องบรรลุธรรมให้ได้นะ  แต่จะบรรลุธรรมด้วยอะไร  ตาทิพย์เหรอ..ไม่ใช่  ด้วยเหาะเหินได้เหรอ..ไม่ใช่  เจ้าไม่ต้องไปหัดหรอก  เหาะเหินเดินอากาศน่ะ  นก...น่ะนะ..มันไม่ต้องหัดเลย  มันเกิดมาแม่มันสอนหน่อยเดียวมันก็บินได้  แต่อะไรที่มันด้อยกว่าเรา   ทำไมมันถึงบินได้  และทำไมมันถึงเป็นสัตว์เดรัจฉาน  เพราะมันไม่มีปัญญา  เพราะฉะนั้น  เจ้าดูซิ...เจ้าเป็นคนเดินดิน แต่เจ้ามีโอกาสที่จะมีปัญญาสูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉาน   
 
เพราะฉะนั้น  เจ้าไม่ต้องไปเรียนวิชาเหาะเหินเดินอากาศ  ตาทิพย์ หูทิพย์  หมาป่ามันมองเห็นกลางคืนดีกว่าเจ้ามันไม่ต้องมีกล้องส่องทางไกล  เพราะฉะนั้นธรรมชาติมันสร้างสรรค์ทุก ๆ  อย่าง  แต่ธรรมชาติที่ดีที่สุดคือมนุษย์  เพราะมนุษย์มีอะไร  เพราะมนุษย์มีปัญญาสามารถไตร่ตรอง  อะไรดี  อะไรชั่ว  อะไรถูก  อะไรผิด  อย่าใช้ปัญญาตรงนี้ไปในทางที่ผิด  เจ้าจะดิ่งนรก  ถ้าไปในทางที่ถูก  เจ้าจะหลุดพ้นจากโลกนะ   ....  โลกุตระธรรมนั้นคือสิ่งสุดยอด...
 
แต่มันต้องใช้แรงเสียดทานเยอะ  มันไม่ใช่ไปด้วยการยกยอปอปั้น  มันต้องไปด้วยการโดนสาปแช่งบ้าง  โดนคนว่าบ้าบ้าง  ที่นี่จะต้องโดนคนว่าบ้ากันหมดทุกคน   ยิ่งใครบารมีมาก  ก็จะต้องโดนว่าบ้ามาก  เพราะอะไร  เพราะมนุษย์โลกมันไม่เข้าใจหรอก   เพราะฉะนั้น ใครทนอยู่ได้   ก็แปลว่า...เราเห็นว่ามันจริง    เราทนอยู่ได้  แปลว่าเราละการยึดติดในลาภยศ ชื่อเสียงของเราได้มาก เพราะฉะนั้นมันจะเป็นสิ่งที่บอกฟ้องอยู่แล้ว 

สำหรับเราสาวกของพระพุทธองค์  ศาสนาพุทธต้องใช้ปัญญานำ  เพราะอะไร  เพราะว่าพื้นฐานแต่ละบุคคล  ข้าพเจ้าไม่พูดถึงที่อื่น  พูดถึงแต่ในที่นี้  แต่ละคนที่เรียงรายกันมาอยู่เนี่ย  จะบรรลุธรรมได้ต้องใช้ปัญญานำ..


..................................


การให้โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  
ณ เขากะลา นครสวรรค์  วันที่ 10 ตุลาคม 2541

(ตอนที่  9  จบ. )

...

(คุณวิโรจน์) ท่านว่าในการนั่งสมาธิ  ให้ไปในหนทางแห่งการใช้ปัญญา  หมายความว่า  ที่จะเรียกปัญญาก็เหมือนท่านบอกว่าเป็นปัจจัตตัง อย่างนี้ใช่ไหมครับ  พอรู้แจ้งด้วยปัญญา ก็จะเห็นแจ้งหมด  ก็เท่ากับเป็นตาทิพย์ อย่างนี้ใช่ไหมครับ.
 
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต)  เออ...ตาทิพย์มันมีหลายอย่างนะ  สมมุติเจ้าตาทิพย์ สมมุตินะ  เจ้าตาทิพย์ มองจากที่นี่  มองเห็นยานอวกาศของข้าพเจ้า  บึงบอระเพ็ดเต็มไปหมด   กับการที่ใช้ปัญญา  เขาเรียกว่ามีปัญญา  ปัญญาญาณเนี่ย...ไม่เห็น  มองไม่เห็นนะ  แต่ว่ามีปัญญารู้ว่า  ที่ท่านเหล่านี้มา  มันมีความสำคัญแค่ไหน  มันมีความลึกซึ้งแค่ไหน  ใช้ปัญญามองลงไป  ความเพียรพยายามของเทพทั้งหลาย  ความสำคัญของญาณใหญ่ทั้งหลาย  มองด้วยปัญญาของตัวเอง  โดยไม่ต้องไปมองเห็นรูปร่างยาน  รูปร่างภายนอก   
 
แต่การมองด้วยปัญญาแบบนี้  ข้าพเจ้าสรรเสริญมากกว่าการเพ่งแล้วเห็นยานอวกาศของข้าพเจ้าในสมาธิของพวกเจ้า   การมองด้วยปัญญาของเราตอนนี้  เราก็มองได้  ไตร่ตรองไปเยอะ ๆ มองให้มันแยบคาย  ให้ลึกซึ้ง  ว่าท่านทั้งหลายที่มาในขณะนี้  ที่นี่จะสำคัญเพียงไร  เทพทั้งหลายก็ลงมาจากเทวโลก  มนุษย์ต่างดาวก็มาจากที่ไกล  มาด้วยความยากลำบากเพียงไร
 
 

ข้ารู้นะ ร่างพระพิฆเณศร์ (จ.ส.อ.เชิด) ในสมัยที่ท่านได้พูดมา  ได้รับรู้น่ะว่าท่านนั่งสมาธิแบบนี้  นี่เป็นตัวอย่างได้  ท่านนั่งสมาธิไปนะ  นั่งนิ่ง ๆ วิธีไหนของเจ้าก็แล้วแต่  ท่านนั่งพุทเข้า โธออก  แล้วท่านก็ทำไงรู้มั๊ย....ท่านก็ไตร่ตรอง  โอ...ร่างกายเรานี้หนอ  มันไม่เที่ยง  มันทรุดโทรมไป  อนิจจัง ทุกขัง  อนัตตา  ท่านพิจารณาสังขาร  เออ...มันไม่เที่ยงนะ  นั่งแล้วมันก็เมื่อยได้  ในร่างกายเรามันก็มีสิ่งไม่สวยไม่งาม  เพราะฉะนั้น  นี่คือสิ่งที่ท่านทำดีแล้ว  เทพทั้งหลายอนุโมทนา  

เพราะฉะนั้น  พวกเราล่ะ   ทำไมไม่ทำอย่างท่าน  เห็นไม่เห็นไม่เป็นไร  แต่พอจิตสงบ  มาดูซิ...มาดูความเป็นจริงซิ  ร่างกายของเรามันก็เท่านี้  พอ 30 แล้วร่างกายมันก็เหี่ยว  พอ 40 แล้วร่างกายมันก็เหี่ยวมากขึ้น  50 มันก็เหี่ยวมากขึ้น  มันดึงกลับไม่ไหวแล้ว เพราะฉะนั้น  มันก็เป็นไปตามหลักที่พระพุทธองค์ทรงสอนนะ  ไปไม่กลับ  หลับไม่ตื่นนะ  อีกหน่อยก็ต้องนึกถึงกันทุก ๆ คน  แล้วทำไมล่ะ  เวลาที่เหลือ  เราไม่ทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับดวงจิตของเรานะ  หน้าที่การงานของแต่ละคน  แยกย่อยกันไปแต่ละอย่าง  แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับดวงจิตของตัวเรา  ทำได้ทุกวินาที  ตอนนี้ก็ทำได้  

สิ่งสำคัญที่ท่านสอนก็คือ  อย่าไปคิดร้ายใคร  ไม่ว่าจะเป็นมิตร หรือศัตรู  และอย่าไปพูดว่าร้ายใครนะ  ไม่ว่าจะเป็นมิตร หรือศัตรู  เสร็จแล้วก็อย่าไปทำร้ายใคร  อันนี้ก็สำคัญนะ  ไว้ป้องกันตัวเองนะ อย่างนี้   เราทำดีได้มาก  ได้น้อยเท่าไรไม่ว่า  แต่อย่าไปคิดร้ายใคร อย่าไปทำร้าย  อย่าไปว่าร้ายใครนะ    เพราะฉะนั้น  สิ่งที่คนอื่น  ไม่ว่าจะเป็นมหาโจร  ก็เป็นไปตามกรรมของเขา  เราก็รู้ไปตามหลักกฏแห่งกรรมนะ  อย่าไปว่าเขา  อย่าไปซ้ำเติมเขา  ถ้าช่วยเขาไม่ได้ก็ปลงสังเวชไปนะ  

อันนี้นะ  ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง  ซึ่งเป็นแก่นของพระพุทธศาสนานะ  พระพุทธองค์น่ะ  ท่านไม่คิดร้ายใคร  ไม่ว่าร้ายใครนะ  ท่านไม่ทำร้ายใครนะ  พญามารมาแกล้งท่าน  ท่านก็ไม่ว่าร้ายนะ  ไม่คิดร้ายนะ  เพราะฉะนั้น  เราเป็นศิษย์พระพุทธองค์ ทำตามแบบนี้  ธรรมะ..ชนะ..อธรรม  เสมอนะ  แต่ใช้เวลาหน่อยนะ

เออ...วันนี้ได้ประโยชน์กันไปเยอะนะ  แต่ใครจะคุ้มค่ามากก็คือคนที่เอาไปไตร่ตรอง  ธรรมะนี่มันสำคัญยิ่งกว่าทองนะ  

....สมควรแก่เวลา  ทุกท่านในที่นี้ เดี๋ยวรับบารมีจากข้าพเจ้า .... เปิดใจรับบารมีจากข้าพเจ้าโดยพร้อมเพรียงกันด้วยเทอญ

...

ตอน 9 (จบ)
....... 


จบการให้โอวาทจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  วันที่  10  ตุลาคม  2541  
ณ เขากะลา  จังหวัดนครสวรรค์

....................................


การให้โอวาท  ในวันที่ 10  ตุลาคม 2541  ได้นำข้อความมาถ่ายทอดให้ทราบจบไปแล้ว...ในส่วนของเนื้อหาที่สำคัญ
หากมีโอกาส  จะนำข้อความในส่วนสำคัญชุดอื่น ๆ มาให้ท่านที่สนใจได้รับทราบต่อไป

น่าจะเป็นแนวทางปฏิบัติที่สามารถทำได้  โดยเน้นการไตร่ตรองในธรรมของพระพุทธองค์เป็นหลัก  
และเป็นการปฏิบัติที่หลายท่านเมื่อทำความเข้าใจได้ตรง  ก็สามารถปฏิบัติได้ในทันที

มนุษย์ต่างดาว จากดาวพลูโต ท่านมีอายุยืนหลายหมื่นปี  ท่านรับรู้เรื่องราวบนโลกมนุษย์นี้นานมาแล้ว  ตั้งแต่ในสมัยก่อนพุทธกาล  ดังนั้น  ท่านจึงเห็นการปฏิบัติในแนวทางที่ตรงแก่น  คือการใช้ปัญญาพิจารณาในธรรม  เป็นหลัก 

การสอนในกฏธรรมชาติ จากมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลานั้น  มุ่งเน้นให้ผู้ที่มารับฟังธรรมได้เห็นในกฏของธรรมชาติ  เห็นในแก่นแท้ของธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนมากที่สุดคือ  กฏไตรลักษณ์  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา

ผู้ที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีสูงสุด   แต่กลับมาสอน....เรื่องการพัฒนาจิตใจเป็นหลัก  จึงดูเหมือนเป็นการสวนทางกันอย่างยิ่ง กับโลกในยุคปัจจุบันนี้.

....................................



อ่านข้อความถ่ายทอดจากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโตฉบับเต็มได้ที่

http://www.kaokalaufocontact.blogspot.com/2011/03/blog-post.html